การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 389
บทที่ 389 – การผูกมิตรงั้นเหรอ?
เลทิเซียขมวดคิ้วทันที เสียงนี้มันดูคุ้นๆ พิกล แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินมาจากไหนเหมือนกัน พอเห็นเลทิเซียหันมาเหมือนจ้องเขม็งมาที่ตัวเอง
หญิงสาวคนนั้นก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เธอก็พอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายอาจจะคิดว่าตัวเองยุ่งไม่เข้าเรื่อง
แต่เพราะเมื่อกี้เธอคิดว่าเลทิเซียอาจจะไม่มีตังจ่าย เพราะก่อนหน้านี้เธอเห็นการเคลื่อนไหวของเลทิเซียชัดเจน
ตอนที่เธอหลบหมัดของชายคนนั้นพร้อมกับจับแขนของเขาเอาไว้ มองดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไรทั้งสิ้น แต่สำหรับเธอ เธอสามารถมองออกได้ว่า
ตอนนั้นเลทิเซียเกือบจะสวนกลับตามสัญชาตญาณ แต่ยังดีที่ยับยั้งไว้ได้ทัน.. ซึ่งเพียงแค่นี้ก็ทำให้เธอมั่นใจว่า
คนตรงหน้าเธออาจจะเป็นคนที่แข็งแกร่งมากๆ คนหนึ่ง… แต่ก็ประหลาดใจที่เธอไม่ฆ่าอีกฝ่าย.. เพราะปีศาจที่แข็งแกร่งระดับนั้น
ทุกคนล้วนเป็นพวกกระหายเลือดและบ้าการทำลายล้าง ถามว่าทำไมเธอถึงกล้าพูดขนาดนั้น..
ก็คงเพราะว่าปีศาจจะชิงดีชิงเด่นกันจากการลงมือฆ่าคนอื่นนั่นเอง หมายความว่ายิ่งเก่งแค่ไหนพวกปีศาจจะยิ่งฆ่าไปเยอะเท่านั้น
แต่สำหรับเธอเด็กผู้หญิงตรงหน้าช่างต่างกับปีศาจทุกคนในความคิดของเธอเหลือเกิน.. และหากถามว่าทำไมเธอถึงคิดว่าเลทิเซียเป็นปีศาจ
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงนั้น เธอไม่ได้มองเห็นใบหน้าของเลทิเซียด้วยซ้ำ เพราะเลทิเซียสวมฮู้ดปิดใบหน้าเอาไว้
นั่นก็เพราะว่านี่คือแดนปีศาจ… แดนปีศาจที่อยู่ในสภาวะสงคราม ไม่มีสิ่งมีชีวิตจากเผ่าอื่นที่ขัดแย้งกันมาเดินเพ่นพ่านอยู่ในดินแดนอื่นได้หรอก
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเลทิเซียถูกแปลกใจนักว่าทำไมมนุษย์อย่างพวกเธอมาอยู่ที่นี่ได้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตามสำหรับเธอแล้ว เลทิเซียที่เหมือนจะเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งแถมยังใจดีแบบนี้ น่าจะพอคุยรู้เรื่องได้อยู่
จะบอกว่าที่เธอจ่ายค่าอาหารแทนเพราะสงสารเลทิเซีย สู้บอกว่าเธอจ่ายเพื่อเด็กคนนั้นดีกว่า.. และไม่เพียงแค่นั้น
สำหรับเธอยังมีโอกาสที่จะได้แนะนำตัวกับปีศาจตนที่พอจะคุยรู้เรื่อง.. ซึ่งเป้าหมายของพวกเธอแรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้มาเพื่อสร้างความขัดแย้งอยู่แล้ว
“ข้าขอโทษด้วย ข้าคิดว่าเจ้าลืมพักตังน่ะ ถ้าเข้าใจผิดก็ขอโทษที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องด้วยนะ”
เธอพูดแบบนั้นแล้วก็ก้มหัวขอโทษเล็กน้อย แต่เลทิเซียก็ยิ่งขมวดคิ้วไปอีก เสียงนี้มันคุ้นหูนัก.. แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะเรื่องของอีกฝ่าย
อีกฝ่ายเป็นมนุษย์ในแดนปีศาจ สำหรับเลทิเซียมันก็เด่นสะดุดตาจนเกินไปอยู่แล้ว .. เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาชวนคุยมันยิ่งทำให้เธอขมวดคิ้วเป็นปม
แต่เธอก็ตอบกลับออกไปเบาๆ ว่า
“ไม่เป็นไร ฉันลืมพกเงินมาด้วยจริงๆ นั่นแหละ…”
ถึงแม้จะตอบไปแบบนั้น เลทิเซียก็ยังคงคิดไม่ตก หรือว่าคนตรงหน้านี้คือ ‘คนคนนั้น’ ที่เธอกำลังตามหา
ไม่สิ อย่างน้อยก็ต้องรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายที่มายังที่แห่งนี้ก่อน ยังไงซะอีกฝ่ายก็เป็นมนุษย์..
