การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 289
บทที่ 289 – เรื่องราวที่แท้จริง
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไป.. เร็วเกินกว่าที่ทั้งสามคนจะตอบสนองได้ทัน.. นี่แหละความแข็งแกร่งของสิ่งที่เรียกว่าเทพ..
หากไม่ถูกผนึกพลัง..
“นี่มัน..หมายความว่ายังไง?”
เลวี่ที่ตามเรื่องไม่ทันที่สุด ไม่รู้ว่าทำไมท่านยายถึงเห็นหน้าเลทิเซียแล้วโกรธขนาดนั้น ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านแม่ถึงได้ตัวสั่นขนาดนั้น
เธอหันไปหาลูเซียโน่.. ลูเซียโน่ก็ก้มลงมองเลทิเซียแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขากล่าวด้วยรอยยิ้มปลอบใจว่า
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถึงท่านยายพวกเจ้าจะน่ากลัว แต่เธอไม่ทำอะไรท่านแม่พวกเจ้าหรอก.. เพราะเธอน่ะรักแม่ของพวกเจ้าจะตาย..”
ใช่ เรื่องนี้ลูเซียโน่มั่นใจยิ่งกว่าอะไร ถึงเขาจะไม่เคยอยู่ในสายตาของท่านแม่.. แต่เขารู้ดีว่าเทพคนนั้นน่ะรักลูกตัวเองขนาดไหน
เพราะถึงจะไม่ได้พบกันบ่อยขนาดนั้น แต่ว่าก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอ ทุกครั้งที่เธอปรากฏตัวสิ่งแรกที่เธอถามหาจะเป็นเลเวีย
เรื่องนี้ลูเซียโน่รู้ดีว่าเป็นเพราะเธอรักและห่วงใยเลเวียมาก ดังนั้นเขาจึงนับถือนางมาก และก็รู้สึกกลัวนางมากในเวลาเดียวกัน
ดังนั้นเขาคิดว่าที่ถูกลากไปแบบนั้นคงถูกซักถามเรื่องต่างๆ นั่นแหละ.. เพราะหากเป็นเธอตอนปกติถ้าเห็นปีศาจคงลงมือฆ่าไปแล้ว
แต่พอเป็นเลทิเซียเธอยังไม่ได้ทำอะไรเลย เรื่องนี้ทำให้ลูเซียโน่โล่งอกอยู่มาก ที่เหลือก็แค่ให้เลเวียกล่อมมารดาตนเองเท่านั้นแหละ
ถึงเธอจะขี้วีน แต่ทุกครั้งเธอก็จะยอมอ่อนข้อให้กับเลเวียเสมอ หลักฐานคือการที่เขาได้เป็นสามีของเลเวียอยู่ในตอนนี้ไงล่ะ
ถึงเธอจะปฏิเสธลูเซียโน่และไม่เคยยอมรับเขา แต่เธอก็ยอมให้เลเวียอยู่เสมอ ดังนั้นคราวนี้ก็คงเหมือนกันนั่นแหละ
“เอาล่ะ พวกเจ้าเองก็ไปพักผ่อนได้แล้ว.. นี่ก็บ่ายโมงแล้ว”
พุดเสร็จลูเซียโน่ก็จากไป.. เขาไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้ เพราะเรื่องของครอบครัวคนที่นำคือเลเวียไม่ใช่เขา
เขาไม่อยากตัดสินใจโดยพลการ.. ยังไงซะเลวี่ก็เติบโตมาพร้อมกับเลทิเซียทั้งยังคิดว่าเลทิเซียเป็นพี่สาวแท้ๆ ตัวเอง
ซึ่งหากรู้ว่าเลทิเซียเป็นพี่ไม่แท้ ลูเซียโน่ไม่รู้ว่าเลวี่จะมีท่าทียังไง.. แน่นอนว่าเลวี่ก็ไม่ใช่เด็กขนาดที่จะตามเรื่องครอบครัวไม่ทัน
เธอหันไปหาเลทิเซียที่ขมวดคิ้ว..
“เธอรู้ว่าฉันเป็นปีศาจได้ไง..?”
