การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 391
บทที่ 391 – ไอ้จอมมารขี้ขลาด
ในขณะที่เลทิเซียประหลาดใจอยู่นั้นเองเพราะเสียงที่เรียกชื่อเธอก็ฟังดูคุ้นหูพิกล.. ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
คนในโรงเตี๊ยมที่เหมือนจะได้สติกลับคืนมาพวกเขาก็งงงวยกันเล็กน้อย แต่ทว่าเนลกลับต่างออกไป ยังไงซะเธอก็เป็นแค่เผ่าซัคคิวบัส
แถมยังมีสายเลือดซัคคิวบัสที่อ่อนแอมากๆ อีกทั้งตัวเธอยังเป็นแค่เด็ก การสะกดข่มทางเผ่าพันธุ์เมื่อครู่มันทำเอาเธอหน้ามืด
เธอเซไปด้านหลังหลายก้าว แต่ก็พยายามจะใช้มือประค้ำประคองเอาไว้.. เธอยื่นมือไปคว้าจับผ้าคลุมของผู้หญิงสวมฮู้ดสีขาว
ก่อนจะโซเซถอยไปด้านหลังหลายก้าว เป็นเพราะผู้หญิงสวมฮู้ดมัวแต่คิดเรื่องของเลทิเซีย และตอนนี้หันไปสนใจน้องสาวตัวเองที่มีท่าทางแปลกๆ
ทำให้เธอไม่ได้ตอบสนองทันการกระทำของเนลจนผ้าคลุมหลุดออกจากหัวของเธอ ใบหน้าของเธอเปิดเผยออกมาต่อหน้าต่อตาของเลทิเซีย
แม้เธอจะสวมผ้าปิดปากเอาไว้แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาสำหรับดวงตาของเลทิเซีย เธอสามารถวาดเค้าโครงหน้าตาภายใต้ผ้าผืนนั้นได้อย่างง่ายดาย
จากการสังเกตใบหน้าครึ่งบนของอีกฝ่าย.. ใช่แล้วล่ะ เธอคนนี้คือมนุษย์และเธอก็คือไอรีน!
แม้เลทิเซียจะไม่ได้เห็นหน้าเธอเพราะแอบออกมาก่อนในเหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อนเลยไม่รู้จักก็ตาม
แต่เธอคือไอรีนอย่างแน่นอน.. ทว่าคนที่ตกใจในตอนผ้าหลุดหัวไม่ใช่ไอรีนแต่กลับเป็นเลทิเซียที่ยืนมองไอรีนด้วยสายตาโง่งม
เสียงอันคุ้นเคยเหมือนเคยได้ยินมาก่อน เค้าโครงหน้าตาที่ถูกวาดขึ้นมาในสมองราวกับว่าเลทิเซียเคยเห็นหน้าจริงคนคนนี้มาก่อน
แม้บรรยากาศที่ปล่อยออกมาจะไม่เหมือนกันก็ตามที.. แต่คนตรงหน้านี้เลทิเซียจำได้ทันทีว่า…
“อาจารย์เวโรเน่? ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้?!”
เลทิเซียหัวใจกระตุก ต้องทราบก่อนว่าตั้งแต่มาโลกนี้เลทิเซียไม่เคยเห็นคนที่อยู่ในอนาคตมาก่อนเลย
พอเจออาจารย์เวโรเน่ตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะเผลออุทานออกมาโดยไม่ทันได้คิดอะไรให้ถี่ถ้วนนั่นเอง
แต่พอไอรีนถูกทักด้วยคำว่า ‘อาจารย์’ ไม่พอยังถูกเรียกด้วยชื่อของน้องสาวตัวเองแบบนี้ มันยิ่งทำให้เธองุนงงเข้าไปอีก
“ข้าไม่ใช่อาจารย์นะ แล้วก็ไม่ใช่เวโรเน่ด้วย…!”
