การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 370
บทที่ 370 – ศิลปะอันวิจิตร
“ห้ะ ..?”
เลทิเซียกับเวโรเน่ที่ไม่ได้สนใจสิ่งรอบด้านก็ตื่นกลับมาในโลกความจริงหลังจากได้ยินเสียงประกาศอันดังชัดกึกก้องของสเวน
เวโรเน่เงยหน้าขึ้นมองรอบๆ พบว่ารอบตัวมีคนมากหน้าหลายตากำลังยืนมองมาทางนี้พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์หลากหลายเสียงหลายอารมณ์
เลทิเซียเองก็มองไปรอบๆ พร้อมแสดงสีหน้างงๆ ออกมา สเวนเหมือนจะไหวตัวทันเขาก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้ทั้งสองคนอย่างว่องไว
“เอาล่ะ เรามาฟังความเห็นของผู้เข้าแข่งขันทั้งสองท่านดีกว่าครับ”
สเวนยื่นที่ขยายเสียงเวทมนตร์ไปทางเวโรเน่ก่อนเลทิเซียเพราะว่าเธอตัวสูงและโตกว่าเลทิเซีย มองจากมุมนี้เวโรเน่น่าจะเป็นพี่สาว
ถึงสเวนจะแปลกใจว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงสวมผ้าปิดหน้าไปจนเกือบหมดก้ตาม แต่คนแต่ละคนก็ต่างมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง
สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงการกระทำของทั้งสองคนนี้เท่านั้น
“เอ่อ.. คือว่า…”
พอตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งหมู่บ้าน เวโรเน่ที่เป็นคนไม่กล้าอยุ่แล้วจึงกระวนกระวายขึ้นมาฉับพลัน
และเจ้าสเวนพ่อค้าเร่ผู้นี้จะรู้จักการวางตัวมากๆ เขาสังเกตจากชุดของเวโรเน่ และสังเกตจากด้านหลังเวโรเน่ที่มีตะกร้าใส่ถ่านอยู่
เขารู้เลยว่าครอบครัวเด็กคนนี้ค่อนข้างจะยากเข็ญพอสมควร ถึงเด็กอีกคนที่ดูอายุน้อยกว่าจะดูแปลกๆ เพราะรูปลักษณ์ภายนอกดีไปหมดทุกอย่าง
ยกเว้นชุดที่ใส่เพราะมันเป็นแค่เสื้อผ้าที่เย็บติดกันแบบง่ายๆ เท่านั้น แต่ก็รู้ว่าบ้านของทั้งสองไม่ค่อยจะมีเงินเขาเลยใช้โอกาสให้เต็มที่
เขากระซิบข้าหูเวโรเน่ว่า
“เจ้าได้เดินเข้ามาในเส้นเขียวที่ข้าได้วงไว้แล้วซึ่งใครที่เดินเข้ามาตามที่ข้าประกาศต้องเข้าร่วมการแข่งขัน”
“แต่ว่า.. ข้าจะบังคับเจ้าก็คงไม่ดีสักเท่าไหร่ละนะ งั้นเอาแบบนี้ ถ้าเจ้าตามน้ำให้ข้า เดี๋ยวข้าจะซื้อถ่านของเจ้าด้วยมูลค่าสูง”
เขารู้จักการทำข้อตกลงดี จะบอกว่าให้เงินเฉยๆ คงจะไม่ดีเท่าไหร่ ยิ่งเป็นเด็กที่อายุไม่ถึงยี่สิบแล้วด้วยมีแต่จะสร้างความกังวลให้เธอมากกว่า
ดังนั้นเขาจึงยื่นข้อเสนอว่าหากยอมตามน้ำจะยอมซื้อถ่านด้วยมูลค่าที่สูง เวโรเน่อึ้งเล็กน้อยเหมือนจะยังตามไม่ทัน
แต่ชายคนนั้นก็ยื่นปากเข้าไปใกล้หูเวโรเน่อีกพร้อมกับกระซิลมูลค่าที่เขาจะซื้อต่อ พอบอกแบบนั้นดวงตาของเวโรเน่ก็เบิกกว้างขึ้น
“จริงเหรอคะ?”
“ชู่ววววว”
เขารีบเอามือปิดปากเวโรเน่เอาไว้อย่างรวดเร็ว จำนวนเงินที่เขายื่นข้อเสนอให้แม้จะไม่ได้มากมายขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้นับว่าน้อย
และแน่นอนว่าสำหรับครอบครัวอันยากแค้นแสนเข็ญอย่างเวโรเน่ เงินจำนวนนั้นก็มากกว่าที่ขายกับคนในหมู่บ้านเป็นสิบเท่าแล้วล่ะ
“เงียบๆ หน่อยสิ เจ้าจะตกลงไหม?”
