การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 314
บทที่ 314 – พี่สาวของนิล..?
“หืม.. มีคนอื่นอยู่ด้วยเหรอ.. เด็กงั้นเหรอ?”
ในขณะที่เสียงนั้นดังขึ้นก็แปลกใจเล็กน้อย คนที่กล่าวไม่ใช่หมึกยักษ์ที่ไล่ตามเลทิเซียมา แต่เป็นชายหนุ่มที่อายุราวๆ สามสิบกว่าปี
เขามองเลทิเซียด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เลทิเซียเองก็มองกลับไปที่อีกฝ่าย คนตรงหน้ามีแผลบนใบหน้า
แถมยังมีร่างกายที่ใหญ่พอสมควร ซึ่งดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่คนดี ชายคนนั้นมองเห็นเลทิเซีย
“ทำไมถึงมี่เด็กมาอยู่ในเมืองที่ล่มสลายไปแล้ว?”
เขากล่าวอย่างสับสน.. ในขณะเดียวกันนิลก็ถอยหลังไปหลบหลังเลทิเซีย เหมือนกับว่ามีสัญชาตญาณที่รู้สึกถึงอันตราย
“เพื่อนพี่สาวงั้นเหรอ…?”
“ไม่ใช่เพื่อนฉันแน่นอน”
เลทิเซียตอบกลับไปพร้อมกับยืนมองอีกฝ่าย ไม่ได้แสดงท่าทีอ่อนแอให้เห็นกลับกันท่าทางเธอดูเคร่งขรึมมาก
ชายคนนั้นมองเลทิเซียก่อนจะมองสลับลงไปหานิลที่อยู่ด้านหลังเลทิเซีย จู่ๆ ชายคนนั้นก็หยิบวัตถุบางอย่างขึ้นมา
แต่ทันทีที่มันหยิบขึ้นมานั้นเองเลทิเซียที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องอุปกรณ์เวทมนตร์และอาร์ติแฟ็คอยู่พอสมควรก็เบิกตากว้าง
เธอมองออกทันทีว่านั่นคืออะไร
“อาร์ติแฟ็ค”
“มีอะไรเหรอ เลทิเซีย เจ้าเป็นอะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว?”
เลทิเซียกัดริมฝีปากเบาๆ ใจเย็นๆ ก่อนเธอต้องใคร่ครวญสถานการณ์ตอนนี้ให้ถี่ถ้วนก่อน .. อย่างแรกเลยเด็กคนนี้มองไม่เห็นซิลเวีย
และซิลเวียเองก็มองไม่เห็นเด็กคนนี้เช่นกัน เลทิเซียหันกลับไปมองซิลเวียที่ตอนนี้กำลังแปลกใจกับท่าทางของตัวเธอเอง
ซิลเวียไม่ได้มองไปทางที่ชายคนนั้นอยู่เลย.. นั่นหมายความว่ามีเลทิเซียคนเดียวที่สามารถมองเห็นอีกฝ่ายกับนิลได้
นั่นก็หมายความว่าเจ้าผู้ชายคนนี้ต้องตามนิลมาแน่ๆ .. เพราะก่อนหน้านี้มันก็พูดว่าในที่สุดก็หาเจอ
แม้จะมีเรื่องที่ต้องแปลกใจอย่าง หากมันล่านิลทำไมมันถึงไม่โจมตีเลทิเซียล่ะ เพราะยังไงเธอก็เป็นแค่คนที่เหมือนเด็กอายุมากกว่านิลไม่กี่ปี
อีกทั้งมันยังเอาอาร์ติแฟ็คบางงอย่างออกมา แม้จะไม่ทราบคุณสมบัติของอาร์ติแฟ็คชิ้นนั้น แต่เลทิเซียก็พอมองเห็นโครงสร้างคร่าวๆ ของอาร์ติแฟ็ค..
นี่ไม่ใช่สิ่งที่โลกที่เลทิเซียอยู่จะสามารถทำได้แน่นอน.. กล่าวคือเจ้านี่มันคงจะได้มาจากในชิ้นส่วนเวหา..