เลทิเซียคิดว่าตัวเองปกปิดทุกอย่างเกี่ยวกับการเป็นปีศาจของตัวเองได้แล้วนะ.. แต่แน่นอนว่าโลกเทพกับโลกมนุษย์นั้นแตกต่างเกินไป
ไม่มีทางที่จะสามารถใช้ความรู้ในโลกนี้ไปอ้างอิงจากสวรรค์ได้ ที่จะบอกก็คืออาจจะเป็นไปได้ว่าเทพมีเนตรที่สามารถแยกเผ่าพันธ์ชาติกำเนิดได้
ก็นะ คงจะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ เทพเลยนะทำได้ไม่น่าแปลก เลทิเซียคิดว่าตัวเองประมาทเกินไปด้วยซ้ำ
ถ้าคิดให้มากกว่านี้เลเวียคงไม่ถูกตีแล้ว..
“ท่านพี่..”
เลวี่ที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็กำลังจะถาม แต่เลทิเซียพึ่งมานึกได้ว่านัดกับซิลเวียไว้จึงพูดด้วยความเร่งรีบ
“อ้ะ… ขอโทษนะเลวี่ พี่มีธุระหลังจากนี้น่ะ ไว้ค่อยคุยกันตอนเย็นนะ”
เลทิเซียพูดเสร็จก็หันหลังจากไปทันที ปล่อยให้เลวี่ยืนงงอยู่คนเดียว เธอเกาหัวเล็กน้อย..
พอมาคิดว่ามีตนคนเดียวที่เหมือนจะตามเรื่องไม่ทันเธอกระทืบเท้า
“ให้ตายสิ อธิบายข้าหน่อยก็ไม่ได้ เชอะ”
เธอกล่าวเสร็จก็กระทืบเท้าสองสามที ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นมาจ้องมอง..ดวงตาเธอเผยความเลื่อนลอยเล็กน้อย..
“ข้าเองก็คงต้องหาคำอธิบายว่ามันคืออะไรสินะ.. ผ่านมาแล้วสามปียังได้แค่หนึ่งในสามอยู่เลย..”
เธอปัดมือผ่านฝ่ามือตัวเองตราสัญลักษณ์แปลกๆ ก็หายไปพร้อมกับออกจากห้องรับแขกไป..
……..
ในที่แห่งไหนก็ไม่รู้.. แต่เป็นสถานที่ที่มืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่างจากด้านนอก มีเสียงหยดน้ำหยดจากหินย้อยจึงคาดเดาได้ว่านี่คือภายในถ้ำใต้ดิน
ในนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้..เบื้องหน้าเธอมีคนสี่คนนอนสลบไม่ได้สติอยู่ อันที่จริงร่างกายคนเหล่านั้นกำลังจางลงเรื่อยๆ .. เรื่อยๆ ..
หญิงสาวจ้องมองไปที่เบื้องหน้าตัวเอง..ข้าๆ คนทั้งสี่มีของบางอย่างวางอยู่ บ้างก็เป็นปากกา บ้างก็เป็นดินสอ
บ้างก็เป็นกระเป๋า บ้างก็เป็นหนังสือ.. และหนังสือเล่มนั้นที่วางอยู่มีชื่อชื่อหนึ่งเขียนอยู่บนนั้น.. เลทิเซีย
“ท่านแม่.. นี่จะทำได้จริงๆ เหรอ.. ไม่ใช่ว่าพวกเธอน่ะถูกนับว่าเป็น เรื่องราว ที่พังทลายไปแล้วไม่ใช่เหรอ..”
เด็กหญิงตัวเล้กๆ นั่งบนตักของหญิงสาวผมสีทองกล่าวถามขึ้นด้วยความสงสัย หญิงสาวผมสีทองกล่าวขึ้น
“ฉันกับเธอก็เป็นคนจากเรื่องราวที่พังทลายไม่ใช่หรือไง..”
“ก็ใช่ ตะ..แต่ว่าพวกเธอตายไปแล้วนี่น่า อีกอย่างท่านแม่เองก็เป็นผู้ส่งสาสนไปแล้วไม่ใช่เหรอ ยุ่งกับโลกนี้เกินไปท่านแม่มดจะโกรธเอานะ”
“เพราะงั้นฉันถึงยืมพลังของคนสร้างฉันไง”
“คนสร้างท่านแม่..? แม่มดไม่ใช่หรือไง?”
“ถ้าเธอจะบอกแบบนั้น ก็ทุกคนนั่นแหละถูกไหม?”