“ตกลงค่ะ”
“งั้นตามนี้ ดีล”
อีกฝ่ายรีบตกลงทันทีถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมกับประกาศพล่ามต่อไป เวโรเน่ราวกับหลุดลอยไปในโลกแห่งเงินตรา
แม้มันจะไม่ได้มากอะไรแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เธอเคลิบเคลิ้มได้…
“อ้ะ…”
จู่ๆ เธอก็นึกอะไรบางอย่างได้หันไปหาเลทิเซียที่ยืนอยู่ด้านข้างเลทิเซียจ้องมาที่เวโรเน่ด้วยสายตาแปลกๆ
เธอก็รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ เพราะว่าตอบตกลงไปโดยไม่ถามความเห็นเลทิเซียที่ก้าวเข้ามาด้วยกันด้วยความบังเอิญ
นั่นหมายความว่าเลทิเซียก็ต้องลงแข่งด้วย.. เธอหันมาหาเลทิเซียด้วยสายตาขอโทษพร้อมกับพูด
“ข้าขอโทษด้วย ที่ตัดสินใจโดยไม่คิด”
“เฮ้อ.. เธอควรจะหัดสงสัยคำพูดคนอื่นบ้างนะ”
เลทิเซียกล่าวขึ้นเบาๆ .. เธอพูดแบบนั้นพร้อมกับอธิบายจุดประสงค์ของอีกฝ่ายให้เวโรเน่ฟัง เพราะเลทิเซียไม่ได้โง่
เธอมองพริบตาเดียวก็รู้ถึงปัญหาต่างๆ และสิ่งที่เจ้าพ่อค้าเร่นี่ต้องการ แต่เมื่อมองหน้าที่ต้องการเงินของเวโรเน่เลทิเซียก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ข้าขอโทษจริงๆ นะ…”
“ฉันก็บอกไปแล้วว่าช่างมันเถอะ.. แล้วก็เธอไม่จำเป็นต้องทำให้มันสวยหรืออะไรหรอก เพราะสิ่งที่เจ้าพ่อค้าเร่นี้ต้องการมีแค่นั้น จะแพ้หรือชนะก็ไม่เกี่ยวกันหรอก”
“อื้อ..”
“แล้วก็ที่เธอต้องกังวลคือคนในหมู่บ้านมากกว่านะ.. คนพวกนี้ยิ่งไม่ถูกกับเธอด้วยไม่ใช่เหรอ หากเธอมาทำตัวเหมือนพยายามโดดเด่น พวกที่ไม่ชอบเธอต้องโผล่ออกมาแน่”
เลทิเซียพูด ซึ่งมันก็เป็นตามนั้นเพราะเวโรเน่สำหรับพวกเขาเปรียบเหมือนคนที่น่าเกลียดน่ากลัว ดังนั้นหากเวโรเน่พยายามจะสำคัญตัวเองขึ้นมา
คนที่ไม่ชอบเธอก็ต้องรู้สึกไม่พอใจแน่ๆ .. พอเวโรเน่ได้ยินแบบนั้นเธอก็ยิ้มขึ้นมาบางๆ ทำให้เลทิเซียถาม
“ยิ้มอะไรของเธอ..”
“ก็แหม.. เลทิเซียเป็นห่วงเรื่องของข้าด้วยนี่น่า.. แบบนี้มีโอกาสที่ข้าจะเป็นคนสำคัญของเลทิเซียขึ้นมาบ้างแล้วสิ”
“จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงล่ะ”
เวโรเน่กล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส แต่เลทิเซียก็ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงดังเดิมไม่แปรเปลี่ยน ทำให้เวโรเน่ได้แต่ทำปากอุบอิบ
เลทิเซียพึมพำเบาๆ ว่า.. “ขืนเป็นแบบนั้นจริง เธอก็คงโชคร้ายเพราะฉันพอดีสิ…”
“หือ เมื่อกี้เลทิเซียพูดว่าอะไรเหรอ”
“เปล่าหรอก”
เวโรเน่เหมือนได้ยินอะไรบางอย่างจากปากเลทิเซียเลยถามขึ้นด้วยความสงสัยแต่เลทิเซียก็ปฏิเสธแทบจะทันที
หลังจากนั้นเจ้าพ่อค้าเร่ก็พูดพล่ามขายของประติมากรรมของมันหลังจากที่ดึงดูดคนรับชมมาได้สักพักแล้ว
แน่นอนว่าจุดประสงค์หลักมันคือแบบนี้นั่นเอง และเลทิเซียรอจนขี้เกียจจะรอแล้ว เสียงกระซิบกระซาบจากรอบด้านยังคงดังขึ้นแว่วๆ
“เด็กที่อยู่กับยัยอัปลักษณ์เวโรเน่นั่นใครกัน”
“เธอดูน่ารักไม่เข้ากับยัยอัปลักษณ์นั่นเลยนะ”
เสียงกระซิบกระซาบแบบนี้ดังขึ้นแต่ส่วนใหญ่เป็นเสียงของเด็ก ส่วนเสียงของผู้ใหญ่เป็นเกี่ยวข้องกับกำไลเพิ่มพลังเวทนั่นเสียมากกว่า
