บทที่ 378 – กลุ่มผู้แสวงหาสันติสุข
“สปาย…?”
เลทิเซียแปลกใจเล็กน้อย แต่สมองเธอก็ปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างได้แทบจะทันที.. ในยุคที่เต็มไปด้วยไฟสงครามนี้
สงครามที่ดำเนินมาตลอดหลายร้อยปีทั้งเผ่ามนุษย์และปีศาจและกึ่งมนุษย์ ต้องห้ำหั่นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
มันเป็นธรรมดาที่จะมีกลุ่มคนที่อยากจะหยุดสงครามลงสักทีซึ่งเลทิเซียสามารถเดาออกทันทีเลยว่า ‘กลุ่มผู้แสวงหาสันติสุข’ นี้เองเป็นกลุ่มที่มีเป้าหมายดังกล่าว
เพราะสาเหตุที่แอบแทรกแซงเข้าสู่ฝ่ายของจอมมารเพียงเพื่อจะวิเคราะห์ทั้งสองฝั่งและสองฝ่ายเอาไว้อย่างแน่นอน
บางทีฝั่งมนุษย์เองก็คงมีสปายพวกนี้แอบแฝงอยู่เยอะไม่แพ้กัน อีกอย่างใช่ว่าเลทิเซียจะไม่เคยอ่านเจอในหนังสือเท่าไหร่
กลุ่มผู้แสวงหาสันติสุขเองก็เคยมีการกล่าวถึงในประวัติศาสตร์ตอนที่เธอเรียนอยู่ เพียงแค่ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มดังกล่าวมันน้อยมาก
พอได้มายืนอยู่จุดจุดนี้เองเลทิเซียถึงเข้าใจว่ากลุ่มนี้เป็นเหมือนกลุ่มที่หาทางช่วยผืนทวีปแห่งนี้อยู่นั่นเอง
แน่นอนว่าคนที่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเลทิเซียนี้ คือผู้นำของกลุ่มผู้แสวงหาสันติสุขของโลกใบนี้นามว่า ‘เมอร์สัน’
ก่อนหน้านี้เมอร์สันได้รับการติดต่อจากควีน หนึ่งในลูกน้องที่เป็นสปายของเขา.. ซึ่งแทนที่อีกฝ่ายจะขอความช่วยเหลือฝั่งที่ตัวเองไปแทรกซึม
กลับมาขอความช่วยเหลือพวกเขา หมายความว่าเป็นวิกฤตที่เลี่ยงไม่ได้ ว่าง่ายๆ คือจวนตัวเอามากๆ นั่นเอง
เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเดินทางมาด้วยตัวเอง.. ต้องกล่าวก่อนว่า ‘กลุ่มผู้แสวงหาสันติสุข’ นั้นไม่ได้พึ่งก่อตั้งขึ้นมา
แต่ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อนานจนไม่รู้ต้นกำเนิดที่แน่ชัดแล้ว เพียงแต่เรื่องราวของกลุ่มผู้แสวงหาความลับนี้ถือเป็นเรื่องที่แม้แต่จอมมารหรือผู้กล้ายังไม่รู้จัก
ใช่ แม้จะไม่ใช่กลุ่มที่ใหญ่โตพอที่จะเป็นประเทศได้ แต่คนของพวกเขาก็แทบจะแทรกซึมอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งบนทวีปแห่งนี้
สำหรับเมอร์สันแล้ว ควีนนั้นแข็งแกร่งอยู่ในระดับเดียวกับผู้กล้าหลายคน แม้จะไม่ได้เก่งจนสามารถเอาชนะได้ แต่ก็ยังนับว่ามีฝีมือเป็นอันดับต้นๆ ขององค์กร
เธอมีความสำคัญอย่างมากต่อองค์กร เป็นหนึ่งในผู้ที่ประสบความสำเร็จในเวทมนตร์ชุบชีวิตที่กลุ่มองค์กรพวกเขาคิดค้นขึ้นมาได้
แน่นอนว่า เป้าหมายของกลุ่มผู้แสวงหาสันติสุข คือการวิจัยและสร้างสรรค์ผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้กล้าและจอมมารขึ้นมา!
