การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 266
บทที่ 266 – วิธีคืนชีพชาร์ล็อต
“แล้วสิ่งที่ข้าต้องทำคืออะไร”
อันน่ากล่าวถามฮิสครอมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากที่เธอตัดสินใจแล้วแน่นอนว่าไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนใจ
พอได้ยินคำถามของอันน่า ฮิสครอมก็ยิ้มตอบกลับอย่างสบายใจ
“ไม่ต้องทำอะไรเลย”
“ห๊า?”
คำตอบของฮิสครอมทำให้อันน่าสับสนจนเผลอร้องออกมาด้วยความงงงวย แน่นอนว่าฮิสครอมก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจ
เขาจึงอธิบายต่อโดยที่อันน่ายังไม่ได้ตั้งคำถาม เขายืนกอดอกพลางอธิบายถึงวิธีการที่เขาเตรียมมา
“แรกเริ่มเดิมทีแล้วพวกเจ้าก็เป็นคนคนเดียวกัน มีเพียงหนึ่งดวงวิญญาณที่ดำรงอยู่ในร่างกาย”
“ที่แตกต่างนั้นมีเพียงแค่ความทรงจำที่แยกกันอย่างน่าประหลาด อีกทั้งยังมีจิตสำนึก เจตจำนงเป็นของตัวเองชัดเจน”
“แต่โดยรวมแล้วพวกเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน”
พอเขาพูดแบบนี้เขาก็แอบหันหน้ามองอันน่า แต่อันน่าที่ได้ฟังก็ไม่ได้แสดงท่าทางที่เปลี่ยนไปอะไร
สำหรับเธอที่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองคือคนคนเดียวกับชาร์ล็อต ตนเองนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชาร์ล็อตมาตั้งแต่เกิด
เธอไม่มีทางไหวติงกับคำพูดของคนแปลกหน้าที่มาบอกว่าตัวเองคือคนคนเดียวกันกับชาร์ล็อต.. แน่นอนว่าที่ฮิสครอมแอบมองเพราะกลัวว่าอันน่าจะยอมรับแบบนั้นและไม่ยอมร่วมมือกับเขา
พอเห็นอีกฝ่ายไม่ได้สนใจเรื่องดังกล่าว เหตุผลที่เขาเลือกที่จะกล่าวออกไปตรงๆ ก็เพราะกลัวว่าเรื่องที่เล่าไปจะขัดแย้งกันจากคำโกหก
ยิ่งตัวของอันน่าเป็นด้านลบที่คิดลบมาก่อนเสมอละก็ เขายิ่งไม่กล้าให้เกิดข้อผิดพลาดเล็กน้อย สู้วัดใจบอกเรื่องจริงไปเลย
แล้วค่อยมาลุ้นเอาอีกทีว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจและยอมรับตัวเองกับชาร์ล็อตเพราะคำพูดสั้นๆ ของคนแปลกหน้าหรือเปล่า
พอเห็นท่าทางของอันน่าเขาถึงได้มั่นใจว่าตนเองชนะพนันครั้งนี้ เขาจึงกล่าวต่อด้วยเสียงพึงพอใจ
“ในศาสนาของพวกเรานั้น นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น พระเจ้านั้นไม่เหมือนกับเทพหรือเทพธิดา”
“พระเจ้าเปรียบดั่งสรรพสิ่ง และสรรพสิ่งเปรียบดั่งพระเจ้า ผืนดิน ท้องฟ้า อากาศ ดวงดาว ชีวิต วิญญาณหรือแม้แต่แนวความคิดหรือความเชื่อ ทุกอย่างล้วนกำเนิดขึ้นมาจากพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว”
“พระผู้เป็นเจ้านั้นมอบชีวิตให้แก่มนุษย์ ให้แกสิงสาราสัตว์ ให้แก่ปีศาจอสุรกาย ทุกๆ อย่างโดยไม่แบ่งแยก อย่างเป็นระเบียบและไร้ซึ่งความผิดแปลก”
พอเขากล่าวถึงพระผู้เป็นเจ้า ดวงตาก็เลื่อนลอยราวกับตนเองหลุดเข้าไปในดินแดนที่เหนือกว่าทุกอย่างบนโลก