พวกเขาไม่คิดว่างานประติมากรรมจะสามารถสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์ออกมาได้ และแน่นอนว่าเสียงมันดังจนแยกแยะไม่ออกว่าใครเป้นใคร
“เอาล่ะ.. กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ข้าก็คิดว่าถึงเวลาควรค่าแก่การโชว์ทักษะประติมากรรมของผู้เข้าแข่งทั้งสองท่านแล้ว”
“นี่คือน้ำแข็งที่ทางเราจัดเตรียมไว้ให้ น้ำแข็งนี้เป้นครึ่งอุปกรณ์เวทมนตร์แล้วมันจะไม่มีทางละลายโดยเด็ดขาดหากไม่ทำลายทิ้งให้เป็นเศษๆ ”
“และถ้าหากสร้างสำเร็จแล้วละก็.. หากผลงานนั้นเป็นผลงานที่ดีเยี่ยม มันก็จะกลายเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ไปโดยปริยาย”
เขากล่าวอย่างมากด้วยความรู้ จนแม้แต่เลทิเซียก็ยังแปลกใจ เพราะในมุมมองของเลทิเซียก่อนหน้านี้ผู้ชายคนนี้ก็เหมือนพ่อค้าคนหนึ่ง
ที่มีฝีปากชักจูงที่ดีเยี่ยม แต่พอเขากล่าวถึงศิลปะมันทำให้เลทิเซียสามารถรับรู้ได้เลยว่า.. ชายคนนี้รักในศิลปะอย่างแท้จริง
“หรือพูดในทางกลับกันก็คือหากสร้างไม่งดงามก็จะเสียของเปล่านั่นเอง.. แต่ไม่ต้องกังวลไป..”
“การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะนั้นหาได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากรูปร่างและสัดส่วนที่งดงามเท่านั้นไม่ ผลงานที่งดงามที่แท้จริงนั้นต่างถูกรังสรรค์ออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจ”
“รังสรรค์ขึ้นมาจากภายในจิตวิญญาณ ความรู้สึกที่มีต่อบางสิ่งบางอย่าง”
“ดังนั้นตราบใดที่เจ้ายังมีความเชื่อมั่นในจิตวิญญาณ ความรู้สึกและความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าผลงานประติมากรรมจะถูกรังสรรค์มาในรูปแบบไหนมันก็ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานชิ้นเอก”
“และถ้าหากดูถูกผลงานหรือดูถูกการรังสรรค์ของศิลปะ.. สุดท้ายแล้วไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรไปในตอนท้ายที่สุด”
“จะงดงามเพียงใด ผลงานเหล่านั้นก็จะยังเป็นผลงานที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ.. เป็นเพียงแค่การสร้างสรรค์เพื่อบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น”
“และหากเข้าใจถึงจุดนี้แล้ว.. ไม่เพียงแค่ผู้เข้าแข่งขันทั้งสอง.. แต่รวมถึงผู้ชมทั้งหลาย.. พวกท่านก็กลายเป็นหนึ่งในผู้แสวงหาศิลปะอันวิจิตรเฉกเช่นเดียวกับข้าแล้ว”
“ความไร้ขอบเขต ความอิสระ ความงดงามและจิตวิญญาณความรู้สึก.. นี่แหละคือศิลปะของพวกเจ้า”
“เอาล่ะ..ผู้เข้าแข่งขันทั้งสอง.. ข้าขอรับชม.. ความรู้สึกและจิตวิยญาณของพวกเจ้าที่จะขัดเกลาน้ำแข็งทั้งสองชิ้นนี้หน่อย”
“เริ่มได้!!”
เขากล่าวเสร็จก็มีเสียง ‘ปัง’ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการเริ่มการแข่งขัน เลทิเซียที่ได้ฟังคำพูดของอีกฝ่ายเธอยังคงคิดตาม..
อคติที่มีต่ออีกฝ่ายถูกวางลง… เธอหลับตาลงเบาๆ .. ศิลปะที่งดงามก็คือความรู้สึกงั้นเหรอ..
ในขณะเดียวกันทางฝั่งผู้ชม.. พ่อของเวโรเน่เองก้เหมือนจะเดินมาเห็นพอดีพอเขาเห็นเวโรเน่กับผู้หญิงอีกคนเขาก็จ้องมองไปที่เวโรเน่..
ก่อนสายตาจะหันมาหยุดอยู่ที่เลทิเซีย