“แฮะๆ .. นั่นก็จริง เอ้ะ ว่าแต่ท่านแม่มีพ่อแม่ด้วยสินะ?”
“มีแค่แม่ต่างหาก”
“ท่านแม่ง่วงเหรอ ไปพักก่อนก็ได้นะ”
“เธอพูดเหมือนตัวเองมีพ่องั้นแหละ”
“แฮะๆ ”
เด็กผู้หญิงผมสีแดงหัวเราะ เหมือนพึ่งนึกได้ว่าตนเองก็ไม่มีพ่อ พอคิดได้แบบนั้นก็นิ่งเงียบไปก่อนที่จะชี้นิ้วข้างหน้า
“อ่า ท่านแม่ จะจบแล้วสินะ”
“อ่า.. ใกล้ถึงเวลาที่เราจะจากโลกนี้ไปแล้วล่ะ.. ห้าร้อยปีที่ผ่านมา”
ดวงตาสองสีของเด็กผู้หญิงผมสีทองเผยความเหนื่อยล้า ราวกับนึกย้อนไปในอดีต .. ไม่ใช่แค่ห้าร้อยปีแต่มันนานกว่านั้น.. นานกว่านั้น..อีก
แต่ในตอนนั้นเองหญิงสาวก็หันหน้าไปอีกทิศพร้อมกับกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ลึกลับ.. “อ่า.. เริ่มขึ้นแล้วสินะ… จุดจบของเรื่องราว..”
พอได้ยินแบบนั้นเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่บนตักก็กล่าวขึ้น
“ว่าแต่ท่านแม่จะไม่ไปลาไวท์หน่อยเหรอ?”
“เธอพึ่งบอกให้ฉันห้ามยุ่งมากไปไม่ใช่หรือไง”
“แต่ว่า ไวท์น่าสงสารออกนี่น่า”
“นั่นก็จริง.. เดี๋ยวค่อยไปลาก็ได้”
ขณะที่คุยๆ กันอยู่ จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังอย่างไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงราวกับทะลุกาลเวลามาอยู่ในที่แห่งนี้
“อ่าว นี่มันฆาตกรฆ่าเพื่อนไม่ใช่เหรอ”
คนที่พูดขึ้นคือเด็กผู้หญิงผมสีแดง แต่คำพูดนั้นไม่ได้ทำให้คนที่พึ่งปรากฏเปลี่ยนสีหน้า เธอเพียงกล่าวขึ้นสั้นๆ ..
“ตามสัญญาเธอต้องรีบไสหัวไปจากที่นี่ อย่ามาขัดขวางข้า”
“เธอคิดว่าฉันจะผิดสัญญาหรือไง?”
“ก็ไม่หรอก แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น พอเสร็จทุกอย่างฉันจะไปจากที่นี่”
“ก็ดี…”
หญิงสาวผมสีทองกล่าวตัดอย่างเรียบง่าย ร่างนั้นที่กำลังจะหายไปก็ถูกหญิงสาวผมสีทองกล่าวขึ้นว่า
“อ้อ ระวังเอลเน่ไว้หน่อยก็ดีนะ”
“ยัยนั่นในตอนนี้จะทำอะไรได้”
“ไม่ใช่เธอ..แต่เป็นแฟนของเธอต่างหาก เจ้านั่นคือคนที่หลุดพ้นจากการพังทลายของเรื่องราวได้เลยนะ”
“ไม่ต้องมาทำเป็นห่วง”
อีกฝ่ายสบถหันหลังให้ แต่เด็กผู้หญิงผมสีแดงที่นั่งอยู่บนตักของหญิงสาวผมสีทองก็กล่าวขึ้นด้วยความไร้เดียงสา
“เอ้ะ ท่านแม่ คนคนนี้อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกท่านแม่ทำไมถึงขี้เก๊กจัง”
“…”
หญิงสาวผมสีทองพูดอะไรไม่ออก ร่างนั้นก็แข็งกึกอยู่กับที่ก่อนี่จะเดินจากไป ความไร้เดียงสานี่มันน่ากลัวจริงๆ นะ
“เอาล่ะ.. ควรค่าแก่การเปิดม่านแล้วล่ะ.. เธอน่ะกำลังดูอยู่หรือเปล่า เรื่องราวที่แท้จริงหลังจากนี้กำลังจะเปิดม่านขึ้นแล้ว.. จับตาดูกันให้ดีล่ะ”