การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 353
บทที่ 353 – วิธี ?
ในขณะที่หญิงสาวผมสีขาวกล่าวแบบนั้นจนเลทิเซียไม่สามารถตอบโต้ได้.. แน่นอนว่าสิ่งเธอพูดมาล้วนเป็นจริงทั้งหมด
ถึงแม้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเลทิเซียทั้งทสึรุหรือชาร์ล็อตล้วนเกิดจากการฉายซ้ำของประวัติศาสตร์ก็จริง
แต่เลทิเซียไม่ได้รู้สึกว่าพวกเธอเหมือนที่ตามตำนานเล่าขานมาทุกอย่าง.. เพราะเธอทั้งคู่ต่างมีเส้นทางชีวิตของตัวเอง
อันที่จริงไม่ใช่แค่ทั้งสองคนนี้หรอก เผ่าอสูรในระดับตำนานขึ้นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนี้หมด
จริงอยู่ที่พวกเขาถือกำเนิดขึ้นมาจากตำนานเล่าขานที่เล่าสืบต่อกันมันมาจนกลายเป็นประวัติศาสตร์
แต่ทั้งชาร์ล็อตเองก็มีความกลุ้มใจ มีปัญหาที่เป็นของตัวเองรวมถึงทสึรุด้วย นั่นแสดงให้เห็นว่า พวกเธอก็คือพวกเธอ
และหลักบานที่ชัดเจนยิ่งกว่าอะไรก็คือการที่เลทิเซียได้รู้จักกับพวกเธอ ได้สนิทกัน ได้เป็นเพื่อนกัน ได้หัวเราะด้วยกัน ได้ยิ้มด้วยกัน
นี่คือหลักฐานที่บ่งบอกชัดเจนว่าชาร์ล็อตในโลกนี้ถือกำเนิดขึ้นมาจากชาร์ล็อต กอร์แดในโลกเก่าเพียงเท่านั้นเอง
ต่อให้นี่จะเป็นการฉายซ้ำของประวัติศาสตร์หรือเป็นการเล่นซ้ำของประวัติศาสตร์อะไรก็แล้วแต่ แต่พวกเธอก็ยังมีชีวิตอยู่ตรงนั้นจริงๆ ..
เพียงแค่ถูกกำกับความตายมาเพราะคำว่าประวัติศาสตร์เท่านั้น หากเลทิเซียเข้าไปขัดขวาง..
หมายความว่าตำนานจะไม่บังเกิดขึ้นมาตั้งแต่แรก.. และพวกเธอจะไม่มีตัวตนมาตั้งแต่แรก ไม่ได้มีชีวิตอยู่ ไม่ได้รู้จักกับเลทิเซีย
ไม่เป็นที่กล่าวขานจากรุ่นสู่รุ่น.. กลายเป็นว่าคนที่ทำลายประวัติศาสตร์ของทั้งสองคนจะเป็นเลทิเซียเอง
ในตอนแรกเลทิเซียคิดว่าอย่างน้อยขอแค่พวกเธอมีชีวิตอยุ่ต่อไปก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ.. แต่นั่นมันถูกจริงๆ งั้นเหรอ?
มันจะเป็นแบบนั้นจริงงั้นเหรอ.. แน่นอนว่าสำหรับชาร์ล็อตและทสึรุหากเธอสามารถตอบคำถามนี้ให้กับเลทิเซียได้เธอต้องส่ายหน้าตอบทันทีว่า
“หากทำแบบนั้นแล้วเพวกเธอจะไม่ได้รู้จักเลทิเซียน่ะ.. ไม่เอาด้วยหรอก”
มันแน่นอนว่าเลทิเซียไม่กล้าคิดแบบนั้นเอาเองหรอก เพราะมันเห็นแก่ตัวเกินไป เพราะแบบนั้นเธอถึงได้สับสนและไม่เข้าใจ…
ทำไม..การที่จะช่วยชีวิตคนสำคัญถึงต้องได้รู้สึกแย่ขนาดนี้กันล่ะ.. เลทิเซียไม่เข้าใจเลยสักนิด
เธอเพียงแค่อยากจะทำให้คนสำคัญไม่ต้องตาย แต่หากทางที่ต้องการทำนั้นกลับไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง..