แต่แน่นอนว่าต้องไม่สามารถถามด้วยปากเปล่าอย่างแน่นอน เลทิเซียคิดเล็กน้อย ก่อนที่จะทำน้ำเสียงให้เป็นมิตรกว่าเดิม
“แต่จะเอาเงินเธอมาก็ไม่ได้.. ถือซะว่าฉันให้แทนคำขอบคุณละกัน”
เลทิเซียหยิบของออกมาจากใต้แขนเสื้อของเธอ ซึ่งผู้หญิงสวมฮู้ดขาวก็ขมวดคิ้ว เธอสัมผัสได้รางๆ ว่าเมื่อครู่อีกฝ่ายใช้เวทมนตร์
เป็นเวทมนตร์เกี่ยวกับมิติอย่างงั้นเหรอ.. แถมไม่ใช่เวทมนตร์ปีศาจด้วย.. แต่เป็นเวทมนตร์มนุษย์?
ไม่สิ เธออาจจะคิดไปเองก็ได้ เพราะสัมผัสไม่ชัดเจนมาก..
และหากมีคำถามว่าทำไมเธอถึงมองว่าเลทิเซียใช้เวทมนตร์ออก ยังไงซะเธอก็คือผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์มนุษย์มากคนหนึ่ง..
หากจะพูดว่าเธอคือผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์มนุษย์มากที่สุดในยุคนี้ ก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงสักเท่าไหร่
“นี่คือ..?”
เธอแปลกใจเล็กน้อย มองไปของที่อยู่ในมือเลทิเซีย.. มันเป็นอุปกรณ์บางอย่างที่มีรูปทรงเหมือนกระบอกอะไรสักอย่าง
แต่ทำขึ้นด้วยแร่พิเศษ และเห็นได้ชัดว่าภายในอุปกรณ์ชิ้นนี้มีพลังเวทบางๆ อยู่.. นี่คืออุปกรณ์เวทมนตร์!ไม่สิ
นี่มันอาร์ติแฟ็ค?!
ต้องทราบว่าในยุคนี้คนที่รู้จักอาร์ติแฟ็คนั้นมีไม่เยอะ.. อย่างน้อยคนธรรมดาก็คงไม่รู้จัก เพราะว่าอาร์ติแฟ็คเป็นของที่มาจากชิ้นส่วนเวหาอันลึกลับ
ต่อให้ในยุคเปลวสงครามนี้มีคนเข้าไปในนั้นได้ แต่ก็คงยากที่จะกลับมาได้ อีกทั้งต่อให้มีคนออกมาพร้อมกับอาร์ติแฟ็ค
หากไม่ใช่คนระดับต้นๆ ของทวีปก็คงไม่รู้วิธีใช้หรอก ดังนั้นสำหรับพวกเขาคงมองว่าอาร์ติแฟ็คนั้นมันเป็นแค่เศษขยะเท่านั้น
เพราะแบบนั้นคนในธรรมดาในยุคนี้จึงไม่ค่อยรู้จักอาร์ติแฟ็คกันนั่นเอง
แต่ถ้าพูดถึงอุปกรณ์เวทมนตร์ การสร้างเลียนแบบอาร์ติแฟ็ค พวกเขาคงพอรู้จักกันบ้าง แต่นี่คืออาร์ติแฟ็คเลยนะ!
พอเธอมองเห็นอาร์ติแฟ็คในมือเลทิเซียเธอก็อุทานออกมาด้วยความตกใจว่า
“อาร์ติแฟ็ค…? ของจริงงั้นเหรอ?”
เลทิเซียที่เห็นท่าทางการตอบสนองของอีกฝ่ายก็เลิกคิ้ว และเดาออกทันทีว่าอีกฝ่ายเองก็เป็นคนใหญ่คนโตในเผ่ามนุษย์
อาจจะรู้จักกับผู้กล้าเลยล่ะ แต่กลิ่นอายที่สัมผัสไม่น่าจะใช่ผู้กล้า.. หรือว่า.. เป็นคนที่เลทิเซียตามหาอยู่จริงๆ ?
แต่เลทิเซียไม่แสดงอะไรออกมาให้เห็นชัด เธอพยักหน้าตอบกลับว่า
“ใช่ มันไม่ใช่ของที่ดีอะไรขนาดนั้นหรอก มันทำได้เพียงแค่เป็นที่เต้นท์ที่พักกลางอากาศเท่านั้น”
“แค่นั้นเหรอ?”
