การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 388
บทที่ 388 – เลทิเซียกับเนล
หลังจากที่คนสวมผ้าคลุมสีเทาพาเด็กผู้หญิงที่ชื่อเนลเข้าไปในโรงเตี๊ยมเธอก็สั่งอาหารให้กับเด็กคนนั้นกิน
เนล.. ตั้งแต่คำพูดของคนปริศนามันทำให้เธอไม่ได้ตกลงสู่บ่อแห่งความเคียดแค้น กลับกันเธอปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตส่วนที่ท่านพ่อและท่านแม่ รวมถึงท่านพี่ของเธอไม่สามารถใช้ได้ เธอต้องพยายามให้เต็มที่
ดังนั้นเธอจึงพยายามที่จะมีชีวิตต่อไป… ไม่มีคนรู้ว่าคำพูดของคนคนนั้นมันมอบอะไรให้เนลบ้าง.. แต่มันก็มากเกินกว่าจะพูดออกมาเป็นคำพูดได้
เธอไม่โกรธหรือแค้น.. แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ไม่ได้มีความใจดีเหมือนคนคนนั้นเช่นกัน เธอทำมุกอย่างเพื่อที่จะเอาตัวรอด..
และหวังว่าสักวันหนึ่ง.. หวังว่าสักวันหนึ่งด้วยดวงตาคู่นี้ของเธอจะมองเห็นสันติสุขที่กลับคืนมา.. สงครามจะหยุดลง
ทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสามัคคี.. เธอวาดฝันภาพเช่นนั้นไว้ บางทีบิดามารดาของเธอเองก็ต้องการอนาคตแบบนั้นเหมือนกัน
ดังนั้นเธอต้องอยู่ต่อไป.. ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ ต้องทำให้ดวงตาคู่นี้มองเห็นโลกทั้งใบที่เปลี่ยนไปให้ได้
เผื่อพ่อ แม่และพี่ชายของเธอที่ลาลับโลกไปแล้ว.. แต่ก็แน่นอนว่า แม้เธอจะอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่โลกใบนี้ไม่ได้ใจดีขนาดนั้น
เธอที่ไม่มีทั้งที่ซุกหัวนอน ไม่มีทั้งอาหาร.. และไม่มีใครสนใจ จะมาหาอาหารได้ยังไงกันล่ะ นอกจากขโมย..
เพราะเด็กคนอื่นที่อยู่ในสลัมก็ทำแบบนั้นเพื่ออยู่รอด.. เพื่อการอยู่รอดเธอก็ต้องทำทุกอย่างให้เต็มที่เพื่ออยู่รอดเช่นกัน
เธอพยายามจะขโมยอาหารจากร้านแผงลอยตามเมือง แต่ทุกครั้งล้วนแล้วแต่ไม่สำเร็จจนผ่านมาแล้วหลายวันที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องของเธอ
ยังดีที่เมืองนี้ไม่ใช่เมืองแร้นแค้นขนาดนั้น ยังมีพวกน้ำตามสระที่เธอแอบดื่มเพื่อประทังชีวิตได้
เรียกได้ว่าชีวิตอันแสนสุขสบายของเธอที่เคยอยู่กับครอบครัว ได้ถูกกลับตาลปัตรจนกลายเป็นเด็กจรจัดไปโดยปริยาย
เธอเองก็ไม่ใช่คนโง่.. แม้จะเป็นเด็กอายุเพียงสิบขวบ แต่อาจจะเพราะเจอเรื่องราวความเจ็บปวด เห็นด้านมืดในจิตใจของสิ่งมีชีวิต
มันทำให้เหมือนเธอรู้ว่าตัวเองต้องปรับตัว ตัวเธอมีเพียงคนเดียว… เธอต้องอยู่รอดให้ได้
นี่เป็นเหมือนสัญชาตญาณบางอย่างของสิ่งมีชีวิต.. ดังนั้นเธอจะต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ ถึงแม้จะเพราะร่างกายอ่อนแอมาก..
