บทที่ 369 – การตลาดของพ่อค้าเร่
พ่อค้าเร่.. พ่อค้าเร่คืออาชีพที่ต้องเป็นคนที่เติบโตมาในครอบครัวการค้าในเมืองหลวงเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เพียงพอที่จะเป็นพ่อค้าเร่ได้
พ่อค้าเร่ไม่เพียงแต่ต้องมีความสามารถในการค้าขาย แต่ยังต้องมีเงินทุนที่มากมหาศาล และยังต้องมีทักษะการต่อสู้เอาตัวรอดในระดับที่สูง
เพราะในยุคที่เต็มไปด้วยไฟสงครามนี้การเดินทางค้าขายถึงที่จึงเป็นงานที่มีทั้งความเสี่ยงและความอันตรายด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามค่าตอบแทนนั้นกลับสูงจนไม่ว่าพ่อค้าหน้าไหนๆ ก็อยากจะเอื้อมให้ถึงสักครั้ง.. แต่เหมือนจะเป็นความหวังที่ไกลเกินเอื้อมไปสักหน่อย
อย่างไรก็ตามพ่อค้าเร่นั้นปกติ แล้วจะต้องขายของที่หาได้ยากตามปกติเพื่อที่จะทำให้ของตัวเองมีมูลค่ามากกว่าไปซื้อในเมืองหลวง
ว่าง่ายๆ พวกยาฟื้นฟูระดับสูงหรือม้วนคัมภีร์เวทมนตร์ที่บันทึกสูตรเวทมนตร์เอาไว้บ้าง หรืออาจจะเป็นอุปกรณ์ต่างๆ บ้าง
ซึ่งแน่นอนว่าความเสี่ยงที่จะถูกปล้นสูงเช่นกัน ดังนั้นราคาของในพ่อค้าเร่จึงมีราคาค่อนข้างสูงมากจากราคาเดิมหลายเท่า
ซึ่งคนก็รับสิ่งเหล่านี้ได้เช่นกัน
แต่พ่อค้าเร่ที่ขายของประดับหรือขายงานศิลปะในยุคนี้.. ค่อนข้างจะหายาก.. ไม่สิ แทบจะไม่มีด้วยซ้ำ..
แต่ว่า..กลับปรากฏอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ นี้แล้ว พ่อค้าเร่ที่เร่ขายผลงานประติมากรรมศิลปะที่หาได้ยากยิ่งในยุคแบบนี้
ก่อนอื่นต้องย้อนกลับไปก่อน.. พ่อค้าเร่คนนี้มีชื่อว่า สเวน เขาเป็นลูกของผู้กล้าคนหนึ่ง ซึ่งแม้เขาจะไม่ได้รับสืบทอดพลังผู้กล้าจากผู้เป็นพ่อ
แต่ทักษะการต่อสู้ของเขานั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความไร้เทียมทาน เรียกได้ว่าในหมู่คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เขาแทบจะยืนเป็นที่หนึ่ง
แต่เขากลับไม่ชอบการต่อสู้เอาเสียเลย เพราะว่าการต่อสู้นั้นนอกจากจะเจ็บแล้วยังไม่มีความงดงามเลยแม้แต่น้อย
สาเหตุที่สเวนต้องฝึกฝนการต่อสู้นั้นเป็นเพราะพ่อบังเกิดเกล้าของเขาบังคับให้ฝึก หากไม่ฝึกละก็พ่อเขาจะไม่ให้เขาเรียนประติมากรรมต่อ
ทำให้เขาจำใจฝึกด้วยความกล้ำกลืนและอดทน แต่ไม่ว่าจะฝึกไปมากแค่ไหนสเวนก็ไม่เคยชอบดาบหรือเวทมนตร์เลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้จะมีพรสวรรค์กว่าผู้เป็นพ่อที่เป็นผู้กล้าก็ตามที จนในที่สุดพ่อของเขาก็ได้ยอมแพ้ในตัวของเขาในที่สุด