ก็นะ.. นั่นเป็นเป้าหมายสูงสุดของพวกเขา ในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งแบบนี้ แม้แต่เทพธิดาก็ยังไม่คิดจะห้ามปราม
สำหรับเมอร์สันแล้ว เขารู้สึกราวกับเป็นหมูในคอกที่เทพธิดามองดูพวกเขาห้ำหั่นกัน เหมือนดูมดปลวกขัดแย้งกัน
แน่นอนว่าสิ่งที่จะหยุดทุกอย่างนี้ได้มีเพียงผู้ที่อยู่เหนือทุกคนจริงๆ แค่นี้ทุกคนก็จะกลัวจนไม่กล้าทำสงครามกันอีก…
ทุกอย่างมีเพียงแค่นั้น อย่างไรก็ตามเพราะแบบนั้นพวกเขาถึงได้ทำการวิเคราะห์พลังต่างๆ และสร้างพลังรูปแบบใหม่ๆ ออกมา
เพื่อสร้างผู้ที่อยู่จุดสูงสุดนั่นเอง..
และแน่นอนถึงจะบอกว่ากลุ่มผู้แสวงหาสันติสุขถูกสร้างขึ้นมานานแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าเปลี่ยนผู้นำเลย…
ว่าง่ายๆ คือ เมอร์สันคือผู้ก่อตั้งองค์กรนี้ขึ้นมาเองกับมือ! และตัวเขาก็มีอายุที่ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่าเขามีอายุเท่าไหร่
แต่จากคำกล่าวเล่าปากต่อปากจากรุ่นสู่รุ่นขององค์กร บ้างก็ว่าเขาอายุหลักร้อยปี บ้างก็ว่าพันปี..
และความแข็งแกร่งของเขานั้นอาจจะเรียกได้ว่าเทียบเท่ากับพวกจอมมารและผู้กล้าได้เลย แน่นอนบอกว่าเทียบได้ในที่นี่ก็ไม่ได้เก่งกว่าหรอก
เพราะหากเก่งกว่าเขาคงใช้กำลังตัวเองในการหยุดสงครามแล้ว…
และที่เผชิญหน้าเมอร์สันอยู่ตอนนี้เป็นเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยคนหนึ่ง.. ร่างกายเธอยังเป็นเพียงเด็กอายุสิบกว่าขวบเท่านั้น
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่พึ่งปรากฏไปเมื่อครู่และการที่เด็กผู้หญิงคนนี้สามารถจัดการกับยอดฝีมือขององค์กรได้อย่างง่ายดาย..
ซึ่งเรื่องนี้ต่อให้เป็นเมอร์สันเองก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ.. และหากเขาทำไม่ได้ก็หมายความว่าจอมมารหรือผู้กล้าที่ทำได้ก็แทบจะไม่มีเช่นกัน
แน่นอนว่าสำหรับเรื่องหน้าตาและความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตที่อยู่อันดับต้นๆ ของผืนทวีปนี้มีหรือที่เมอร์สันจะไม่รู้?
ในฐานะที่คนของเขาแทรกซึมอยู่ทุกหนทุกแห่ง กล่าวได้ว่าไม่ว่าจะหน้าตา นิสัยหรือความแข็งแกร่งเขารู้แทบทุกอย่าง!
แต่คนแข็งแกร่งตรงหน้านี้ ที่น่าจะแข็งแกร่งกว่าเขาไปอีก.. ทำไมเขาถึงไม่รู้จัก.. ทำไมถึงไม่เคยได้ยินข่าวมาก่อน!
