การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 372
บทที่ 372 – ความสุขที่ปลายนิ้ว
“……..”
แม้แต่สเวนผู้เชี่ยวชาญในงานศิลปะยังพูดไม่ออกเมื่อมองผลงานชิ้นนี้ ผลงานที่ดูธรรมดากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกอันแรงกล้า
ความปรารถนาอันแรงกล้า เพียงแค่เขามองเห็น.. เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งที่งานประติมากรรมชิ้นนี้ต้องการจะสื่อถึงแล้ว..
เขามองหน้าเวโรเน่ด้วยสีหน้าล้ำลึก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ .. เขาก็ค่อยๆ พูดขึ้น ไม่มีทั้งความโลภหรือความรู้สึกใดๆ
ไม่ได้ใช้แม้แต่เครื่องขยายเสียง สิ่งที่เขาพูดราวกับว่าต้องการจะบอกให้เวโรเน่ฟังคนเดียว ในขณะเดียวกันก็อยากจะให้โลกรับรู้ว่าความงดงามของศิลปะชิ้นนี้คืออะไร..
“ความเศร้าระทมที่ขัดเกลาออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจ”
“เป็นผลงานที่สะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณของผู้สร้างและความรู้สึกปรารถนาอันแรงกล้า”
“เพียงแค่สายตาข้ากระทบกับงานประติมากรรมชิ้นนี้ ข้าก็สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่เจ้าปรารถนา.. และอยากจะได้รับมัน”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ .. ตลอดมาแม้ว่าคำพูดเขาจะดังออกไปผู้คนก็มักจะไม่สนใจ กลับกันพวกเขายิ่งดูถูกด้วยซ้ำ
สำหรับพวกเขาเหล่านั้นแทบจะมองเพียงแค่ว่า หากงานศิลปะที่มีดีแค่ความสวยงาม แล้วมันไม่สวยขึ้นมามันจะมีค่าอะไร?
เพราะในยุคแบบนี้ที่แม้แต่ความงดงามเท่านั้นยังแทบจะขายไม่ออกด้วยซ้ำ หากมีคนมาบอกว่าผลงานประติมากรรมที่ไม่งดงามก็ยังทรงคุณค่า
เพราะคุณค่าที่แท้จริงอยู่ที่จิตวิญญาณ อยู่ที่ว่าผู้สร้างต้องการจะขีดเขียนอะไรลงไปบนผลงานและให้ผู้อื่นได้สัมผัสจากผลงานประติมากรรมชิ้นนี้
ซึ่งคนที่สามารถขัดเกลาสิ่งแบบนี้ละเคลื่อนไหวตามความรู้สึกตัวเองแบบนี้ได้ครั้งแรกที่ได้รู้จักแบบนี้…
มีเวโรเน่เป็นคนแรก.. ถึงขั้นที่สเวนสงสัยว่าเวโรเน่อาจจะเป็นนักประติมากรที่แอบมาเป็นเด็กสาวธรรมดาด้วยซ้ำ
แต่เขาก็ต้องปัดความคิดนั้นตกไปเพราะ..การแสดงออกนั้นสามารถหลอกคนได้ก็จริง แต่ผลงานศิลปะหลอกลวงไม่ได้
เพียงแค่เขามองแวบเดียวเขาก็รู้ว่าผลงานตรงหน้านี้นั้นถูกรังสรรค์ขึ้นมาจากทุกอย่างที่เวโรเน่มีรวมถึงความรู้สึกและความสามารถน่ะนะ
“ข้าขอมอบชื่อให้แด่ผลงานนี้ว่า ‘ความปรารถนาอันเรียบง่าย’ ผลงานชิ้นเอก”
ถึงแม้เขาจะรู้สึกประหลาดใจที่งานประติมากรรมชิ้นนี้ไม่กลายเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ ทั้งที่มันเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้แท้ๆ ..