ทำให้เขาหลุดพ้นจากการเป็นนักรบและตัดสินใจที่จะฝึกประติมากรรมอย่างเต็มอัตรา และตัดสินใจที่จะออกเดินทางเร่ขายของประติมากรรม
ประติมากรรมน้ำแข็งนอกจากจะงดงามทอแสงจันทราได้ดีเยี่ยม แล้วยังสามารถหาเงินได้ ไม่มีอะไรที่งดงามไปกว่าสิ่งเหล่านี้อีกแล้วสำหรับสเวน
และหลายปีที่ผ่านมาเขาก็มีประสบการณ์การเป็นพ่อค้าเร่มากมายก่ายกอง.. เขาได้คิดค้นงานประติมากรรมรูปแบบเวทมนตร์ขึ้นมา
ไม่เพียงมันจะงดงามแล้ว ประติมากรรมที่เขาสร้างขึ้นมายังแฝงเร้นไปด้วยพลังบางอย่าง.. จนทำให้งานประติมากรรมกลายเป็น… อุปกรณ์เวทมนตร์ในที่สุด
ซึ่งงานประติมากรรมเหล่านี้บางอันก็สามารถช่วยให้คนหายเหนื่อยได้ บางอันก็สามารถปลดปล่อยคลื่นโจมตีออกมาได้
เรื่องนี้ยิ่งทำให้ผลงานประติมากรรมเขานอกจากจะมีความงดงามแล้วยังสามารถช่วยเหลือได้อีกต่างหาก
เขาจึงยิ่งภูมิใจ แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยไฟสงคราม ใครบ้างจะมาเห็นค่าความงดงาม อย่าว่าแต่ความสามารถเลย
คนจะหันมาแลผลงานของเขายังแทบไม่มีด้วยซ้ำละนะ.. แต่ก็เพราะบารมีพ่อที่เป็นผู้กล้าทำให้เขาไม่เคยเจ๊งเลยสักครั้งนั่นเอง
ดังนั้นเขาจึงได้คิดแผนการค้าใหม่ขึ้นมา และแผนนี้เขาก็ใช้มาอย่างยาวนานหลายปีและมันก็ได้ผลดีมากนั่นคือการ…
หลอกล่อดึงความสนใจโดยการสร้างแรงดึงดูดบางอย่างให้คนน่ะสนใจผลงานของตัวเขาเอง
ซึ่งวิธีนั้นง่ายมาก ก็แค่ให้คนอื่นได้มีส่วนร่วมในการทดลองสร้างประติมากรรมก็พอ ใช่แล้ว.. ตอนนี้ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีเลทิเซียและเวโรเน่อยู่
เขาก็ใช้แผนเดิมที่ใช้มาตลอด
อย่างแรกดึงความสนใจ.. สำหรับคนที่ไม่เคยสร้างผลงานประติมากรรมอย่างไอ้คนในยุคนี้คงจะคิดว่าการสร้างศิลปะง่ายเหมือนผ่าไม้นั่นแหละ
เขาใช้ประโยชน์จากจุดนี้โดยการเปิดการแข่งขันให้สร้างผลงานประติมากรรมขึ้นมา โดยให้ของเขาเป็นเหมือนตัวเปรียบเทียบ
หากสวยไม่เท่าของเขาก็จะพ่ายแพ้.. หากชนะก็จะชนะไป ซึ่งของแบบนี้หากไม่ฝึกก็ไม่มีทางชนะอยู่แล้วละนะ
แต่จะแพ้หรือชนะก็ไม่เกี่ยวกัน เพียงแค่สร้างความสนใจให้กับคนอื่นโดยมีสิ่งกระตุ้นบางอย่าง มันก็เพียงพอที่จะดึงให้คนอื่นที่ไม่เคยสนใจงานประติมากรรม
หันมาสนใจเลยก็ได้ และยิ่งโม้ว่าผลงานเหล่านี้ไม่เพียงแต่สวยแต่ยังสามารถช่วยเหลือบางอย่างได้ นั่นก็เพียงพอแล้วล่ะ
ใช่ นี่แหละคือการตลาดของเขา และมันก้ได้ผลดีมาตลอดเช่นกัน พอคนแข่งแพ้พวกเขาก็จะรู้ว่าไอ้การแกะสลักน้ำแข็งนี้มันยากแค่ไหน
