การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 297
บทที่ 297 – แสงสว่างของข้า
ดวงตาของข้าค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ … สิ่งที่ข้าเห็นคือความมืดอันดำสนิท ไม่สิ บางทีมันอาจจะไม่ใช่ความมืดหรืออะไร
ที่แห่งนี้ไม่มีทั้งพื้นที่ ไม่มีทั้งเวลา ไม่มีทั้งความเป็นจริงใดๆ ที่ข้าสามารถนิยามมันขึ้นมาได้เพราะจากมุมมองของข้าเท่านั้น…
ใช่ นั่นคือสิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวของข้าหลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้น ไม่ใช่ว่าข้าไม่รู้จักที่แห่งนี้แต่ข้ารู้จัก
เพียงแต่ข้ายังไม่อาจรวบรวมความคิดได้ในเวลานี้ ข้าพยายามที่จะประคองสติอันพร่าเลือนของตนเอง
และย้อนทวนลึกเข้าไปในความทรงจำอดีตอันไกลโพ้น..
ข้ามีชื่อว่าซิลเวีย เป็นเทพธิดา.. ความทรงจำ ความคิดที่ปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้ก็กลับคืนมา..
ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับตัวเองถาโถมเข้ามา.. ตาที่พร่ามัวของข้ากลับมาชัดเจนในทันทีที่นึกทุกอย่างออก
“เลทิเซีย!!”
ข้าตะโกนออกมา ก่อนที่ข้าจะหมดสติไปข้าอยู่กับเธอ ใช่ เธอคนนั้นที่ข้าต้องคอยอยู่ข้างๆ ..
พอข้าพยายามจะลุกขึ้นพอใช้มือทั้งสองข้างดันตัวเองแต่ก็พบว่าพื้นด้านล่างมันว่างเปล่าราวกับเธอกำลังลอยอยู่กลางอากาศ
ไม่เพียงแค่นั้นพอเธอขยับแขนเธอก็รู้สึกประหลาดที่มือ พอข้ามองก็พบว่า..มือทั้งสองข้างตัวเองที่ตอนแรกถูกเลทิเซียรักษาไปบ้างแล้ว
แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ซึ่งสภาพมือของข้าในตอนนี้มันเหมือนตอนนั้นทุกประการ ถึงมีเนื้อหนังและผิวพรรณฟื้นกลับมาบ้างแล้วก็เถอะ
แต่ก็มีบางส่วนที่มองลึกลงไปจนเห็นกระดูกขาวอยู่เลย ภาพนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่ข้าอยู่ไม่น้อย..
“สองคนนั้นเป็นใครกัน..”
ข้าพึมพำ ข้าในตอนที่รับพลังอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ถูกผนึกพลังอยู่เพราะฝืนใช้อาภรณ์เทพ หมายความว่าพลังของข้านั้นไม่ต่างจากตอนปกติ
แต่อีกฝ่ายกลับทำให้ข้าบาดเจ็บได้.. บนโลกเทพก็มีไม่กี่คนที่ทำแบบนั้นได้ อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่.
แล้วก็ทำไมถึงเล็งเลทิเซีย.. พอพูดถึงเลทิเซียข้าก็ตกใจ
“ไม่สิ ตอนนี้ต้องหาเลทิเซียก่อน”
พอคิดแบบนั้นก็มองงงไปรอบๆ ทุกอย่างรอบตัวข้ามีเพียงความว่างเปล่าอันไกลโพ้น… ฉับพลันความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งนี้ก็ลอยกลับคืนมาในหัวข้า..
“ความว่างเปล่าอนันตกาล”
นั่นคือคำอธิบายสิ่งนี้.. ที่ไม่ใช่ทั้งมิติ ไม่ใช่ทั้งความเป็นจริง ไม่ใช่ทั้งโลกใบนี้หรือแม้แต่ต้นกำเนิดที่แท้จริง (ชินโนะเก็นเท็น)
หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือที่แห่งนี้คือความว่างเปล่าตามตำราที่ข้าเคยอ่านมาบนโลกเทพ..
แต่หากตามคำอธิบาย.. ความว่างเปล่าก็ต้องเป็นความว่างเปล่าสิ.. แต่ข้าหาใช่ความว่างเปล่าที่ไหนกัน..?
ไม่สิ ไม่ใช่เรื่องที่จะห่วงในตอนนี้ เลทิเซียล่ะ ตอนที่ข้าสลบไปเลทิเซียก็อยู่ใกล้ๆ เธอต้องโดนมาด้วยแน่..