นั่นง่ายมาก.. เพราะคนคนนี้ไม่ได้อยู่ทวีปแห่งนี้มาตั้งแต่แรกนั่นเอง บางทีอาจจะเป็นนักเดินทางที่เดินทางข้ามทวีปมา
ถึงจะแปลกใจว่าทำไมถึงผ่านเหล่าผู้พิทักษ์มาได้ แต่เหตุการณ์แบบนี้ในยุคนี้มีให้เห็นบ่อยจะตายไป
กล่าวคืออีกฝ่ายไม่ใช่คนของดินแดนแห่งนี้นั่นเอง…
ภายใต้การวิเคราะห์ของเมอร์สัน ใช่ว่าเลทิเซียจะไม่รู้แน่นอนว่าเลทิเซียเองก็สามารถเข้าใจบางสิ่งบางอย่างได้เช่นกัน
ยังไงซะความรู้ที่เธอได้รับมาก็เพียบพร้อมไปหมดทุกอย่างตั้งแต่แรกแล้ว ยังไม่นับถึงเรื่องที่เธอศึกษามาในอนาคตอีกห้าร้อยปีนับจากนี้อีก
แต่เลทิเซียไม่ค่อยสนใจเรื่องนั้นสักเท่าไหร่ สิ่งที่เธอต้องการมีเพียงวิธีบางอย่างที่สามารถช่วยเหลือเพื่อนตัวเองได้
ที่เลทิเซียไม่ได้กล่าวเข้าประเด็นในทันที อาจจะเพราะติดเป็นนิสัยหรือความระมัดระวังว่าจะเกิด Time Paradox ขึ้น
ทำให้เธอพยายามจะหลีกเลี่ยงถามถึงเรื่อง ‘การวิจัย’ ของพวกเขาออกไปตรงๆ เพราะเลทิเซียค่อนข้างตงิดใจเรื่องพลังในการปลุกคนตายกลับมา
หากมองในทางกลับกันถ้าสามารถปลุกร่างกายที่ตายไปแล้วกลับมาทำงาน แถมยังมีพลังเพิ่มขึ้น หากทำแบบนั้นกับวิญญาณที่อยู่ในปรโลกล่ะ
จะสามารถทำให้พวกเธอกลับมามีชีวิตได้อีกหรือเปล่า?
ไม่ว่าจะมีความเป็นไปได้น้อยเพียงใด เลทิเซียก็ต้องคว้ามันเอาไว้…
“สิ่งที่พวกนายต้องการคืออะไร?”
“…..”
เลทิเซียไม่ได้ถามอ้อมค้อมอีกต่อไป แต่ก็ไม่ได้ถามทีละจุดเหมือนกัน หลีกเลี่ยงการที่อีกฝ่ายจะพูดไม่หมด
ถึงจะไม่สามารถยืนยันว่าอีกฝ่ายโกหกหรือจริงจัง แต่ถ้าหากไม่มีทางเลือกจริงๆ เธอคงต้องแทรกแซงความทรงจำเพื่ออ่านเอาเลยล่ะ
ซึ่งแบบนั้นมันอาจจะทำให้เธออยู่ที่นี่ไม่ได้อีกเลยก็ได้.. แต่มันก็คุ้มค่าแล้ว อีกอย่างลูกน้องอีกฝ่ายอยู่ในมือเลทิเซีย
การใช้ลูกน้องขู่ หากเป็นคนที่มีศีลธรรมสูงจะต้องยอมถอยให้แน่นอน ซึ่งจากการวิเคราะห์ท่าทางและการที่อีกฝ่ายเป็นเหมือนบุคคลสำคัญของกลุ่ม..
ต้องมีคุณธรรมไม่น้อยแน่ คนแบบนี้ยอมตายดีกว่าจะบอกข้อมูลที่ตนเองมีให้ แต่ถ้าหากเป็นคนอื่นละก็..