และไม่เพียงแต่สวย มันยังช่วยเหลือได้.. แค่นี้ของเหล่านี้ก็มีคุณค่าพอที่จะซื้อแล้ว.. และสำหรับสเวนการมาขายตามหมู่บ้านเล็กๆ แบบนี้จะยิ่งหลอกขายง่าย
เพราะข่าวคราวเข้าไม่ค่อยถึงแค่ชักจูงนิดๆ หน่อยๆ ก็ได้แล้ว ถึงจะมีความเสี่ยงที่ว่าอาจจะขายไม่ออกก็เถอะ แต่เขามีเวลาเหลือเฟือ
เขาไม่คิดจะเข้าไปขายกลางสนามรบที่อันตรายๆ หรอก ใครจะไปให้โง่กันล่ะ
“เข้ามาเลย ไม่ต้องห่วงข้าไม่คิดเงินอย่างแน่นอน ถือซะว่ามาเล่นกันขำๆ ยังได้นะ ส่วนน้ำแข็งพวกนี้ไม่ต้องห่วงเพราะมันแทบจะเป็นอุปกรณ์เวทครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะงั้นมันไม่ละลายหรอกถึงจะเป้นน้ำแข็ง”
สเวนกล่าวอย่างเป็นมิตร ด้านหลังเขามีผลงานประติมากรรมน้ำแข็งของเขาตั้งอยู่.. มันเป็นแท่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สูงกว่าสองเมตรเสียอีก
มันถูกแกะสลักเป็นรูปของกองซากศพที่กองพะเนินเหนือหัวสเวนขึ้นไป และบนยอดนั้นมีเก้าอี้อันมืดมัววางอยู่
และคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือ ‘จอมมาร’ ที่จ้องมายังเบื้องล่างราวกับไม่เกรงกลัวสิ่งใดเลย อันที่จริงสาเหตุหลักที่คนไม่อยากเข้าใกล้เขา
คงเพราะเขาแกะสลักจอมมารนั่นแหละ เพราะมนุษย์นั้นคติต่อจอมมารโดยอัตโนมัติในฐานะที่เป็นศัตรูทางธรรมชาติ
สรุปง่ายๆ คือสาเหตุอีกอย่างที่ขายไม่ออก เจ้าตัวดันชอบเอาจอมมารมาโชว์หราจนคนคิดว่าไอ้หมอนี่มันเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ..
และสาเหตุที่คนเข้ามาแข่งขันอีกอย่างคงจะเป็นเพราะอยากจะสร้างสิ่งที่สวยงามกว่าเจ้าจอมมารผู้ชั่วร้ายนี้นั่นแหละ
เพราะพวกเขายอมรับว่าประติมากรรมชิ้นนี้มันสวยมากจริงๆ แต่.. พวกเขาไม่อยากชมว่าจอมมารที่แสนชั่วร้ายมันงดงามนี่น่า
ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องชนะให้ได้..
ซึ่งไม่เคยมีใครทำสำเร็จเลย
“บ้าเอ๊ย ทำไมมันไม่มีคนก้าวเข้าในเส้นสีเขียวเลยฟะเนี่ย”
สเวนบ่นอุบอิบในใจ แบบนี้ก็ขายไม่ออกพอดีน่ะสิ อาจจะเพราะหมู่บ้านนี้เล็กเกินไปก็ได้ คนสนใจมันมีน้อยมากๆ
ดังนั้นต่อให้เขาพยายามจะล่อซื้อด้วยวิธีแบบนี้ก็ยังคงเงียบไร้วี่แวว อย่าว่าแต่คนลงสมัครเลยขนาดคนมามุงดูส่วนใหญ่ก็มีแต่คนแก่ที่ไม่ได้ทำการทำงานแล้ว
และถึงขั้นมีเสียงซุบซิบของคนแก่วัยชรา
“นั่นมันจอมมารไม่ใช่เรอะ”
“ใช่แล้วแหละยายแก่”
“เจ้าเองก็แก่เหมือนกันนั่นแหละ แต่ว่าบูชาจอมมารแบบนี้น่ากลัวหน่อยๆ นะ”
“นั่นสิ.. แล้วทำไมต้องแทะน้ำแข็งด้วยล่ะ.. สร้างน้ำแข็งมันสร้างยากไม่ใช่เรอะ”