หากสมมุติว่าข้าเป็นเทพเลยไม่เป็นอะไรแล้วเลทิเซียล่ะ.. เธอจะไม่เป็นอะไรเหรอ ข้าเหงื่อไหลด้วยความกังวล
กวาดสายตาหาในความว่างเปล่าเพราะร่างกายขยับไม่ได้ พลังทุกอย่างไม่อาจจะใช้ออกมาได้
แต่ตอนนั้นเองสายตาก็ไปหยุดชะงักอยู่บนจุดเรือนแสงจุดหนึ่งที่ห่างไกลออกไปไม่มา.. แสงที่ไม่ควรมีแต่ก็ยังมี
ข้าจึงเพ่งสายตาไปด้วยความสงสัย.. ใช่.. ที่ลอยอยู่ห่างไกลออกไปนั้นเป็นเลทิเซียแน่..
“เลทิเซีย!!”
ข้าพยายามจะเรียกเธอแต่กลับไร้ซึ่งแม้แต่เสียง แม้แต่พยายามจะขยับก็ยังทำไม่ได้ .. ใช่เพราะที่นี่คือความว่างเปล่าอันเป็นอนันตกาล..
ไม่มีทุกคลื่น ไม่มีทุกอณู.. ที่ข้ากับเลทิเซียยังไม่หายสาบสูญไปโดยสิ้นเชิงอาจจะเป็นปาฏิหาริย์ก็ได้
แต่จะทำยังไงละ..เลทิเซียก็สลบ ร่างกายก็เคลื่อนไหวไม่ได้… ในขณะที่ข้ากำลังคิดอยู่นั้นเองจู่ๆ สายตาก็ไปสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้า…
“อ่า ใช่.. ยังมีวิธีนั้นอยู่นี่น่า”
พอคิดได้แบบนั้นข้าก็หลับตาลงพร้อมกับ.. ภาวนาถึงเลทิเซีย.. เข้าใกล้เลทิเซียต้องเข้าใกล้เลทิเซียให้ได้..
พวกเราต้องอยู่ใกล้กัน.. ที่แห่งนี้ไม่มีทั้งระยะหรือเวลา กล่าวคือไม่มีเส้นทางให้ก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลัง
ไม่มีทางไปถึงหรือไม่มีทางถอยห่าง แต่ในทางกลับกันที่อยู่ห่างออกไปก็จะอยู่ใกล้ในเวลาเดียวกันเช่นกัน..
แถมพวกเราน่ะยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘มารดา’ อยู่.. ใช่ ข้าจึงภาวนา.. ภาวนา.. แล้วก็ภาวนาให้พวกเราได้อยู่ใกล้กัน…
ข้าทำเช่นนั้นไปอย่างยาวนาน.. ไม่รู้สิมันอาจจะผ่านไปเป็นสิบหรือร้อยปีแล้วก็ได้ แต่นิยามของกาลเวลาไม่อาจใช้อธิบายในโลกแห่งนี้ได้
ทั้งข้าหรือเลทิเซียจึงรู้สึกเหมือนช้าหรือเร็วไม่เท่ากัน… แต่ถึงจะไม่รู้วันรู้เวลา หรือมีเวลาให้หลับ ให้ง่วง.. แต่ทว่า..
ความคิดของข้าก็ยังคงทำงาน.. แม้ทุกอณูทั่วร่างจะหยุด บาดแผลจะไม่ฟื้นฟู.. ร่างกายราวกับเวลาถูกหยุด
แต่ความคิดที่เหนื่อยล้าก็ยังคงอยู่.. ใช่ ข้าพยายาม.. พยายามที่จะดึงตัวเข้าใกล้เลทิเซีย.. มันนานมาก..
รู้สึกเหมือนกับอยากจะอาเจียนออกมาแต่ก็อาเจียนไม่ออก ความคิดรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าทั้งที่ไม่ควรแท้ๆ ..
“เลทิเซีย… ข้า…”
ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นอะไร.. สำหรับข้าตลอดชีวิตที่ผ่านมาข้านั้นแตกต่างจากคนอื่นอยู่เสมอ..
เป็นคนที่มีพรสวรรค์แตกต่างจากคนอื่น เป็นคนที่มีสถานะราวกับเทพเทวา.. ไม่ว่าผ่านไปไหนก็มีแต่คนรู้จัก
บ้างก็อิจฉา บ้างก็หวาดกลัว บ้างก็มองด้วยสายตากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ต่อให้ไม่บอกว่าเป็นใครทุกคนก็จะรู้..
ข้าพยายามจะทอดทิ้งสถานะและพรสวรรค์ของข้าอยู่เสมอ ไม่อยากจะตกเป็นเป้าของสายตาใคร ไม่อยากจะแข็งแกร่งมากกว่าใคร..
ข้ากลัวสายตาที่คนอื่นมองมาที่ข้าตลอด ทุกครั้งที่สายตานั้นมองมามันจะมากไปด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจจะระบุได้
ดังนั้นจึงหนีจากมันเข้าสู่สงครามและทำทุกอย่างเพื่อให้มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วมันก็มากไป.. มากจนเกินไป..
