การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 381
บทที่ 381 – ฟันเฟืองที่เริ่มหมุนอีกครั้ง
“ท่านจะบอกว่าท่านแม่.. วางแผนให้ท่านมอบพลังให้กับเวโรเน่?”
ดวงตาของไอรีนเบิกกว้าง เธอรู้ว่าเธอมีน้องสาวก็เมื่อไม่นานมานี้เอง แน่นอนว่ารู้จากมารดาของเธอนั่นแหละ
มารดาเธอบอกว่าเธอฝากลูกไว้กับอาร์ชเพื่อนเก่าของมารดาเธอ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดครบรอบสิบแปดปีของเวโรเน่
มารดาเธอให้มารับน้องสาวกลับคืนสู่บ้าน.. ถึงแม้ไอรีนจะมีคำถามมากมายแต่ก็ไม่ได้ถามมารดาออกไป เธอรู้ว่าท่านแม่ของเธอเป็นคนยังไง
“แต่ว่า.. ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นล่ะ.. ถ้าท่านแม่ขอร้อง ท่านก็น่าจะมอบให้นี่น่า.. ทำไมถึงต้องทำวิธีอ้อมค้อมขนาดนี้ล่ะ แถมยังทำให้ท่านต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก..”
ไอรีนกล่าวด้วยความสับสน แต่ว่าอาร์ชก็ส่ายหน้า..
“ไม่หรอก.. ข้าน่าจะมองออกให้เร็วกว่านี้.. แต่บางทีผู้กล้าแห่งเจตจำนง พลังที่แท้จริงของมันคือการส่งต่อเจตจำนงจากรุ่นสู่รุ่น..”
“แต่หากมองให้ลึกลงไปอีกละก็.. เจตจำนงก็เปรียบดังความรู้สึก ความปรารถนาและพลัง.. นั่นหมายความว่ายิ่งสืบทอดต่อไปเรื่อยๆ พลังของผู้กล้าแห่งเจตจำนงจะเพิ่มขึ้นอย่างไร้ที่สิ้นสุดไงล่ะ”
“และหากเธอแสดงออกว่าอยากได้พลังข้าแบบชัดเจน เธอคงคิดว่าข้าจะมองออกถึงข้อนี้.. และคงกลัวว่าข้าจะไม่มอบพลังนี้ให้นาง…”
เขากล่าวพลางไอออกมา ไอรีนที่ได้ยินแบบนั้นก็พึมพำด้วยความสับสนว่า..
“อะไรกัน.. ท่านแม่น่ะเหรอ… ท่านต้องการพลังไปเพื่ออะไรกัน…”
“บางที… สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นต้องการน่ะ…คือ..”
……………
“นี่คือที่ตั้งของพวกเรา”
ผ่านรอยแยกมิติที่ใช้เดินทางข้ามมิติมาก็มีร่างของเลทิเซียและเมอร์สันตามมา ส่วนควีนถูกส่งกลับไปเป็นสปายเหมือนเดิมในเผ่าปีศาจ
เบื้องหน้าเลทิเซียตอนนี้เป็นกำแพงที่ไม่มีแสงลอดผ่านเข้ามา อันที่จริงมันคงเป็นใต้ดิน แต่เพราะการแต่งสรรค์ให้เหมือนภายในราชวัง
มันเลยดูไม่เหมือนใต้ดินเท่าไหร่ ตลอดทางถูกจุดไว้ด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ใช้ส่องแสง.. ฐานทัพหลักของพวกเขาที่อยู่ใต้ดิน
ไม่มีทางเข้าที่แน่นอน คนที่สามารถเปิดประตูทางเข้าหรือออกได้มีเพียงเมอร์สันคนเดียว ว่ากันว่าที่แห่งนี้ตั้งอยู่ลึกจากพื้นดินไปมาก
ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตในการขุดลงไปยังแทบเป็นไปไม่ได้ นั่นคือความลึกที่ยากจะหยั่งถึงอย่างแท้จริง
และแน่นอนว่าเมอร์สันเป็นคนขี้ระมัดระวังอย่างมาก ภายในฐานทัพแห่งนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่เขาไม่ได้เปิดเผยให้สมาชิกคนอื่นได้รับรู้
เพราะหากเอาที่แห่งนี้ไปปรากฏบนผิวโลกมันก็คือปราการขนาดใหญ่ดีๆ นี่เอง เลทิเซียกวาดสายตาไปโดยรอบ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ทั้งสองคนเดินผ่านทางเดินทอดยาวไปเรื่อยๆ เมอร์สันนำหน้าตามหลังด้วยเลทิเซีย ในขณะที่เดินไปสักพักเมอร์สันก็กล่าวขึ้น..