แต่คำถามคือนี่มันโลกที่เจ้าหมึกนั่นสร้างไม่ใช่เหรอ.. แล้วมันจะมามีคนอยู่ในนี้ได้ไง.. ไม่สิ ก็คนพวกนี้เป็นสิ่งที่เจ้าหมึกยักษ์นั่นสร้างขึ้นมาไม่ใช่เหรอ
แต่ว่าถ้าสร้างขึ้นจริงทำไมซิลเวียถึงมองไม่เห็น ทำไมถึงมีแค่เธอที่มองเห็นล่ะ ทั้งๆ ที่ซิลเวียสามารถมองเห็นโลกนี้ได้ปกติ
แต่คนที่เลทิเซียมองในตอนนี้กลับไม่สามารถมองเห็น ยังมีคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้มากมายลอยวนเวียนอยู่ในหัวเลทิเซีย
ชายหนุ่มคนนั้นที่เหมือนจะทำอะไรบางอย่างเสร็จแล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองเลทิเซีย ซึ่งพอเห็นแบบนี้เลทิเซียก็แทบจะรู้ทันทีว่า..
“อาร์ติแฟ็คสื่อสารงั้นสินะ.. หมายความว่าไม่ได้มีแค่คนเดียว”
“อีกอย่างยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เท่าไหร่จะผลีผลามไม่ได้.. ไม่งั้นไม่เพียงแค่ฉัน แต่ซิลเวียจะพลอยอันตรายไปด้วย”
แต่ในขณะที่เลทิเซียตัดสินใจที่กำลังจะตีหน้าสดใสพยายามสนิท อีกฝ่ายก็พูดขึ้นก่อนว่า
“สวัสดีคุณหนู ..? ข้ามีชื่อว่าอาคุส มาต่อรองกันสักหน่อยไหม?”
ต่อรอง? ไม่ใช่ข่มขู่แต่เป็นการต่อรอง? หมายความว่ายังไง เลทิเซียพอจะรู้อยู่แล้วล่ะว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการตัวนิล
ต่อให้เป็นคนโง่ขนาดไหนก็คงไม่มีใครไม่รู้หรอก.. แต่ที่ทำให้เลทิเซียแปลกใจคือการต่อรองแทนที่จะเป็นขู่
ยังไงซะเลทิเซียในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากเด็กทั่วไปธรรมดา อย่าว่าแต่พลังเวทเลยขนาดวิชาดาวไร้ลักษณ์ยังแทบใช้ไม่ได้เพราะไม่มีอาวุธ
แน่นอนว่ายิ่งดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วเลทิเซียก็เหมือนเด็กธรรมดา แต่อันที่จริงอาคุสก็ไม่ได้โง่
เพียงแค่เขาเห็นเลทิเซียสวมเสื้อยืดบางๆ ไม่พอแม้แผลที่มือจะหายไปแล้วแต่ก็ยังมีรอยคราบเลือดติดอยู่ที่แขน
อาคุสไม่โง่พอที่จะเดาไม่ออกว่าเลทิเซียเป็นเด็กทั่วไป ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะต่อรองมากกว่าข่มขู่
อีกอย่างทางฝั่งหัวหน้าก็แนะนำมาอย่างนั้น เพราะภารกิจในครั้งนี้ของพวกเขาจะพลาดไม่ได้โดยเด็ดขาด
นอกจากนี้ดูท่าแล้วอีกฝ่ายคงเป็นคนจากต่างแดน.. เพราะทั้งชุดและท่าทางก็ไม่เหมือนคนที่จะอยู่แถวนี้ได้
มันจึงมั่นใจว่าบางทีเลทิเซียคงถูกพายุแห่งมิติอะไรสักอย่างจนทำให้หลุดเข้ามาในนี้ก็ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าเขาเลือกที่จะประนีประนอมนั่นเอง
แน่นอนว่าทั้งสองก็ไม่มีใครยอมใคร เลทิเซียก็ถามออกมาด้วยความสงสัยว่า
“ต่อรอง? เรื่องอะไร?”
“ส่งเด็กผู้หญิงคนนั้นมา.. แลกกับการที่ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่..”
มันกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม อย่างแรกเลยที่แห่งนี้ไม่สามารถเข้าออกได้ด้วยวิธีทั่วไป เพราะการจะเข้าออกต้องมีความสามารถในการก้าวข้ามมิติ
ซึ่งแน่นอนว่าบุคคลระดับนั้นสามารถเข้าออกที่แห่งนี้เมื่อไหร่ก็ได้ตามใจ แต่ว่าเด็กผู้หญิงตรงหน้านี้ไม่ได้ออกจากที่แห่งนี้
และเหมือนจะหาที่พักอยู่ นั่นก็เพียงพอแล้วว่าอีกฝ่ายคงโดนพายุมิติส่งมาที่นี่ แล้วก็ติดในที่แห่งนี้โดยไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง
ไม่สามารถออกได้.. เหลือเพียงรอวันตายในที่แห่งนี้เท่านั้น อาคุสจึงคิดว่านี่คงจะเป็นเหยื่อล่อชั้นดีให้กับเลทิเซีย
น่าเสียดายที่สถานการณ์ของเลทิเซียซับซ้อนยิ่งกว่านั้น เธอไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกไป เรื่องนี้ทำให้อาคุสเริ่มลังเลใจ
นิลที่ยืนอยู่ด้านหลังเลทิเซียก็จับแขนเลทิเซียแน่นขึ้น.. เหมือนกับเธอกำลังกลัวว่าจะถูกส่งให้คนท่าทางไม่เหมือนคนดี
แน่นอนว่าขณะเดียวกันที่เลทิเซียเห็นภาพนี้เธอก็พอรู้แล้วว่าบางทีนิลคงมีความสำคัญมาก ถึงจะยังสับสนอยู่หลายเรื่องแต่เลทิเซียไม่มีทางที่จะปล่อยนิลให้คนที่เธอกลัวแน่นอน
แม้เลทิเซียจะไม่อยากมีปัญหาเพราะสถานการณ์ของตัวเองก็ไม่สู้ดีนัก แต่หากถ้าเธอจะทิ้งนิลเธอก็คงไม่เก็บมาตั้งแต่แรกแล้ว
ตลอดห้าปีที่ผ่านมานั้น.. เธอแม้จะสวมหน้ากากผู้ดีเป็นมิตรต่อคนอื่นในการเข้าหาและพูดคุยกับคนอื่นเสมอมา
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าตัวเธอนั้นไม่สามารถมองเห็นสิ่งดีๆ ในตัวของคนอื่นได้เลย.. ตลอดชีวิตสองชีวิตที่ผ่านมา
เธอมองว่าสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่เกี่ยวพันด้วยสายเลือดมันล้วนแล้วแต่มีด้านลบ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเป็นมิตรกับคนที่ไม่เกี่ยวข้อง
ใช่ ดังนั้นเธอจึงมองแง่ลบมาตลอด.. แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
เธอเรียนรู้มันมาตลอดห้าปี..
เรียนรู้จากการได้สนิท ได้พูดคุยได้พบเจอกับคนอื่น ไม่ปิดกั้นตัวเองและยึดมั่นในความเชื่อและอุดมคติเดิมๆ
ดังนั้นเธอในตอนนี้ เลทิเซียในตอนนี้ไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่ไม่สนอะไรนอกจากเรื่องของตัวเองอีกต่อไป…
ทั้งยังมีคำสอนของพี่ที่เลทิเซียไม่เคยไม่ปฏิบัติตาม.. เพียงแค่นั้นมันก็มีเหตุผลมากพอที่เธอจะไม่ปล่อยนิลไปกับคนที่มีท่าทางอันตรายแบบนี้แน่ๆ
หลังจากเลทิเซียคิดอยู่พักหนึ่ง เลทิเซียก็พูดขึ้นว่า
“ส่งเด็กผู้หญิงให้นาย? มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องส่งน้องสาวตัวเองให้กับคนแปลกหน้าล่ะ?”
“น้องสาว?”
เลทิเซียพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งราวกับสิ่งที่เธอพูดมานั้นคือความจริงมาตั้งแต่ตอนที่นิลเกิดมาแล้ว
ดังนั้นคำพูดของเธอจึงดูเป็นธรรมชาติสุดๆ จนแม้แต่อาคุสที่รู้ว่าไม่มีทางเป็นแบบนั้นยังตกตะลึง
นิลเองก็ประหลาดใจ เธอเงยหน้ามองเลทิเซียพร้อมกับกล่าว
“พี่สาวเป็นพี่สาวหนูงั้นเหรอ?”
เธอถามด้วยความไร้เดียงสา อันที่จริงในความทรงจำนิลเธอเหมือนจะมีพี่สาวอยู่ แต่เธอจำเกี่ยวกับพี่สาวไม่ได้แล้ว..
“เอ่อ…”
เลทิเซียก็ไม่รู้จะตอบกลับยังไง เพราะที่พูดออกไปแบบนั้นแค่ทำให้คำพูดเธอมีน้ำหนักมากขึ้นเท่านั้นเอง ดังนั้นพอเจอคำถามที่ไร้เดียงสา
และดวงตาที่เป็นประกายเหมือนกับดีใจที่ในที่สุดก็ได้เจอพี่สาวจ้องมองไปที่เลทิเซีย..
ในขณะเดียวกันมีแค่ซิลเวียยืนงงอยู่คนเดียวในที่แห่งนี้ เพราะเห็นเลทิเซียคุยอยู่คนเดียวอย่างแปลกประหลาด