สถานการณ์เรียกได้ว่าตกอยู่ในความงงงวย โชคยังดีที่เลทิเซียคิดทบทวนได้อย่างรวดเร็วว่าจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ
นี่เป็นเมื่อห้าร้อยปีก่อนเลยนะ.. ไม่มีทางที่อาจารย์เวโรเน่ที่เธอรู้จักจะมาอยู่ที่นี่ได้หรอก.. เพราะหากมองตามหลักความจริงมันเป็นไปไม่ได้เลย
ต่อให้เป็นผู้กล้าการจะมีอายุอยู่เกินห้าร้อยปีก็ทำไม่ได้หรอก ขนาดปีศาจเองที่พูดถึงเรื่องอายุยืนละก็ พวกเขาอายุยืนกว่ามนุษย์เยอะ
แต่อย่างมากก็ร้อยกว่าปีเท่านั้นเอง ตามการศึกษาของเลทิเซียเผ่าที่มีอายุยืนที่สุดคือเผ่าแวมไพร์ แต่ว่าแวมไพร์ถูกฆ่าล้างผลาญไปจนเหี้ยนหมดแล้ว
เผ่าครึ่งมังกรจากจักรวรรดิมังกรก็เหมือนจะมีอายุหลักร้อยถึงสองร้อยปีก็จริง แต่ว่าการจะมีอายุยืนยาวถึงห้าร้อยปีนี่มัน…
ไม่สิ ไม่สามารถพูดว่าเป็นไปไม่ได้… แต่อาจารย์เวโรเน่ไม่ใช่เผ่าอื่นแต่เป็นมนุษย์เพราะเธอครอบครองพลังของผู้กล้า..
หรือว่า… จะย้อนเวลามาด้วย ไม่สิ จากท่าทางของเธอแล้วเธอเหมือนจะยังไม่รู้จักเลทิเซีย และต่อให้เป็นแบบนั้นจริง
เธอก็ไม่สามารถย้อนเวลาได้อยู่ดี เลทิเซียที่เคยต่อกรกับกาลเวลาเธอรู้ดีว่ากาลเวลานั้นน่ากลัวขนาดไหนกัน
หรือก็คือเป็นแค่เรื่องบังเอิญนั่นเอง… และพอพูดถึงคนที่ชื่อเวโรเน่เลทิเซียก็อดนึกถึงเวโรเน่ที่เธอรู้จักตอนย้อนเวลามาที่แห่งนี้
พอนึกถึงปุบเสียงก็เหมือนกับลอยขึ้นมาในหัว เลทิเซียหันไปทางคนสวมฮู้ดที่เป็นน้องสาวไอรีนอีกครั้ง
ใช่แล้ว เสียงที่เรียกเธอด้วยความตกใจเมื่อสักครู่นี้มันคือเสียงของเวโรเน่คนนั้นนั่นเอง!แล้วทำไมเวโรเน่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
ไม่ใช่ว่าเธอต้องอยู่กับพ่อของเธอหรือไงกัน… แล้วไปทำแบบไหนถึงได้มาอยู่กับคนที่หน้าเหมือนอาจารย์เวโรเน่นี่อีก
สถานการณ์ทุกอย่างเหมือนหยุดชะงักลงกะทันหัน.. แม้แต่เนลที่เหมือนจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดสถานการณ์ประหลาดนี้ขึ้นยังงงงวยไม่เข้าใจอะไรหลายอย่างอยู่…
แต่ยังไงซะนี่คือโรงเตี๊ยมคนที่ไม่สนใจพวกเธอก็เยอะ แต่คนที่หันมาเห็นก็ใช่ว่าจะไม่มีเหมือนกัน
ไอรีนก็รีบดึงฮู้ดกลับมาปิดกลัวว่าจะถูกจับได้ว่าเป็นมนุษย์ เธอมองไปที่เลทิเซียในตอนนี้มีคำถามมากมายที่เธออยากจะรู้
อันที่จริงเรื่องของเลทิเซียเวโรเน่ได้เล่าให้เธอฟังไม่มากก็น้อย สำหรับเวทมนตร์ที่เลทิเซียสอนเวโรเน่แม้จะเป็นเวทมนตร์ดาษดื่น
แต่ทว่าคำอธิบายพื้นฐานต่างๆ ล้วนแล้วแต่ดีไปหมด ทำให้เวลาสามสี่ปีที่ผ่านมาเวโรเน่เชี่ยวชาญเวทมนตร์ขึ้นอย่างรวดเร็ว
ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เธออยากจะรู้ แถมเมื่อสักครู่นี้เธอสามารถฟันธงได้เลยว่าเลทิเซียเป็นจอมมารที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วทำไมเมื่อห้าปีก่อนถึงช่วยเวโรเน่เอาไว้ แถมยังฆ่าปีศาจตายไปสองคน ทั้งยังฆ่ามนุษย์ที่เป็นลูกชายของผู้กล้าแห่งคันศรด้วย
ถึงจะไม่ตายเพราะช่วยไว้ทัน.. แต่นับตั้งแต่นั้นชายคนนั้นก็แทบสติแตกหวาดกลัวแม้กระทั่งเลือดเลยล่ะ..