ความเป็นนิรันดร์ที่สื่อถึงความไร้ที่สิ้นสุด ความเป็นอนันต์และสรรพสิ่งในเวลาเดียวกันนั้นคือตัวตนที่คนเหล่านี้.. คนในศาสนาโอโรโบรอสนับถือ
แต่ว่าอันน่ามองดูอีกฝ่ายอย่างเฉยชา หากพระเจ้ามีจริงเธอคงเป็นคนที่เกลียดพระเจ้าที่สุดคนหนึ่งเลย
“ไม่ต้องพูดมากไร้สาระ”
คำพูดเฉยชาของอันน่า ทำให้ฮิสครอมกลับมายังโลกปัจจุบัน พอเห็นว่ามีคนไม่หืออือกับพระผู้เป็นเจ้าเขาก็หงุดหงิดอย่างมาก แต่ก็สูดลมหายใจพลางพูด
“ที่ข้าจะบอกก็คือ.. ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเท่าเทียม ในร่างกายเจ้านั้นมีวิญญาณเพียงหนึ่งเดียว แต่มีความต้องการ มีความทรงจำ มีเจตจำนงที่แยกจากกันเฉยๆ”
“บนโลกใบนี้มีคนมากมายที่ลืมเรื่องสำคัญบางอย่าง ลืมเจตจำนงบางอย่าง ลืมความต้องการที่เคยมีไป”
พออันน่าฟังถึงจุดนี้เธอก็สามารถคิดตามได้.. มันคงเหมือนกับการที่ตอนสมัยเด็กๆ เราต้องการที่จะเป็นฮีโร่ผู้ผดุงความยุติธรรม
พอโตขึ้นมาเรากลับลืมความรู้สึกเหล่านั้นว่า ทำไมล่ะ.. ทำไมถึงอยากเป็นล่ะ.. แม้จะจำมันได้ จดจำถึงความรู้สึก.. ความต้องการ.. แต่กลับไร้เจตจำนงที่จะใฝ่หามัน
ในขณะเดียวกันในบางครั้งเราก็หลงลืมความต้องการบางอย่าง.. เราเคยอยากได้ของสิ่งนั้น.. อยากได้แทบใจจะขาดแต่เมื่อเวลาผ่านไป…
เราถึงได้มาตระหนักว่ามันสำคัญยังไง ไฉนเราถึงต้องการของสิ่งนั้น? และความทรงจำ.. คนทุกคนต้องมีช่วงเวลาที่ลืมเรื่องบางอย่างแน่อยู่แล้ว
พอคิดถึงจุดนี้ ฮิสครอมก็กล่าวต่อ
“แน่นอนว่าสิ่งที่เคยหลงลืมไป.. ในบางครั้งมันก็หวนคืนมาได้ในกรณีพิเศษต่างๆ เช่นกันตราบใดที่มีสิ่งกระตุ้นที่ใกล้เคียง”
“เช่น.. หากเราลืมความต้องการที่จะกินของหวาน.. พอเราได้ลองชิมหรือสัมผัสกับมันเราก็จะรู้สึกโหยหามันขึ้นมา.. หลงลืมเจตจำนงแต่พอได้สัมผัสกับนวนิยายที่เกี่ยวข้องกับเจตจำนงใฝ่หาที่เคยลืมไป เจตจำนงนั้นก็ฟื้นคืนมา”
“กล่าวอีกแบบคือ.. ทุกๆ คนล้วนมีช่วงเวลาแบบเจ้า.. มีเวลาที่ลืมความทรงจำบางอย่าง ลืมเจตจำนงบางอย่าง ลืมความต้องการบางอย่าง…”
“ลืมตัวตนอีกตัวของเจ้า”
“อย่างที่ข้าบอกไปว่าพระเจ้านั้นไม่สรรค์สร้างสรรพสิ่งเพื่อความเท่าเทียม.. ในเมื่อคนหลายคนสามารถเรียกคืนสิ่งที่เคยสูญเสียอย่างพวกความทรงจำหรือเจตจำนง.. นั่นก็หมายความว่าเจ้าเองก็เช่นกัน แม้ตัวตนของเจ้าจะแปลกประหลาดและไม่เคยพบมาก่อน.. แต่เจ้าเองก็เป็นส่วนหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า”
พอฟังมาถึงจุดนี้ ต่อให้เป็นอันน่าก็ยังเข้าใจได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่เธอต้องทำนั้นมีเพียงกระตุ้นให้ตัวตนอีกตัวหนึ่งตื่นขึ้นมา.. เพื่อจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้
จะบอกว่าฟื้นคืนชีพก็ไม่เชิงเพราะชาร์ล็อตไม่ได้หายไปไหน.. แค่อันน่าได้ลืมชาร์ล็อตเท่านั้นเอง
“ข้าต้องทำยังไง ถึงจะทำให้ชาร์ล็อตกลับคืนมาได้?”