“สิ่งที่เจ้าพูดมา… หากนั่นเป็นความจริงก็ดีไป.. แต่หากไม่ข้าคงเสียเปรียบเจ้าอย่างมาก.. แต่จะจริงหรือไม่นั่นช่างมันก่อน แต่เจ้าสามารถทำมันได้จริงๆ ใช่ไหม?”
“หือ ไม่หรอก”
“เอ๊ะ…?”
เลทิเซียปฏิเสธออกมาแบบนั้นทำให้เมอร์สันสะดุ้ง อย่างไรก็ตามเลทิเซียก็พูดต่อไป ทำให้เมอร์สันเลิกเข้าใจผิด
“แต่ว่าทุกอย่างจะหยุดลงแน่นอน ตามความปรารถนาของนาย”
“ข้าก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”
เพราะคำพูดที่ดูมีลับลมคมในของเลทิเซียทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจหวนนึกถึงเรื่องที่เลทิเซียบอกกับตัวเอง.. ยังรู้สึกเหมือนโดนเลทิเซียหลอกไม่หายก็จริง
แต่หากนั่นเป็นความจริงทุกสิ่งทุกอย่างเขาก็สามารถฝากไว้กับคนคนนี้ได้จริงๆ แต่หากไม่ละก็…. แต่เขาก็มองไม่เห็นผลประโยชน์ที่เลทิเซียจะโกหกเหมือนกัน
เขาจึงทำได้เพียงแต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ในเมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้วก็ต้องไปให้ถึงที่สุด… ทุกอย่างต้องไปได้สวยแน่นอน
เขาก็พาเลทิเซียเดินลัดเลาะตามโครงสร้างของพื้นที่ เลี้ยวซ้ายบ้างขวาบ้าง มาถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่เป็นห้องโถงขนาดใหญ่
ภายในห้องโถงมีห้องแยกเป็นห้องๆ อีกหลายห้อง ซึ่งมีกระจกเสริมพลังเวทแบ่งเป็นห้องๆ เอาไว้
ซึ่งในแต่ละห้องจะมีคนสวมชุดสีขาวที่ดูเหมือนนักวิจัยกำลังทดลองอะไรบางอย่างอยู่ ตามหน้าที่ของตนเอง
นี่คือเขตวิจัยของกลุ่มผู้แสวงหาสันติสุข.. สถานที่แห่งนี้แทบเรียกได้ว่ารวบรวมวิทยาการและผลงานวิจัยของทั่วทุกมุมทวีปเข้ามา
เพราะมีสปายอยู่ทุกที่ละนะ.. และวิจัยพร้อมกับพัฒนา กล่าวได้ว่าสถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่มีวิทยาการก้าวหน้าที่สุดในยุคนี้เลยก็ว่าได้
และเป็นหัวใจหลักของกลุ่มองค์กร หากขาดห้องวิจัยเหล่านี้ไป อย่าว่าแต่องค์กรเลย… กลุ่มนี้แทบจะไม่มีคุณค่าอะไรที่ต่างไปจากขุมอำนาจต่างๆ บนโลกเลย
ซึ่งนักวิจัยส่วนหนึ่งที่อยู่นอกห้องกระจก พวกเขาสังเกตเห็นเมอร์สันก็รีบเดินมาหาเมอร์สันโดยไม่สังเกตเห็นเลทิเซียที่อยู่ด้านหลังเธอก็รีบพูด
“หัวหน้า.. ข้าสามารถจำลองเซลล์สิ่งมีชีวิตออกมาได้แล้ว แต่มีปัญหาที่ว่าเซลล์มันจะตายในทันทีเลย”
“เซลล์งั้นเหรอ เมื่อกี้เธอพูดถึงเซลล์งั้นเหรอ?”