ไม่มีใครรู้ว่าเขาเห็นอะไรในช่วงวิกฤตเกือบตายนั้น.. สำหรับไอรีนที่ฟังเรื่องเลทิเซียจากปากเวโรเน่เธอยังไม่สามารถฟันธงได้ว่า..
สรุปแล้วเลทิเซียเป็นคนดีหรือไม่
“ข้าว่า.. เราเปลี่ยนที่คุยกันดีกว่าไหม?”
ไอรีนก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสี่ยงกึ่งยิ้มกึ่งตึง.. ต้องบอกว่าทุกอย่างนี้มันเกิดขึ้นภายในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านั้น
ดังนั้นในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมันจึงเป็นเพียงแค่ฉากที่ เลทิเซียเผยหน้า เวโรเน่ลุกขึ้นเรียกชื่อเลทิเซียพร้อมเป็นจังหวะเดียวที่เนลโซเซไปดึงผ้าคลุมไอรีนอีก
เลทิเซียสะดุ้งเพราะเห็นใบหน้าของไอรีน ก่อนจะนึกถึงเวโรเน่ที่อายุสิบเจ็ดสิบแปด ก็จำเสียงคนที่เรียกชื่อเธอได้
ทุกอย่างมันไม่ได้เกิดขึ้นรวดเร็ว แต่มันปุบปับเสียมากกว่า เลทิเซียที่ได้ยินแบบนั้นเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เพราะเธอเองก็มีคำถามมากมายไม่แพ้กัน เธอจึงพยักหน้าให้อีกฝ่ายพร้อมกับพูดขึ้น “อืม.. เข้าใจแล้ว”
ทั้งสี่คนเดินออกจากโรงเตี๊ยมไปทันที แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะพาเนลไปด้วยเพราะไอรีนรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถทิ้งเด็กคนนี้ได้ลงอีกรอบ
เพราะกลัวว่าเธอจะไปทำอะไรให้ตัวเองถูกทำร้ายจนปางตายอีก ส่วนบาดแผลที่เกิดจากการทำร้ายร่างกายเมื่อครู่นี้ มันหายไปนานแล้ว
ซึ่งทางฝั่งไอรีนพึ่งจะมาสังเกตหลังพบว่าเธอไม่มีบาดแผลแล้ว.. แน่นอนว่าเป็นฝีมือของเลทิเซียนั่นแหละ..
พอทั้งสี่คนออกจากโรงเตี๊ยมไปในมุมหนึ่งของโรงเตี๊ยมก็แตะไปที่หัวตัวเองพร้อมกับพูดขึ้นในใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง..