“นั่นสิ เด็กสมัยนี้นี่แปลกจริงๆ ”
คนแก่ต่างพากันซุบซิบกันไม่หยุด สเวนหนังคิ้วกระตุก อยากจะตะโกนออกมาว่า “อ้ากกก ข้าไม่ได้บูชาจอมมารเฟ้ย เข้าใจหน่อยเถอะ”
แต่ก็ไม่อยากจะพูดออกมาแบบนั้น ทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจขณะที่กำลังปลงอนิจจังกำลังจะกลับเพราะเขาอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ตอนเช้าแล้วควรจะกลับได้แล้ว
ในเมื่อขายไม่ออกก็ได้แต่ต้องถอดใจเท่านั้นแหละ แต่ในตอนนั้นเองเลทิเซียและเวโรเน่กลับก้าวเดินเข้าเส้นเขียวที่เขาวาดมา
สายตาเขาที่ถอดใจก็ยกขึ้น มองเห็นทั้งสองที่เหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ เขาตอบสนองย่างว่องไว
จังหวะนี้แหละ ต้องขอยัดเยียดให้เด็กพวกนี้ทำหน้าที่แทนแล้ว
“โอะๆ โอ้.. อะไรกันมีผู้ท้าชิงถึงสองคนเลยงั้นเหรอเนี่ย ขอปรบมือให้กับผู้กล้าท้าชิงหน่อย เร็วๆๆ ”
สเวนรู้ว่าได้โอกาสแล้ว ถึงจะเป็นการฉวยโอกาสไปหน่อย แต่อีกฝ่ายก็เดินเข้ามาแล้ว เขาหยิบอุปกรณ์เวทมนตร์ขยายเสียงออกมาตะโกนอย่างดัง
ดึงดูดความสนใจคนทั้งหมู่บ้านทันที ดวงตาเขาเผยแววทุ่มสุดตัว.. ต้องขายให้ออกให้ได้… ในฐานะที่เขาเป็นพ่อค้าเร่แห่งศิลปะ
เขาจะย้อมโลกนี้ให้ผู้คนอันมืดมนเข้าใจถึงความงดงามของศิลปะให้ได้ ต้องเพิ่มของรางวัลและดึงดูดให้มาสนใจ
“ในฐานะที่เป็นผู้เข้าแข่งขันคนที่หนึ่งพันนับตั้งแต่ข้าเคยเปิดรับสมัครมา.. ข้าจึงจะขอมอบผลงานชิ้นเอกชิ้นนี้ให้ด้วย”
“ผลงานชิ้นเอกชิ้นนี้หากสวมใส่ที่แขนจะสามารถใช้เวทมนตร์บางอย่างที่สามารถเพิ่มพลังเวทมนตร์ให้กับผู้สวมใส่ได้ถึงสิบเท่า”
“มันถูกเรียกว่า ‘กำไลประติมากรรมน้ำแข็งแห่งราชันเวท’ หากสามารถแข่งขันชนะจะรับสิ่งนี้ไปเลยฟรีๆ !!”
เขาหยิบกำไลน้ำแข็งอันหนึ่งขึ้นมาซึ่งเป็นผลงานประติมากรรมที่เขาสร้างขึ้นและมันมีคุณค่าในแง่ของออุปกรณ์เวทมนตร์มากกว่าแท่นจอมมารด้านหลังเข้าอีก
แต่แน่นอนว่าความงดงามก็ต้องเป็นกองซากศพแห่งจอมมารที่สวยกว่าละนะ
แน่นอนว่าที่เขากล้าลงทุนขนาดนี้ มีเพียงอย่างเดียวเพื่อดึงความสนใจจากคนทั้งหมู่บ้านที่ซบเซาแห่งนี้ เขาตัดสินในใจว่า
ขอเอาศักดิ์ศรีนักประติมากรรมเป็นเดิมพันว่า.. จะต้องเปลี่ยนหมู่บ้านนี้ให้เป็นหมู่บ้านศิลปะให้ได้
และเมื่อพิจารณาว่าสองคนนี้เป็นแค่เด็กที่ไม่น่าจะมีความรู้เรื่องศิลปะเพราะเสื้อผ้าหน้าผมของทั้งสองคน.. การตลาดของเขาก็สมบูรณ์แบบแล้ว
สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงแค่ดึงดูดคนเท่านั้น!!
MANGA DISCUSSION