บัดนี้ทุกคนที่มองผลงานของเวโรเน่ต่างพากันนิ่งเงียบ เสียงซุบซิบนินทาที่เคยนินทาเธอก็ยังเงียบกริบลง
เพราะความรู้สึกอันแรงกล้าของเธอนั้นสามารถสะท้อนเข้าไปยังจิตใจพวกเขา.. สำหรับคนในหมู่บ้านแล้วความหวาดกลัวที่มีต่อจอมมารนั้นน้อยกว่าสเวนไปเยอะ
เพราะห่างไกลจากจอมมารเกินไป สำหรับพวกเขาเพียงแค่มีชีวิตอยู่ในแต่ละวันนั้นยากยิ่งแล้ว ความกลัวที่สุดสำหรับพวกเขาจึงหาใช่จอมมารไม่
เพราะห่างไกลเกินไปจึงไม่อาจจะเข้าถึงผลงานของสเวนได้.. แต่ว่าในทางตรงกันข้าม ผลงานนของเวโรเน่กลับเต็มไปด้วยความเรียบง่าย
เป็นความต้องการที่สำหรับคนที่มีครอบครัวคงจะมองว่ามันไม่ได้ยิ่งใหญ่หรืออะไรเลย.. แต่ทว่ามันกลับอยู่ใกล้ตัวพวกเขาจนสามารถแทบจะเอื้อมไปถึงได้
ไม่เพียงแค่เด็กๆ .. แต่คนแก่ วัยรุ่น หรือวัยทำงานยังรู้สึกราวกับหวนกลับคืนไปตอนเป็นเด็กที่มีครอบครัวพ่อแม่ลูกอันสงบสุขอยู่
แต่ทว่าความสงบสุขเหล่านั้นกลับไม่สามารถเอื้อมถึงได้แล้ว.. บ้างก็สูญเสีย บ้างก็ลาจาก.. บ้างก็หมดไป..
ไม่รู้สิ.. พอมานึกถึงเอาปานนี้มันก็รู้สึกคิดถึงความรู้สึกเหล่านั้นอย่างช่วยgไม่ได้.. ความรู้สึกที่ถูกพ่อแม่คอยโอ๋และพูดคุย ทานข้าว..
ทุกๆ อย่างมันทำให้คนแทบทั้งหมู่บ้านต่างพากันพูดไม่ออก และนิ่งเงียบลงไป..
ท่ามกลางคนในหมู่บ้าน.. มีชายคนหนึ่งกำลังยืนมองภาพนี้อยู่.. เขามีชื่อว่า อาร์ช.. อาร์ชคือบิดาของเวโรเน่
พอเขามองเห็นภาพนี้มือสองข้างเขาก็สั่นสะท้านเบาๆ … ดวงตาเบิกกว้างขึ้นม่านตาสั่นเครือราวกับกำลังจะร้องไห้..
“เวโรเน่… พ่อ..ขอโทษจริงๆ ”
เข่าของเขาทรุดลงไปบนพื้น.. ก่อนที่จะรู้สึกคันคอเขาเอามือปิดปาดตัวเองพร้อมกับไอออกมา..
เขาดึงมือออกจากปากพร้อมกับก้มมองลงฝ่ามือตัวเองที่ตอนนี้.. มีเลือดปรากฏบนฝ่ามือของเขาหลังจากการไอเมื่อสักครู่..
“พ่อ..ขอโทษจริงๆ …”
ในขณะเดียวกันนั้นเอง เลทิเซียที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ยุดการเคลื่อนไหวดุจสายน้ำของเธอลงกะทันหัน
วินาทีเดียวกันนั้นมันดึงดูดสายตาทุกผู้ทุกคนแทบจะทันที ไม่มีทั้งเสียงหรือคำกล่าวใดๆ ที่หลุดออกมาจากปากของเลทิเซีย
สิ่งเดียวที่เธอทำมีเพียงวางมือลงเท่านั้น อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแกะสลักถูกวางลงบนพื้นอย่างเงียบๆ
บัดนี้ราวกับโลกทั้งใบถูกตราตรึงไว้ในผลงานเบื้องหน้าของเลทิเซียทุกสิ่งทุกอย่างเงียบกริบราวกับโลกาไร้ซึ่งเสียง
ผลงานอันวิจิตรที่รังสรรค์ขึ้นมาจากความประณีตอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ปรากฏขึ้นตรงนี้… แสงอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าในเวลาเดียวกัน
แสงจันทร์ค่อยๆ เข้ามาแทนที่ แสงจันทร์อันนุ่มนวลนั้นค่อยๆ สาดส่องลงมายังประติมากรรมน้ำแข็งอันล้ำค่าชิ้นนี้ทำให้มันทอแสงราวกับมีชีวิต
สิ่งที่เลทิเซียประติมากรรมออกมานั้นไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่อย่างเทพผู้อยู่เหนือทุกสิ่ง หาใช่จอมมารผู้กำราบทุกอย่าง
ความรู้สึกของเธอ ความต้องการที่อัดแน่นอยู่ภายในอกยองเลทิเซีย เป็นประติมากรรมที่มีเด็กยืนอยู่สิบกว่าคน… ประกอบไปด้วย..