หลังจากเล่าทุกอย่างมันยังไม่ลืมที่จะเสริมเติมแต่งเรื่องราวบางอย่างเข้าไปด้วยพร้อมกับพูดขึ้น
“ดูเหมือนข่าวที่ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสจะไปถึงหูพวกเผ่ามนุษย์แล้วจริงๆ นะ ท่านจอมมาร.. พวกมันต้องฉวยโอกาสนี้เล่นงานท่านแน่”
เขากล่าวอย่างออกรสพร้อมกับพูดออกมาแบบนั้น แต่คนที่มันติดต่ออยู่เงียบลง ก่อนที่จะตั้งคำถามขึ้นมาว่า
“อย่างแรก.. ทำไมมนุษย์ถึงต้องช่วยปีศาจ หากพวกมันมาที่นี่เพื่อฆ่าข้า มันก็ควรจะสร้างความโกลาหลสิ”
“เรื่องนั้นก็เป็นเพราะมันกลัวว่าท่านจอมมารจะหนีไปไงล่ะท่านจอมมาร พวกมนุษย์มันชอบดูถูกพวกเราอยู่แล้วนี่น่า”
“อย่างที่สอง.. เด็กที่เป็นปีศาจนั่นคือใครกันแน่ ทำไมมันถึงเหมือนจะติดต่อกับเด็กนั่น”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าตรวจสอบดูแล้วว่าเหมือนจะเป็นปีศาจธรรมดานั่นแหละ แถมมันยังไม่น่าจะดูออกหรอกว่าคนที่อยู่ตรงหน้ามันเป็นมนุษย์… แต่..”
ชายคนนั้นเขาลังเลว่าจะบอกเรื่องนี้ดีไหม เสียงอีกด้านหนึ่งก็ถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า
“แต่อะไร..?”
“เหมือนตอนที่ปีศาจเด็กนั่นจ้องไปที่คนอื่น ทุกคนก็เหมือนจะตกอยู่ในภวังค์อะไรบางอย่าง ไม่รู้สิ มันเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนข้าเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ อาจจะคิดไปเองก็ได้ แต่ประเด็นสำคัญคือเหมือนว่ามันจะรู้แล้วนะว่าท่านอยู่ในต้นปีศาจแดง”
มันพูดแบบนั้นออกมา เพราะมันไม่ตกอยู่ในภวังค์ด้วย เพราะยังไงซะมันก็ไม่ใช่ปีศาจชั้นต่ำ.. ไม่แปลกที่จะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
แต่มันก็ยังไม่ลืมที่จะแอบใส่ไฟเข้าไปอีก.. เสียงอีกด้านหนึ่งที่ได้ยินแบบนั้นก็เงียบลงไป.. เขาไม่ได้สนใจที่มันแอบใส่ไฟแต่หลังจากเงียบไปพักหนึ่งก็พูด
“พอแล้ว.. ไม่ต้องตามแล้ว.. ถ้าเจ้าไม่อยากตาย”
เขาพูดแบบนั้นก็ตัดสายไปทันที.. พอชายคนที่นั่งอยู่มุมโรงเตี๊ยมโดนพูดแบบนั้นใส่ก็สบถออกมา
“ไอ้เจ้าจอมมารขี้ขลาดเอ๊ย… เจ้ามันใช้ไม่ได้เลยสักนิด มีมดแอบเข้ามาในเขตตัวเองขนาดนี้ยังไม่รีบจัดการอีก แกนี่มันขี้ขลาดจริงๆ !”
ใช่แล้วคนที่ปล่อยข่าวออกไปลับๆ คือเขานั่นแหละ.. เขาเงียบลงไปพักหนึ่งก่อนจะติดต่อสื่อสารไปอีกด้านหนึ่ง…
“ขอติดต่อกับจักรพรรดิมังกรด้วยรหัสเสียง ‘A-T-P’ ..”
“ท่านจักรพรรดิ.. เหมือนว่าพวกมนุษย์มันจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว.. แต่ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวข้าจะจัดการให้เอง.. ข้าคิดว่าหลังจากนี้ไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะพวกเราก็ได้เปรียบ!”
เขาพูดแบบนั้นก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับฉีกยิ้ม ……
“ในเมื่อแกขี้ขลาด.. งั้นข้าจะจัดการเองกับมือแล้วกัน…”