แล้วแบบไหนมันถึงจะถูกต้องล่ะ ได้แต่ยืนมองดูคนสำคัญตายซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าต่อไปอย่างงั้นเหรอ
“แค่ช่วยเพื่อนยังช่วยไม่ได้แบบนี้… พลังที่ซิลเวียมอบให้มันจะไปมีประโยชน์อะไรกันละ ห้ะ”
เลทิเซียตะโกนออกมาพร้อมกับหมัดที่กำเข้าหากันพร้อมกับทุบลงบนพื้นอย่างรุนแรงส่งผลให้แผ่นดินในรัศมีกว้างขวางครอบคลุมทั่วทั้งทวีปสั่นสะเทือน
ราวกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์..
“จะบอกว่า ซิลเวียและไวท์ต้องตายฟรียังไงงั้นเหรอ ตายเพียงเพื่อช่วยคนไร้ค่าแบบฉันที่ช่วยไม่ได้แม้แต่เพื่อนสักคนอย่างงั้นเหรอ”
“แบบนี้.. แบบนี้มันจะไปมีความหมายบ้าบออะไรกันล่ะ”
เลทิเซียกำมือเป็นหมัดพร้อมกับทุบลงพื้นอีกครั้ง.. แต่ทว่ามือเธอหยุดก่อนที่จะถึงพื้น.. น้ำตาของเลทิเซียหยดลงบนใบหน้าอันซีดเซียวของชาร์ล็อต..
“จะให้ฉันทำยังไง..กันล่ะ.. ตายหมดแล้ว.. ทุกคนน่ะตายหมดแล้วนะ”
“สเตฟานี่.. เซเรส.. โคลเอ้.. อันน่า.. ซิลเวีย.. ไวท์.. ทสึรุและชาร์ล็อต”
“ตายกันไปหมดแล้ว….”
เสียงสะอึกสะอื้นแห่งความสิ้นวังท่ามกลางกองเลือด ภาพความทรงจำมากมายนั้นหลั่งไหลออกมาจากภายในหัว
ภาพเหล่านั้นเป็นภาพวันวานที่ไม่สามารถจับต้องได้อีก… ห้าปีที่ผ่านมามันหายลับไปกับสายลม.. ทุกอย่างมันหายไปจนมดแล้ว..
“ท่านเลทิเซีย.. ข้าไม่ค่อยเข้าใจตรงจุดนี้เลย.. มันหมายความว่ายังไงเหรอคะ?”
เสียงอันสดใสกล่าวถามเลทิเซียด้วยความสงสัย เธอคือสเตฟานี่ที่วันนั้น.. วันที่สเตฟานี่มาช่วยให้เลทิเซียสอนเรื่องบางเรื่องที่ไม่เข้าใจ
“นี่น่ะคือ.. แบบนี้..แล้วก็แบบนี้”
เลทิเซียชี้มือไปตรงจุดนั้นจุดนี้พร้อมกับกล่าวคำอธิบาย ใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของสเตฟานี่มีแสงวาววับและตั้งใจฟังเลทิเซียทุกประโยคที่เธอกล่าว
“แบบนี้นี่เอง ขอบคุณมากค่ะ ท่านเลทิเซีย”
ใบหน้าอันเยาว์วัยนั้นกล่าวขึ้น…
อีกภาพเป็นภาพที่สเตฟานี่กับเซเรสเดินเที่ยวในอาณาจักรมิราลิสด้วยความตื่นเต้น.. ก่อนที่เซเรสจะบอกว่า
“เพื่อนของเพื่อนก็คือเพื่อนของข้าเช่นกัน เลทิเซียมาดูนี่สิ สวยมากๆ เลยล่ะ มันทำงานยังไงกันนะ มีเวทมนตร์หรือเปล่า”
“ไม่หรอก มันแค่เครื่องกลน่ะ พอเขย่าแบบนี้มันก็จะขยับได้ด้วยนะ”
“ว้าว สุดยอดไปเลย เจ้านี่เก่งไปวะทุกอย่างจริงๆ ”
ภาพทุกอย่างผันแปรไปอีกครั้งเป็นภาพของโคลเอ้ที่ตั้งใจฟังวิชาความโหดร้ายของโลกจากเลทิเซีย
เป็นภาพของอันน่าที่แอบขึ้นเตียงเลทิเซียยามดึก..
เป็นภาพของซิลเวียที่มาขออาหารกลางดึก
เป็นภาพของไวท์ที่กินตั้งแต่เช้ายันเย็น
ภาพของทสึรุที่ยืนฝึกวิชาหอกทั้งวี่ทั้งวัน
ภาพของชาร์ล็อต… ที่สดใสและร่างเริงอยู่เสมอ..
