การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 374
บทที่ 374 – อาร์ติแฟ็คอำพราง
“คาลริอุส เจ้าเรียกข้ามาเพียงแค่เพื่อลักพาตัวเด็กคนหนึ่งเนี่ยนะ?”
ชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นหลังจากเดินออกมาผ่านทางประตูข้ามมิติที่คาลริอุสเป็นคนสร้างขึ้นมา ชายคนนี้ตัวค่อนข้างผอมแต่สูงจนน่ากลัว
หลังของเขาโค้งงอลงมาจนดูแปลกตา เล็บสีดำของเขายาวราวกับกรงเล็บของอสุรกายจอมฉีกกระชาก
ด้านหลังของเขามีเคียวขนาดเรียวบางอยู่หนึ่งชิ้น เคี้ยวชิ้นนี้ดูท่าไม่หนักมากแต่ทุกครั้งที่มันตวัดออกมันต้องสังหารสิ่งมีชีวิตทุกครั้ง
เขาคือ ‘แม็กนัส’ ชายผู้มีความเร็วที่อยู่เหนือกว่าจินตนาการ ว่ากันบางระดับเขาเร็วกว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ
“ข้าบอกเจ้าไปแล้วนะแม็กนัสว่างานนี้ไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะ”
คาลริอุสกล่าวตอบแบบนั้น แม็กนัสก็หัวเราะออกมา
“เจ้าเป็นคนรอบคอบตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ข้าไม่ได้รอบคอบ ข้าแค่ต้องการความแน่นอน หากพลาดคนที่จะถูกท่านจอมมารโกรธจะไม่ใช่แค่ข้าแน่นอน พวกเจ้าที่ไม่สร้างผลงานด้วย นี่ข้าช่วยเจ้านะเนี่ย”
“อ่าๆ ข้าต้องขอบคุณเจ้าใช่ไหม?”
คาลริอุสกล่าวแบบนั้นทำให้แม็กนัสหัวเราะพลางกล่าวแขวะ แต่มันก็เป็นอย่างที่คาลริอุสกล่าวนั่นแหละ
หากคาลริอุสลงมือแล้วพลาดขึ้นมาไม่เพียงแต่เขาจะถูกท่านจอมมารโกรธ แต่คนอื่นๆ ในฐานะผู้ครองพิภพก็โดนไปด้วยเช่นกัน
เพราะว่าพวกเขาไม่ทำอะไรเลย ในขณะที่ผู้ครองพิภพคนหนึ่งพ่ายแพ้ไปแล้วนั่นเอง ในขณะที่พวกเขาต่อล้อต่อเถียงกันนั้น
หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินออกมาจากประตูมิตินั้นด้วย เธอสวมชุดสีดำสนิทราวกับความมืดยามรัตติกาล
ทันทีที่เธอเดินออกมาทุกคนก็เกร็งขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เธอคนนี้คือผู้เสพความตาย ‘ควีน’ ผู้ที่เหยียบย่ำบนกองซากศพและฟื้นคืนชีพผู้ที่ตายกลับมามีชีวิต
“…..”
เธอไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น ราวกับว่าเธอไม่ได้มาเพื่อช่วยเหลือคนทั้งสอง ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะเธอมาที่นี่เพื่อช่วยในสถานการณ์เลวร้ายเท่านั้น
ขณะลักพาตัวลูกชายของผู้กล้าเธอไม่ได้คิดจะสนใจอยู่แล้ว ทั้งแม็กนัสและคาลริอุสไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกันต่อ
“เอาล่ะ.. ในเมื่อมากันครบแล้วก็.. เคลื่อนไหวเลยเถอะ!”
คาลริอุสพูดขึ้นเบาๆ ตอบรับด้วยเสียงหัวเราะของแม็กนัสว่า
“จับเป็นแค่เจ้าลูกชายผู้กล้า.. นอกนั้น.. ฆ่า!”