สเตฟานี่, เซเรส, โคลเอ้, อันน่า, ซิลเวีย, ไวท์, ทสึรุ, ชาร์ล็อต, เลวี่, ลูเซียและคนสุดท้ายก็คือเลทิเซีย..
เป็นภาพที่ทุกคนอายุเพียงสิบกว่าขวบเท่านั้น ทุกคนต่างพากันยิ้มแย้มด้วยความสดใสและอบอุ่น
ใบหน้าอันเล็กๆ บอบบางของเด็กสิบกว่าคนนั้นเต็มไปด้วยความงดงามที่รังสรรค์อย่างประณีตราวกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ
ความรู้สึกที่มีความสุขนั้นแม้เลทิเซียอาจจะไม่ค่อยเข้าใจมันมากนัก แต่เมื่อเธอนึกว่า หากวันแบบนี้มาถึงจริงๆ ละก็…
ภาพความสุข.. ภาพรอยยิ้ม.. ภาพแห่งความหวังคงจะประมาณนี้ นี่คือสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาจากความต้องการและความรู้สึกเบื้องลึกของเลทิเซีย
มันเป็นเพียงแค่ผลงานที่เรียบง่ายซึ่งมีเด็กเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น ไม่ได้องอาจหาญชัยดั่งเช่นงานแกะสลักของสเวน
แต่กลับเรียบง่ายเป็นเพียงความเรียบง่ายดุจเดียวกับผลงานของเวโรเน่ แต่ความงดงามนั้นกลับสะท้อนแพรวพราวอย่างถึงที่สุด
‘ผลงานชิ้นเอก’ คงจะน้อยเกินไปสำหรับผลงานที่ทั้งงดงามและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันซับซ้อนของผู้สร้าง
แม้เลทิเซียจะไม่ได้มีพรสวรรค์เรื่องภาพหรืองานศิลปะอะไรขนาดนั้น แต่ทว่าเธอในยามนี้ที่มีพลังมากมายไร้ที่สิ้นสุด
การสร้างผลงานที่พอจะดึงดูดผู้อื่นได้นั้น มันเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าง่ายสำหรับเลทิเซีย.. แต่ทว่า..
แต่ทว่าแม้เธอจะสร้างผลงานได้งดงามปานใด สวยหรูขนาดไหน สุดท้ายแล้วตัวเธอก็ยังยากที่จะสร้างศิลปะที่กรองออกมาจิตวิญญาณเช่นตอนนี้
ทว่าเมื่อเธอได้ฟังสิ่งที่สเวนกล่าวและพูดมาทั้งหมด…
หากมันเป็นแบบนั้นจริงๆ .. ศิลปะคือการวาดภาพบางสิ่งบางอย่างที่แต่งเสริมเติมแต่งจินตนาการ ความรู้สึกและความปรารถนาลงไปแล้วละก็..
ผลงานชิ้นนี้คงจะมีชื่อว่า…
“ความสุขที่ปลายนิ้ว”
ปากของเลทิเซียพึมพำออกมาเบาๆ ความสุขที่อยู่ปลายนิ้วแต่เธอในยามนั้นกลับไม่คิดจะเอื้อมหรือคว้ามันเอาไว้
เป็นความสุขที่อยู่เพียงแค่ปลายนิ้วของเธอในยามนั้นเท่านั้น แต่เมื่อพยายามจะคว้าเอาไว้กลับพบว่า.. ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว
ความสุขที่ปลายนิ้วนั้นมารวดเร็วและสลายหายไปอย่างว่องไว ไม่ทันได้ตั้งตัวหรือทำอะไร มันก็สลายหายไปแล้ว
เป็นความสุขที่ปรารถนาอย่างยิ่งในยามนี้ แต่ความสุขที่ปลายนิ้วนั้นกลับสลายหายไปจนหมด เธอยังต้องเดินต่อไป..ก้าวต่อไป
เพื่อแสวงหาความสุขที่อยู่ปลายนิ้วนั้น… ใช่…..
มันเป็นความสุขที่เธอตามหาและแสวงหาเรื่อยมา