อย่าว่าแต่ขโมยเลย ขนาดวิ่งไม่กี่ก้าวเธอยังหอบหายใจแล้ว สถานการณ์จึงเป็นแบบที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้นั่นเอง
“ค่อยๆ กิน ไม่มีคนแย่งเธอหรอก”
คนที่สวมฮู้ดพูดขึ้น เนลจึงเงยหน้าขึ้นมอง แต่มือยังคงตักอาหารเข้าปากไม่หยุด… เนลจ้องมองผู้หญิงที่ดูพึ่งพาได้คนนี้
แต่ก็ต้องขมวดคิ้ว คนตรงหน้านี้สูงห่างจากเธอไม่มากแท้ๆ แถมเสียงก็ยังดูเด็กอยู่ด้วย นี่ยิ่งทำให้เนลรู้สึกทึ่งและประทับใจในเวลาเดียวกัน
เป็นความรู้สึกที่ต่างจากเจอคนสองคน ความรู้สึกที่เนลมองไปยังผู้หญิงตรงหน้านี้มันคือความนับถือและรู้สึกเหมือนถูกช่วยเอาไว้
คนตรงหน้าเปรียบเหมือนกับเทพธิดาสำหรับเธอเลยล่ะ ไม่มีใครรู้ว่าการที่ไม่มีอาหารตกลงท้องเป็นเวลาหลายวันมันทรมานขนาดไหน
อีกทั้งปีศาจยังมีร่างกายที่ทนทานกว่ามนุษย์ ทำให้บางครั้งไม่ทานอาหารสิบวันก็ไม่ตาย.. แต่ว่าความทรมานในการอดอาหารนั้นมันรุนแรงกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ
ดังนั้นสำหรับเนลคนตรงหน้านี้จึงเป็นผู้มีพระคุณอย่างหาใดเปรียบ..
ถึงเธอตะคิดแบบนั้นอยู่แต่ก็ยังตัดอาหารเข้าปากไม่หยุดอยู่ดีละนะ
แน่นอนว่าคนที่สวมใส่ฮู้ดอยู่นี้จะเป็นใครไปไม่ได้อีกนอกจากเลทิเซีย.. ก่อนหน้านี้เธอได้ตกลงอะไรบางอย่างกับเมอร์สัน
เธอก็ตัดสินใจที่จะมาที่แห่งนี้ หากถามว่าเข้าด่านตรวจมาได้อย่างไรละก็.. แน่นอนว่าจะแอบเข้ามานั้นง่ายมาก แต่เพราะเลทิเซียไม่อยากให้วุ่นวาย
เธอจึงเอาตราสำคัญๆ มาจากเมอร์สัน.. เพราะยังไงซะเมอร์สันมีสปายอยู่ทุกหนทุกแห่งการที่เลทิเซียจะมีเหรียญตราที่สำคัญๆ ระดับประเทศ
ที่พอจะสามารถเข้าออกเมืองได้ตามใจนั้นง่ายยิ่งกว่าอะไร.. จากการคาดเดาของเธอ.. ‘คนคนนั้น’ ต้องเริ่มจากประเทศนี้แน่ๆ
และด้วยมันสมองระดับเลทิเซียที่พอได้ยินเรื่องการปะทะกันของจอมมารที่ปกครองอาณาจักรมารฟาร์เนียนี้กับเผ่ากึ่งมนุษย์
เธอก็พอจะเดาแผนการของจอมมารที่เหมือนจะใช้จิตวิทยาเข้าสู้แทบจะทันที… และเมื่อพิจารณาจากจุดนี้
‘คนคนนั้น’ ต้องเล็งที่นี่เป็นที่แรกอย่างนั้นแน่นอน อันที่จริงเลทิเซียก็มาที่นี่ได้หลายวันแล้ว เธอกำลังเหรอใครสักคนที่ว่า
แน่นอนว่าเลทิเซียไม่รู้ว่าคนคนนั้นจะปรากฏขึ้นมาตอนไหน อาจจะอีกกี่สิบปีให้หลังหรืออาจจะแค่ปีเดียวเธอไม่ทราบ
แต่เธอก็จะรออยู่ที่นี่.. จนกว่าจอมมารนั้นจะหลุดจากการเป็นเป้าหมายของ ‘คนคนนั้น’ ซึ่งเลทิเซียต้องมารอดูตามสถานการณ์อีกทีในอนาคต
กล่าวคือ เลทิเซียไม่รีบร้อนอะไรทั้งสิ้น เธอแค่กลมกลืนเข้าไปกับฝูงชนและรออยู่ที่นี่ก็พอ.. ถึงเธอจะไม่รู้จักหรือเคยเห็นอีกฝ่ายเลยก็ตาม
ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่รู้มีแต่ลักษณะของคนที่เธอตามหาด้วยซ้ำ แต่เธอมั่นใจว่าหากปรากฏตัวขึ้นคนคนนั้นจะต้องสร้างความแปรเปลี่ยนบางอย่างในเมืองนี้แน่
เมื่อถึงตอนนั้นเลทิเซียก็จะรู้ทันทีว่าเขาคือใคร มีลักษณะแบบไหน!