“น่าๆ ใจเย็นๆ แล้วฟังข้าให้ดี ต่อจากนี้จะเป็นเรื่องที่เจ้าต้องทำ”
ฮิสครอมกล่าวแบบนั้น พลางหยิบการ์ดที่มีลักษณะคล้ายไพ่แผ่นหนึ่งขึ้นมา อันที่จริงมันคือไพ่นั่นแหละ
ภายในไพ่มีภาพบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายตัวตลก สวมหน้าการครึ่งยิ้มครึ่งร้องไห้เป็นขาวดำสลับกันอย่างน่าฉงน
“นี่คือไพ่ตัวตนของเจ้ามันมีหน้าที่ไว้เพื่อเวลานี้ มันจะทำให้ตัวตนอีกตัวหนึ่งของเธอฟื้นขึ้นมาได้ชั่วคราว”
พอพูดมาถึงจุดนี้ อันน่าขมวดคิ้ว.. มีไว้เพื่อแบบนี้.. หมายความว่าไง? ทุกอย่างถูกกำหนดให้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกเหรอ.. ถึงได้มีของแบบนั้น..
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พวกเธอมีสองคน.. หรืออะไรก็ตามแต่ที่ผ่านมา.. แน่นอนว่าถ้ามีคนมาบอกว่าตัวคุณเต้นอยู่บนฝ่ามือคนอื่นมาตั้งแต่เกิดเหมือนตุ๊กตาที่ถูกควบคุม
เป็นใครก็ต้องขมวดคิ้ว ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าไพ่นี้มีเพื่อสถานการณ์นี้ก็หมายความว่าทุกอย่างถูกกำหนดมาตั้งแต่แรก?
แต่ฮิสครอมรู้สิ่งที่อันน่าคิดทันที เขารีบพูดขึ้น
“ข้าบอกไปแล้วนี่ว่าพระผู้เป็นเจ้าสร้างพวกเราทุกคนอย่างประณีต เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าไพ่แบบนี้มันมีอยู่นับอนันต์.. ไพ่แต่ละใบจะเป็นตัวแทนตัวตนของแต่ละอย่าง ซึ่งเมื่อครั้งพระเจ้ารังสรรค์พวกเราขึ้นมาท่านได้สรรค์สร้างสิ่งนี้มาเพื่อระบุตัวตนของแต่ละคนนั่นเอง”
“ไพ่ใบนี้จะเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ปัจจุบันของตัวตนนั้นๆ แล้วก็ไม่ต้องห่วงไพ่ใบนี้ถึงแม้จะอยู่ในมือข้าคนที่ใช้งานมันได้มีเพียงพระผู้เป็นเจ้าและเจ้าของไพ่เท่านั้น”
พออันน่าได้ฟังเธอยังขมวดคิ้ว.. แต่ถ้าตามที่อีกฝ่ายพูดก็คือทุกคนมีไพ่เป็นของตัวเองหนึ่งใบ หากพระผู้เป็นเจ้าได้กลายเป็นสรรพสิ่งไปแล้ว
หมายความว่าคนที่ใช้งานไพ่ได้มีแค่ตัวเอง.. อันน่าเริ่มลังเล.. แต่เธอก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนักเธอจึงตัดสินใจจะดำเนินตามแผนต่อ
“แล้วไงต่อ?”
“สิ่งที่เจ้าต้องทำมีเพียงถือการ์ดใบนี้ไว้ คนที่จะวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าคือข้าเอง และหลังจากนั้น….”
ฮิสครอมหยุดพูดลงเล็กน้อย จนอันน่ายังแปลกใจในขณะที่เธอหันไปหาฮิสครอมเธอก็เห็นว่าอีกฝ่ายครุ่นคิดอยู่
“หลังจากนั้นอะไร?”
“ไพ่นี้จะปลุกตัวเจ้าอีกคนขึ้นมา.. แต่ข้าจะบอกไว้ก่อนว่านั่นมันแค่ชั่วคราวเพราะเจตจำนงของเจ้าได้ยึดเอาร่างกายไปแล้ว.. ความต้องการของเจ้ามันมากเกินไปจนไม่อาจจะคงเจตจำนงในอดีตได้นานมาก”