ทั้งสองตัดสินใจเคลื่อนไหวในเงามืดทันที เพราะตอนนี้เป็นเวลาที่ตะวันเริ่มจะลับขอบฟ้าแล้ว ทำให้การเร้นกายในเงามืดจึงเป็นเรื่องง่ายมาก
ภายใต้การเคลื่อนไหวเช่นนี้.. ห่างไกลออกไปมากสำหรับคนธรรมดา แต่สำหรับผู้ที่แข็งแกร่งแล้วคงไม่ไกลมาก
ที่แห่งนี้คือเมืองหลวงของอาณาจักรแห่งนี้เป็นหนึ่งในอาณาจักรที่มีมหาอำนาจใหญ่ที่สุดในดินแดนมนุษย์
เนื่องจากได้รับหารสนับสนุนจากผู้กล้าหนึ่งคน.. และแน่นอนว่าผู้กล้าที่ว่านั่นหมายถึงบิดาของสเวนแหละนะ
บิดาของสเวนเป็นผู้กล้าแห่งศรวิบัติชื่อของเขาคือ เควิน เควินเป็นผู้กล้าที่แข็งแกร่งเกือบจะพอๆ กับผู้กล้าแห่งแสง
ศรธนูเพียงหนึ่งดอกของเขาสามารถกำจัดปีศาจนับพันนับหมื่นได้ นั่นจึงไม่แปลกเท่าไหร่ที่เขาจะสร้างความรำคาญใจให้กับจอมมารได้
เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าด้วยความเร่งรีบไปทางห้องรับแขกในคฤหาสน์ของเขา เพราะในตอนนี้มีแขกที่คาดไม่ถึงมาเยือนเขาโดยเฉพาะ
เขาจัดท่าทางและสีหน้าพร้อมกับผลักประตูเข้าไปในห้องรับแขก ภายในห้องรับแขกมีคนคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องนั้น
เป็นเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยมาก แม้จะไม่เห็นใบหน้าแต่ระบุได้เลยว่าเธอดูอายุประมาณยี่สิบกว่าปีเท่านั้น เธอนั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับถือถ้วยน้ำชาที่มือ
“นี่มันท่านไอรีนไม่ใช่เหรอเนี่ย ต้องขออภัยที่ให้รอนานแล้ว เนื่องจากท่านไอรีนมาแบบไม่มีการกล่าวล่วงหน้าอะไรเลย”
เขากล่าวด้วยความเกรงใจทั้งที่แห่งนี้คือบ้านของเขา เบื้องหน้าเขามีหญิงสาวคนหนึ่ง เธอสวมอาภรณ์ที่งดงามราวกับเทพธิดา
ใบหน้าถูกปิดไว้ด้วยผ้าสีขาวราวกับไม่ต้องการให้ใครเห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้น อันที่จริงเธอเหมือนเวโรเน่ไม่น้อย
เพราะเธอใส่ผ้าปิดหน้าไว้จนถึงใต้ดวงตาเหมือนกับเวโรเน่ไม่มีผิด.. ไอรีนค่อยๆ วางถ้วยชาลงช้าๆ ก่อนที่จะพูด
“ไม่ต้องมากพิธีหรอกค่ะ”
เธอไม่ใช่คนเย่อหยิ่งอะไร เธอกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร นี่ยิ่งทำให้เควินใจกระตุกเล็กน้อย
ในใจยิ่งขบคิดว่าอีกฝ่ายมาดีหรือร้ายกันแน่? เพราะเขารู้ดีว่าเบื้องหลังของหญิงสาวคนนี้ดี…
อันที่จริงหากมีคนอื่นมาเห็นภาพนี้คงรู้สึกประหลาดใจ หนึ่งในผู้กล้าที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนมนุษย์กลับเป็นกังวลเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กผู้หญิงนางหนึ่งนี่
มันไม่ปกติเลยสักนิด!