“ถ้าหากคนสมัยนี้รู้จักจดบันทึกประวัติศาสตร์ ฉันก็คงได้รู้วันปีที่ชัดเจนกว่านี้ละนะ…”
เธอพึมพำกับตัวเอง เพราะเธอไม่รู้ประวัติศาสตร์ที่แน่ชัดเท่าไหร่ แต่โชคชะตานั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนอยู่แล้วล่ะ
ถึงจะไม่มีใครทราบว่าคนคนนั้นที่เลทิเซียวาดฝันถึงมีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่า.. แต่อย่างน้อยคนที่เลทิเซียคิดว่าเป็นคนที่จะเปลี่ยนแปลงเมืองนี้
ก็อยู่ที่เมืองนี้ในตอนนี้เหมือนกันกับเธอแล้ว.. ไม่สิ.. อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ด้วยซ้ำ… ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เลทิเซียหันไปเห็นคนสองคนที่นั่งอยู่ขอบหน้าต่าง
“หือ.. เวทมนตร์แทรกแซง? มนุษย์?”
เลทิเซียอึ้งเล็กน้อย.. เหมือนที่ตรงนั้นจะใช้เวทมนตร์ที่แทรกแซงคลื่นความถี่ต่ำให้คลื่นความถี่ภายในไม่ส่งออกมาข้างนอกได้
เหมือนกับเป็นเวทมนตร์ที่ไม่ทำให้เสียงหลุดออกมา.. หากถามว่าทำไมเลทิเซียถึงรู้.. เอาเข้าจริงๆ บนโลกนี้คงไม่มีใครเชี่ยวชาญเวทมนตร์ไปมากกว่าเธอได้แล้วล่ะ
เพียงแค่มองปราดเดียวเธอก็แยกออกทันทีว่าเป็นเวทมนตร์อะไรประเภทไหน เลทิเซียขมวดคิ้วแทบจะทันที..
“ทำไมถึงมีมนุษย์เข้ามาในนี้ได้ล่ะ?”
เลทิเซียประหลาดใจ หากมีมนุษย์บุกรุกเข้ามาจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เหรอ แต่ดูจากท่าทางแล้วจะไม่มีใครสังเกตเห็น..
หรือไม่รู้เหรอว่าสองคนนั้นเป็นมนุษย์น่ะ? เลทิเซียนิ่งแปลกใจกว่าเดิมอีก ไม่ใช่ว่าเลทิเซียไม่คิดว่าสองคนนั้นจะเป็นคนที่เธอตามหา
แต่ไม่ใช่ว่าคนคนนั้นมีคนเดียวเหรอ? อีกอย่างเธอก็ไม่รู้ว่าคนที่เธอตามหาเป็นมนุษย์หรือปีศาจด้วยสิ.. ทางเดียวที่ทำได้มีแต่ต้องรองั้นเหรอ..
“…อืมมม..”