จนกลายเป็นคนน่ากลัว…ไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้.. พอถึงจุดนั้นข้าก็กลับกลายเป็นคนอารมณ์รุนแรงซะอย่างนั้น..
ทั้งๆ ที่ข้าเพียงแค่อยากจะให้ใครสักคนยอมรับข้า.. ใช่ จนกระทั่งได้เจอกับเจ้า.. เลทิเซียเจ้านั้นเหมือนกับข้าแต่ก็ไม่เหมือน..
เจ้ามีทั้งความสามารถ ทั้งพลัง เป็นเป้าสายตาของทุกคนแต่เจ้าก็ไม่เคยที่จะหยุดที่จะแข็งแกร่ง ไม่เคยยอมแพ้มีแต่จะไขว่คว้าหาความแข็งแกร่งที่มากยิ่งขึ้น
เรียนรู้มากยิ่งขึ้น.. และสายตาที่เจ้ามองมาที่ข้านั้นไม่มีทั้งความกลัว ไม่มีทั้งความอิจฉาริษยา..
สายตาที่เจ้ามองมานั้นมีแค่สายตาเดียว.. แม้ในตอนแรกข้าจะไม่รู้จักมันแต่มันก็คือสายตาที่รำคาญข้า..
ใช่ นี่เป็นสายตาของเธอเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้.. ข้าอยากจะเข้าใจเจ้าให้มากขึ้นอีกข้าถึงได้ตามติดเลทิเซียอยู่ตลอด..
จนนานวันข้าก็อยากจะเปลี่ยนมัน ข้าอยากจะเข้าใจและเปลี่ยนแปลง ดังนั้นข้าถึงพยายามจะกลายเป็นคนที่เธอมองไม่ใช่ในฐานะคนน่ารำคาญ
แต่เป็นเพื่อนที่เท่าเทียมโดยสิ้นเชิง.. ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ความพยายามที่จะเข้าใกล้นั้นก็กลายเป็นการดึงดันไปด้วย
แต่ในเมื่อทุกอย่างอำนวยมาทางนี้.. ความดึงดันของข้าถึงได้มากขึ้น..จนกลายเป็นการยอมแพ้ไม่ได้..
จนกระทั่งท้ายที่สุดเธอก็เปลี่ยนไป.. ใช่ สายตาที่เลทิเซียมองมาที่ข้าไม่ใช่รำคาญอีกต่อไป ไม่ใช่ทั้งความอิจฉาหรือเกลียดชัง..
แต่เป็นสายตาที่เหมือนกับเพื่อน..เหมือนคนสำคัญ.. ไม่เหมือนที่ท่านแม่มองมาเป็นสายตาที่ไม่เท่าเทียม
..แต่เป็นแบบแรกที่ข้าได้สัมผัส.. ใช่.. ตลอดห้าปีที่ผ่านมาข้าถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้น แม้ในตอนแรกข้าจะสับสน..
แต่พอผ่านไป.. ข้าก็รู้สึกแปลกประหลาด.. นับตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่พอข้านึกว่าสักวันจะต้องกลับไปโลกแห่งเทพข้าก็กลัว..
กลัวว่าจะไม่ได้เห็นสิ่งที่เจ้าเคยปฏิบัติกับข้า.. มอบสิ่งที่ธรรมดาให้ข้าไม่ใช่การรบราฆ่าฟัน ไม่ใช่การฝึกฝน.. แต่เป็นชีวิตธรรมดา
…แต่พอมาคิดว่าหากเจ้าจะหายไป.. ข้ากลับหวาดกลัวยิ่งกว่า.. เพราะงั้นเลทิเซีย.. ข้าจะเรียกเจ้า.. เรียกต่อไป
แสงสว่างของข้า..
………
[ซิลเวียเป็นคนที่ห่างไกลจากความ ธรรมดา มากที่สุดเพราะเธอนั้นสุดยอดกว่าใคร.. แต่ที่เลทิเซียทำไม่ใช่การมองเธอแบบนั้น แต่เป็นสายตาที่มองไม่ต่างจากคนอื่น.. และสิ่งที่เลทิเซียมอบให้ไม่ใช่พยายามคาดหวังให้เธอดีโดดเด่นกว่าใคร สิ่งที่เลทิเซียให้ทำคือช่วยทำนั่นทำนี่ซึ่งเป็นเรื่องที่ธรรมดาเขาทำกัน นั่นแหละคือต้นตอแห่งความรู้สึกยึดติดของซิลเวีย หรือพูดอีกอย่าง ยัยนี่เป็น M ชอบโดนมองแบบรำคาญนั่นเอง ผิด– แค่ก – ผู้เขียน]