หายไปหมดแล้วล่ะ.. ทุกอย่างมันค่อยๆ หายไปหมดแล้ว
วันวานแบบนั้นมันไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว เพราะบัดนี้..
โลกนี้.. โลกที่เธอเหยียบย่ำอยู่ในยามนี้
เหลือเพียงแค่เธอ..
ทุกคนหายไปหมดแล้ว
ใช่ นี่เองก็เป็นการเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดที่คงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ได้ แต่ถึงแบบนั้นการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เลทิเซียรับมันไม่ได้..
หากเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทุกคนต่างเติบโต.. ต่างพัฒนาไปอีกนั่นก็ว่าไปอย่าง แต่แบบนี้มัน… แบบนี้มัน..ไม่ใช่
เธอไม่ต้องการแบบนี้.. เลทิเซียทำได้เพียงลูบใบหน้าที่มีแต่หัวของชาร์ล็อตพร้อมทั้งน้ำตา..
นี่คือความตายไม่ใช่การแยกจาก.. เป็นความตายที่ไม่สามารถพูด ไม่สามารถคุย ไม่สามารถเห็นหน้ากันได้อีก..
เป็นการลาจากครั้งเดียวในชีวิตและครั้งสุดท้ายชีวิตอย่างแท้จริง.. เลทิเซียลูบใบหน้าที่ไร้วิญญาณของชาร์ล็อต
ราวกับไม่ต้องการจะแยกจากเธอไป..
แต่ในตอนนั้นเอง..
“นั่นไง ฉันคิดไว้แล้วเชียว.. ริวคุงนี่น้า ไม่มีความอ่อนโยนกับคนอื่นเอาซะเลยนะ แบบนั้นระวังไม่เนื้อหอมเอานะ”
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับใช้สันมือของเธอฟาดหัวใส่ผู้หญิงผมสีขาวเบาๆ หนึ่งครั้ง.. การปรากฏตัวของเธอทำเอาเลทิเซียหันกลับมาดูทันที
แต่เพราะสภาพของเลทิเซียในยามนี้ไม่สู้ดีเท่าไหร่ จนทำให้หญิงสาวคนนั้นอึ้งไปพักหนึ่งเลย แน่นอนว่าเธอคืออาจารย์ชิสุคนนั้นนั่นเอง
เธอเห็นสภาพของเลทิเซียที่ดูไม่ได้ ก็หันไปหาผู้หญิงผมสีขาวด้วยสายตาดุๆ ..
“ฉันบอกให้มาช่วยเขาไม่ใช่หรือไงกัน เพราะแบบนี้ไงฉันถึงไม่อยากริวคุงมายุ่งด้วยน่ะ”
“ฉันก็แค่ทำตามที่เธอบอกเท่านั้นเองนะ”
ผู้หญิงผมสีขาวไม่พูดเถียงกับอาจารย์ชิสุมากนัก อย่างน้อยในสายตาเลทิเซียก็มองออกทันทีว่าอาจารย์ชิสุคนนี้ไม่ได้เก่งเท่าผู้หญิงผมสีขาวเลยสักนิด
ไม่สิ สู้เธอไม่ได้ด้วยซ้ำ.. แต่ก็เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงผมสีขาวที่ดูไม่สนใจไยดีอะไรสักอย่างบนโลก ราวกับว่าเธอรู้ทุกอย่าง
แต่พอมองอาจารย์ชิสุเธอก็อ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัดเจน.. แต่เลทิเซียไม่ได้คิดจะนั่งวิเคราะห์อะไรอีกฝ่าย…
แต่ทว่าในตอนนั้นเอง อาจารย์ชิสุก็พูดขึ้นว่า..
“ฉันคิดว่าเธอคงรู้เกี่ยวกับเผ่าอสูรแล้วใช่ไหม? เพราะงั้นแหละ ทั้งชาร์ล็อต ทสึรุและทุกๆ คน ต่างก็เป็นนักเรียนของฉัน.. ส่วนซิลเวียนี่นับว่าเป็นเพื่อนก็ได้ละมั้ง”
“เพราะงั้น.. ฉันจะช่วยบอกวิธี…ที่จะช่วยคนเหล่านั้นได้ให้”