เลทิเซียส่งเสียงอืมออกมาพลางครุ่นคิด ก่อนที่จะตัดสินใจใช้พลังของตัวเองส่องดูใบหน้าของสองคนนั้นภายใต้ผ้าคลุม
ถึงจะบอกว่าใช้พลังก็เถอะ แต่สำหรับเลทิเซียจะมีผ้าปิดหน้าหรือไม่มีนั่นก็ไม่ต่างกันหรอก เพียงแค่เลทิเซียไม่จำเป็นต้องดูใบหน้าทุกคนที่ผ่านไปมาสักหน่อย
เธอจึงปิดกั้นความสามารถที่ยิบย่อยพวกนี้ หากเธอต้องการเธอสามารถมองทะลุได้ทุกอย่าง.. อันที่จริงเธอแทบสามารถมองเห็นไปจนสุดขอบโลกได้เลย
แต่ว่าในตอนนั้นเอง
“ทั้งหมดคือ สิบเงินกับอีกห้าทองแดงค่ะ”
ในตอนนั้นเองพนักงานก็พูดขึ้นคิดงั้น เพราะเหมือนเนลจะทานอาหารจนหมดแล้ว เลทิเซียจึงหันกลับมาพร้อมกับควักเงินออกมาจากมิติส่วนตัว
“อ่า..”
พอควักเงินออกมาก็พบว่ามีแต่เงินที่ใช้ในแดนมนุษย์ แถมเป็นเงินจากอนาคตห้าร้อยปีข้างหน้าอีก.. นี่หมายความว่าไง.. หมายความว่าเธอไม่มีเงินสักบาทไงล่ะ
อีกทั้งเพราะเธอลืมเอาเงินมาจากเมอร์สันเพราะคิดว่าไม่จำเป็น.. ตอนนี้ของมี่ใช้ได้มีแค่เหรียญตรายืนยันตัวตนว่าเป็นคนใหญ่คนโต..
เลทิเซียหันไปมองหน้าพนักงาน.. พนักงานเองก็มองหน้าเลทิเซีย ทั้งสองคนสายตาผสานกัน พนักงานรู้แทบจะทันทีว่า.. เจ้านี่ไม่มีเงิน!
เพราะเธอเห็นมานักต่อนักแล้วสถานการณ์แบบนี้… สถานการณ์ที่นั่งทานอาหารจนถึงเวลาจ่ายแล้วบอกว่าไม่มีเงินแบบนี้เนี่ย
แม้ทุกอย่างจะไม่ได้เป็นจุดสนใจมาก เพราะนี่คือโรงเตี๊ยม แต่เหมือนคนตรงขอบหน้าต่างที่สวมฮู้ดสีขาวสองคนจะสังเกตพวกเลทิเซียมาสักพักแล้ว
พอเห็นท่าทางประหลาดของเลทิเซียกับพนักงานพวกเธอเหมือนจะมองต้นสายปลายเหตุออกทันที…
“เจ้า…”
พนักงานกำลังจะเปิดปากด่ากราดนั้นเอง… คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่างก็เกาหัวด้วยความสับสนเล็กน้อย .. คนพี่ก็เดินออกมาพร้อมกับพูดก่อนว่า
“เธอคือเพื่อนข้าเอง เธอไม่ได้เตรียมเงินมาเพราะนัดกับเราไว้นะ.. แต่เพราะข้าปิดหน้าปิดตาเอาไว้เธอเลยน่าจะจำไม่ได้”
“เดี๋ยวข้าจ่ายแทนเอง”
เธอคนนั้นยื่นเงินให้พนักงานแทบจะทันที พนักงานคนนั้นอยากจะบอกว่า ไอ้คนนี้ก็ปิดหน้าปิดตาเหมือนกันไม่ใช่หรือไงน่ะ..
แต่ในเมื่อได้เงินมาแล้วเธอก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก เธอกลับไปทำงานของตัวเองต่อภายใต้ความงงงวยต่อสถานการณ์ของเนลที่ทานอาหารจนท้องป่องอยู่บนเก้าอี้