เลทิเซียไม่ได้พูดอะไรต่อ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะเปิดปากตอบ เลทิเซียคลายเวทมนตร์ที่ทำให้ควีนไม่ตายทันทีออก
หากเธอออกแรงบีบละก็ อีกฝ่ายได้ไปคุยกับยมบาลจริงๆ แน่ๆ และเมื่อเป็นแบบนั้นเลทิเซียก็ไม่มีทางเลือกนอกจากอ่านความทรงจำอีกฝ่ายแล้ว
เมื่อเห็นท่าทีอันนิ่งสงบของเลทิเซียมันยิ่งทำให้เมอร์สันรู้สึกเหมือนถูกมีดจ่ออยู่ที่คอ…
ทุกครั้งที่เลทิเซียออกแรง… หัวของควีนจะเกิดเสียงเหมือนกระดูกหักขึ้น แม้เธอจะไม่ได้ปริปากสักคำ แต่ใบหน้าเธอยังแสดงให้เห็นถึงความทรมาน..
ภายใต้สถานการณ์ที่บีบบังคับ เหงื่อเย็นไหลจากหน้าผากลงมาบนใบหน้าของเมอร์สัน..
มือสองข้างกำแน่น.. เขากำลังชั่งได้ชั่งเสียอยู่หากอีกฝ่ายเป็นคนนอกทวีปที่ผ่านทางมาก็ดีไป แต่หากไม่ล่ะ…?
หากคนตรงหน้านี้ไม่ใช่คนดีขนาดที่จะผ่านมาแล้วก็ผ่านไปล่ะ..? ไม่สิ.. ต่อให้เป็นคนดีแบบนั้นจริง แล้วทำไมเธอต้องถามเลี่ยงประเด็นตั้งแต่ตอนแรกล่ะ?
แถมถ้าหากอีกฝ่ายเก่งกว่าตัวเองขนาดนั้นทำไมอีกฝ่ายไม่ใช้กำลังเลย..อ่า แต่ว่าจริงสิ อีกฝ่ายอาจจะรู้ว่าวิธีนั้นมันทำให้เขาปริปากไม่ได้?
แต่ก็ยืนยันไม่ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรแน่
หรือว่าอีกฝ่ายก็กำลังกลัวอะไรบางอย่างอยู่เหรอ? แล้วบางอย่างที่ว่าคืออะไร มันกว้างเกินไปน่ะสิ ไม่สามารถจำกัดขอบเขตได้ด้วยซ้ำ
ก่อนอื่น อีกฝ่ายอาจจะแค่ทำแบบนั้นเพื่อทำให้เราตายใจก็ได้.. ไม่สิ มีเหตุผลอะไรที่อีกฝ่ายจะทำแบบนั้นล่ะ?
แน่นอนว่าเมอร์สันไม่ใช่คนดีหรือคนเลว เขาเป็นคนธรรมดาและเขาเองก็เป็นห่วงควีนอยู่จริงๆ แต่เขาไม่ใช่คนไร้เหตุผลขนาดที่จะบอกความลับองค์กรให้ศัตรู
เพราะหากเขาเป็นแบบนั้น องค์กรคงไม่สามารถอยู่ได้นานขนาดนี้หรอก.. ภายใต้การระดมความคิดอันบ้าคลั่งของเมอร์สัน..
เขาไม่อาจจะหาเหตุผลอะไรมาอ้างอิงถึงการกระทำของบุคคลผู้ลึกลับตรงหน้านี้ได้เลย.. ไม่ว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายยังถือไพ่เหนือกว่าแทบทุกอย่าง
แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพนัน.. พนันว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนต่างแดนที่ไม่ได้จะหวังมาทำร้าย..
ควีนเองก็สำคัญ.. ข้อมูลเองก็สำคัญ.. แต่เหมือนก็คิดอะไรบางอย่างออกขึ้นมากะทันหัน เขาพูดขึ้น
“ก็ได้.. ข้าจะบอกความต้องการของพวกเราให้”
“สิ่งที่พวกเราต้องการคือ.. การสร้าง ‘สิ่งมีชีวิตเทียม’ ที่แข็งแกร่งกว่าทุกคนบนโลกเพื่อยุติสงคราม!!”
MANGA DISCUSSION