“นอกจากนี้ก็… มีห้องครัว มีห้องอาบน้ำ มีเตียงนอน มีอาหารฉุกเฉินที่เก็บไว้กินได้ ข้อเสียคือไม่สามารถเคลื่อนที่ได้นอกจากกลางอากาศที่เราตั้งเอาไว้น่ะ อ้อแล้วก็ไม่รับการโจมตีระยะไกลทุกประเภทระดับหนึ่ง.. แล้วก็ใช้ได้เพียงแค่หนึ่งเดือนหลังจากเปิดใช้งานครั้งแรก เพราะงั้นครบเดือนหนึ่งก็โยนทิ้งได้เลย”
ดวงตาของอีกฝ่ายเบิกกว้างแทบจะทันที ไอ้นี่มันบ้านที่พาไปไหนมาไหนได้เลยไม่ใช่เหรอ? แถมยังลอยอยู่บนฟ้าหมายความว่าไม่ต้องกลัวเรื่องการถูกจู่โจมโดยอสูร
อีกทั้งยังป้องกันการโจมตีระยะไกลนี่มัน.. ป้อมปราการลอยฟ้าหรือไง ถึงจะป้องกันแค่ระดับหนึ่งกับมีเวลาใช้งานแค่หนึ่งเดือนก็เถอะ
แต่ก็ยังถือว่าเป็นของสะดวกสบายมากหนึ่งอย่างเลยนะ.. อันที่จริงก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ แต่ในห้าร้อยปีข้างหน้าการทำได้แค่นี้มันไม่ใช่อาร์ติแฟ็ค
แต่อยู่ในระดับอุปกรณ์เวทมนตร์เอง แต่ก็นะ.. ที่เลทิเซียไม่ได้บอกอีกอย่างคือ.. อาร์ติแฟ็คชิ้นนี้เธอแอบใส่ระบบดักฟังเข้าไปด้วยตอนเมื่อสักครู่นี้เลย
และที่เธอทำให้มันใช้งานได้แค่หนึ่งเดือนนั่นเป็นเพราะว่า เธอกลัวว่าวิทยาการในอนาคตจะถูกชำแหละ นำมาใช้ในยุคนี้จนเกิด Time Paradox
หากอีกฝ่ายใช้ครบหนึ่งเดือนแล้วไม่ทิ้ง มันก็จะระเบิด
ซึ่งแน่นอนว่าอาร์ติแฟ็คชิ้นนี้เป็นอาร์ติแฟ็คที่เลทิเซียสร้างมันขึ้นมาเองกับมือ ด้วยความสามารถเธอในตอนนี้การสร้างอาร์ติแฟ็คนั้นง่ายมาก
ที่เลทิเซียทำแบบนี้อย่างแรกเพื่อดูปฏิกิริยาอีกฝ่ายว่ารู้จักอาร์ติแฟ็คไหม.. อย่างที่สองก็เพื่อจะดักฟังหัวข้อสนทนาของอีกฝ่าย
ว่าจะเป็นคนที่เธอตามหาหรือเปล่า….
“จริงๆ ไม่จำเป็นหรอก แต่ในเมื่อเจ้าให้มา ข้าก็ขอรับไว้ด้วยความยินดี”
เธอรับไปโดยไม่ปฏิเสธ อันที่จริงหากเธอปฏิเสธมันจะเป็นการเสียมารยาทเกินไป ถึงของที่อีกฝ่ายให้มามันจะดูเกินจริงไปหน่อย
ซึ่งเธอคิดว่านี่คงเป็นการทดสอบตัวเธอเองจากอีกฝ่ายด้วยส่วนหนึ่งว่า.. เธอจะกล้ารับของตอบแทนชิ้นใหญ่นี้ไหม
แต่เธอรู้ว่าหากเธอปฏิเสธ.. อีกฝ่ายจะรู้สึกว่าตนเองพยายามหาประโยชน์บางอย่างจากตัวอีกฝ่าย
แน่นอนว่าสิ่งที่เธอต้องการคือการผูกมิตร ไม่ใช่ทำให้อีกฝ่ายสงสัยในตัวของเธอ.. ดังนั้นเธอจึงต้องรับมาด้วยความยินดี
เหมือนการบอกอีกนัยกับเลทิเซียว่า ‘ข้าไม่ปฏิเสธนะ เพราะหากปฏิเสธมันจะดูเสแสร้ง เพราะยังไงซะนี่ก็คืออาร์ติแฟ็คนะ!และข้าเองก็อยากเป็นมิตรกับเจ้าโดยปราศจากการเสแสร้งเช่นกัน!’
ดวงตาเลทิเซียเลิกขึ้น.. เธอแปลกใจเล็กน้อยตอนแรกเลทิเซียคิดว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธตามมารยาทสักรอบสองรอบก่อนค่อยรับ
เลทิเซียไม่ใช่คนโง่ เธอเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายจะสื่อแทบจะทันที…
การสนทนาของคนทั้งสองมองเผินๆ เหมือนไม่มีอะไร.. แต่ในความเป็นจริงพวกเธอกับชิงไหวชิงพริบกัน
นี่คือการผูกมิตรกับคนในระดับเดียวกันที่ไม่จำเป็นต้องมาพูดว่า ‘ผูกมิตร’ ก็สามารถทำได้ด้วยวิธีอื่น
ลื่นไหลราวกับกระแสน้ำ!
บัดนี้ทั้งสองคนราวกับเป็นเฒ่าหัวงูมากแผนการอย่างไรอย่างนั้น!