เลทิเซียที่อยู่ด้านหลังก็พูดขึ้น พร้อมกับเดินออกมามองหน้าพงผู้พูด คนที่พูดเป็นหญิงสาวผมสีดำเงางาม ไว้ผมทรงหางม้าและสวมแว่นตา
เลทิเซียขมวดคิ้วทันที อันที่จริงเซลล์เธอรู้จักมันดีเพราะมันเป็นโครงสร้างหลักของสิ่งมีชีวิตเลยก็ว่าได้ หากสามารถจำลองเซลล์หมายความว่าก็สามารถจำลองโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตได้แล้วนั่นเอง
แน่นอนว่าคำนี้อย่าว่าแต่สมัยนี้เลย แม้แต่ในห้าร้อยปีข้างหน้าคำว่าเซลล์เลทิเซียยังแทบไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ
กล่าวคือเป็นความรู้เชิงวิชาการที่ค่อนข้างลึก บางทีหากคนรู้เรื่องเซลล์โดยละเอียด พวกเขาคงมีการฟื้นฟูสุดโต่งแบบเลทิเซียได้ในระดับหนึ่งเลยล่ะ
ผู้หญิงคนนั้นที่เห็นเลทิเซียพูดขึ้น พร้อมกับไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ทำให้เธองงงวยหันไปมองเมอร์สัน
เมอร์สันเองก็หันหน้ามาเลทิเซียพร้อมกับพูดขึ้น
“เธอรู้จักสิ่งที่เรียกว่าเซลล์ด้วยเหรอ..? พวกเราพึ่งค้นพบมันไม่นานมานี้เองนะ..?”
“ไม่นาน.. แต่สามารถจำลองมันขึ้นมาได้แล้ว?”
ดวงตาเลทิเซียยิ่งเบิกกว้างขึ้นไปอีก เธอรู้สึกว่าตัวเองดูถูกห้าร้อยปีก่อนเกินไป ตอนแรกเธอกะจะใช้องค์ความรู้ที่เธอรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์
และลักษณะการเจริญเติบโต ผสมผสานกับเวทมนตร์.. ซึ่งต้องมานั่งสอนทุกคนตั้งแต่แรก.. แต่เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นสินะ
และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ … ในยุคที่เต็มไปด้วยสงครามรุนแรงสิ่งมีชีวิตย่อมรู้สึกเหมือนโดนมีดจ่อคออยู่ตลอดเวลา
มีคำกล่าวว่าแม้แต่สุนัขที่จนตรอกมันยังสามารถทำอะไรก็ได้.. แม้แต่ฆ่าคนที่ขู่มันแน่นอนไม่ใช่แค่สุนัข
ทั้งมนุษย์หรือปีศาจเองก็ไม่ต่างกัน พวกเขาต้องเร่งรีบและพัฒนาตัวเองให้สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ หากไม่สามารถทำได้ชะตากรรมก็เหลือเพียงแต่ความตาย
ดังนั้นวิทยาการจึงพัฒนาไปข้างหน้าแบบไม่หยุดหย่อน.. แน่นอนว่าที่แห่งนี้เองก็เช่นกัน.. สำหรับเมอร์สันอาจจะคิดว่ายังห่างไกลจากการสร้างสิ่งมีชีวิตอยู่มาก
แต่สำหรับเลทิเซียที่เคยสร้างร่างกายเทียมให้กับไวท์แล้ว.. ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินจริงขนาดนั้น แม้จะมีปัญหาอยู่มาก…
แต่ว่า… ค่อยๆ คิดวิธีแก้ไปตามสถานการณ์ นั่นแหละคือการวิจัย
เมอร์สันที่เห็นท่าทางของเลทิเซียก็กล่าวถามด้วยความสงสัย
“หมายความว่าไงเหรอ?”
“ที่ฉันจะบอกคือ … บางทีเป้าหมายของพวกเราคงไม่ได้ห่างไกลอย่างที่นายคิดขนาดนั้นยังไงล่ะ”
ดวงตาของเลทิเซียเผยแววคาดหวัง… มือสองข้างกำแน่นๆ … เธอรู้สึกราวกับมีความหวังขึ้นมาแล้ว
นี่แหละ.. นี่จะเป็นเส้นทางในการช่วยเหลือเพื่อนพ้องที่แสนสำคัญของเธอทั้งหมด มันต้องสำเร็จแน่ๆ
“ฉันจะช่วยพวกเธอให้ได้… ไม่ว่าจะยังไงก็ตามแต่”
เลทิเซียพึมพำเสียงเบา ….