อย่างไรก็ตามเขารู้ดีว่าการไม่แสดงออกทางสีหน้าคือเรื่องที่ควรกระทำในเวลาแบบนี้ เขาจึงใช้โอกาสนี้ในการพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างออกรส
และเหมือนผู้หญิงที่ชื่อไอรีนคนนี้เองก็จะตอบคำถามของเควินทุกอย่าง แต่ไอรีนก็เจ้าเล่ห์ไม่แพ้กันเธอไม่ได้เผยว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่เลยสักนิด
แน่นอนว่าการมาของเธอไม่ปกติ หากเป็นปกติละก็ต้องมีการติดต่อขอพบอย่างเป็นทางการ แม้จะอยู่ในช่วงสงคราม
แต่สงครามก็ดำเนินมาตลอดหลายร้อยปี ดังนั้นการที่ตะบริหารจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก็ถือเป็นงานส่วนหนึ่ง
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงครามภายในขึ้นด้วย แม้จะทำสงครามกับปีศาจและกึ่งมนุษย์อยู่ ก็ใช่ว่ามนุษย์จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
พวกเขายังคงเป็นคนที่คอยหาจังหวะที่จะแย่งชิงและหักหลังกันอยู่ดี นั่นแหละคือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์
ไม่ว่าจะผู้กล้าก็ดีผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าก็ช่าง พวกเขาล้วนแล้วแต่มีทัศนคติและมุมมองที่แตกต่างกัน จึงยากที่จะลงรอยกันเป็นเรื่องธรรมดา
“ฮ่าๆ ข้าไม่คิดว่าท่านไอรีนผู้ที่มากด้วยพรสวรรค์จะถึงขั้นกล่าวชมลูกชายที่ไม่ได้เรื่องของข้า”
“ไม่หรอกค่ะ.. เพราะบุตรชายของท่านสมควรได้รับคำกล่าวเช่นนั้นจริงๆ ข้าได้ยินว่าเขาฝึกศิลปะการต่อสู้เชี่ยวชาญตั้งแต่อายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น”
แน่นอนว่าเควินที่บุตรขายตัวเองถูกชมก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนเป็นพ่อจะรู้สึกภูมิใจ ถึงแม้เขาจะรู้สึกผิดหวังที่ลูกชายตัวเองออกนอกลู่นอกทางไปหน่อยก็เถอะ
แต่เขาก็ไม่ได้หลงไปกับคำชมของอีกฝ่ายทั้งตัว
“ไม่ขนาดนั้นหรอก บุตรชายข้ายังเทียบกับท่านไม่ได้ด้วยซ้ำ.. ผู้ที่บรรลุเวทมนตร์ของมนุษย์ทุกแขนงได้ในตอนอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น”
“พูดเกินไป… ข้าไม่ได้สุดยอดอย่างที่ท่า—”
ก่อนที่ทันจะได้พูดจบไอรีนก็ขมวดคิ้วฉับพลัน การแปรเปลี่ยนของเธอทำให้เควินรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เธอลุกขึ้นยืนทันที สายตาเธอหันไปทิศหนึ่งของห้องราวกับจ้องทะลุออกไปนอกห้อง.. นอกเมือง.. ไปจนถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง
เควินที่เห็นการแปรเปลี่ยนกะทันหันของอีกฝ่ายก็รู้สึกงุนงง
“เกิดอะไรขึ้น…?”
เขาลุกขึ้นตามไอรีนพร้อมกับหันไปทางเดียวที่เธอหายไป น่าเสียดายที่เขาสัมผัสอะไรไม่ได้เลย ซึ่งเรื่องทำให้เขาตะลึงอยู่ในใจ
เพราะเขาคือผู้กล้าแห่งธนู.. ผู้ถนัดการโจมตีระยะไกลที่สุด นั่นหมายความว่าจิตสัมผัสของเขาเองก็เฉียบคมและว่องไวมากด้วยเช่นกัน
ไอรีนกล่าวขึ้น
“เมืองเล็กๆ ทางฝั่งตะวันตกห่างออกไปประมาณห้าร้อยกิโลเมตร ถูกลอบโจมตีโดยเผ่าปีศาจ”
“เป็นไปไม่ได้!ทำไมข้าถึ—”
เควินกำลังจะกล่าวคำถัดไปคือ ‘ทำไมข้าถึงสัมผัสไม่ได้’ แต่ไอรีนราวกับรู้ทันความคิดของเขา
เธอจึงพูดแทรกขึ้นก่อนว่า
“อีกฝ่ายน่าจะใช้อาร์ติแฟ็คปิดกั้นพรางตัว”
“….”
พอเธอพูดแบบนั้นยิ่งทำให้เควินรู้สึกสับสน ถ้าหากปิดกั้นแล้วไอรีนเธอรู้ได้อย่างไร? เรื่องนี้ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่
แต่เขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดความเท็จเช่นกัน ด้วยความสับสนและลังเลใจตอนนี้ดวงตาของไอรีนก็ขมวดลง
“ท่าน—”
ในขณะที่เควินอยากจะพูดอะไรบางอย่างนั้นเองไอรีนก็สลายหายไปจากนั้น ราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน!
เธอได้หายตัวไปแล้ว!