การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 253
บทที่ 253 – ปริศนาเต็มไปหมด
ฉันตามผู้ชายที่ชื่อฮิสครอมนั่นมาอย่างห่างๆ เพราะไม่รู้ขอบเขตว่าอีกฝ่ายว่าทำได้แค่ไหนจึงต้องรอบคอบไว้ก่อน
พวกเขาลัดเลาะไปทางซ้ายและขวาที อยู่นานสองนานจนหลุดพ้นจากสายตาของคนอื่น.. พอรู้สึกตัวอีกทีฉันที่ตามมาก็มองเห็นทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป
เมืองแถวนี้ไม่ได้มีผู้คนพลุกพล่านอีกต่อไป แต่เป็นเมืองที่ไร้ซึ่งผู้คน บ้านเมืองตึกแต่ละหลังดูแปลกตาออกไป ไม่สิ.. มันเป็นโบราณสถานเลยมากกว่า
ฉันกวาดสายตาไปรอบด้านทุกอย่างเสมือนกับพบภัยพิบัติครั้งใหญ่มาก ตึกราวบ้านช่องกลายเป้นวากปรักหักพัง
โบสถ์ที่เคยสวยสดงดงามบัดนี้กลายเป็นโบสถ์ร้างที่พังถล่มไปเกินครึ่ง ทุกอย่างรอบตัวปกคลุมไปด้วยม่านหมอกสีเทา
“เขตแดนเหรอ..”
ฉันครุ่นคิด ในความรู้ที่ฉันได้รับมา.. มันมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่ทั้งผู้ใช้เวทหรือผู้ใช้ศาสตรา.. พวกเขาคือผู้ใช้เขตแดน
พลังแห่งเขตแดนเป็นอะไรที่ลึกลับเหนือสิ่งอื่นใด ไม่ใช่ว่าไม่มีบนโลกนี้ แต่ก็หายากยิ่งและไม่เผยแพร่ในการเรียนการสอนทั่วไป
ผู้ใช้เตแดนว่ากันว่าสามารถสร้างมิติซ้อนทับหรือสร้างเขตแดนปิดกั้นการมองเห็นหรืออะไรแบบนั้นได้เลย
“บางที ที่พวกเขาเดินตามตรอกซอยไปมา.. เป็นเพราะนั่นคือวิธีเข้ามาในเขตแดนนี้สินะ”
ฉันคิดแบบนั้น.. ดูเหมือนว่าเขตแดนนี้จะเป็นเขตแดนที่สร้างมิติซ้อนทับขึ้นมากับเมืองด้านนอก
ทำให้เป็นเหมือนมีสองพื้นที่ในที่ที่เดียวกัน ถือว่าเป็นเขตแดนที่ทรงพลังมาก และคนที่สามารถสร้างเขตแดนระดับนี้ได้
แล้วก็สร้างเมืองข้างนอกมาเป็นฉากบังหน้า.. บางทีนี่คงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วล่ะสิ.. บางทีซากปรักหักพังนี้คงมีความสำคัญอะไรบางอย่าง..
แต่ทำไมต้องทำแบบนั้นล่ะ..? ฉันไม่สามารถหาคำตอบได้เลยว่าทำไมต้องทำเรื่องยุ่งยากแบบนั้นเพื่อสร้างศาสนจักรขึ้นมา
แต่ฉันมั่นใจว่าต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรแน่.. แต่ว่ามันไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันมาเพื่อพาชาร์ล็อตกลับออกไปเท่านั้น..
ในขณะที่คิดแบบนั้นฉันก็กำลังจะตามคนพวกนั้นไปก็หยุดชะงัก..
“หายไปแล้ว..”
ดุเหมือนว่าพวกเขาจะหลุดจากสายตาฉันไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้.. เป็นเพราะหมอกเหล่านี้แน่ๆ
หมอกที่หนาทึบเหล่านี้ไม่ใช่หมอกธรรมดา แต่เหมือนจะเป็นหมอกที่เกิดจากเขตแดนมิติซ้อนทับ..?
ซึ่งดูเหมือนว่าหมอกนี้ถ้าไม่มีของนำทางจะมีการปิดกั้นการรับรู้ทุกอย่างสินะ บางทีคงเป็นระบบป้องกันตัวของเขตแดนหากมีคนเผอิญหลุดเข้ามาได้ละมั้งนะ
หลังจากคิดอยู่สักพัก.. ฉันก็ยกมือขึ้นมา.. ลูกบาศก์สีดำปรากฏขึ้นในชั่วพริบตาที่ลูกบาศก์นี้ปรากฏขึ้นทุกอย่างในระยะสายตาก็ถูกขับไล่ออกไปจนหมด
พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือระบบป้องกันตัวของเขตแดนเลิกใช้งานทันที..
อันที่จริงฉันคิดวิธีออกอยู่สองวิธี วิธีแรกก็คือการแทรกแซงเขตแดนด้วยพลังเวทปีศาจ.. หากพูดตามความจริงแล้วมันคงทำได้ง่ายมากๆ
เพราะพลังเวทปีศาจมันมีเยอะเกินบรรทัดฐานไปแล้วนี่นะ หากเป็นพลังเวทมนุษย์ธรรมดาโดยใช้เวทแทรกแซงก็คงทำไม่ได้เพราะพลังไม่พอนั่นแหละ
แต่หากทำแบบนั้นละก็อีกฝ่ายก็จะรู้ว่า ฉันบุกเข้ามาน่ะสิ ขืนเป็นแบบนั้นการพาชาร์ล็อตกลับออกมาคงยุ่งยากขึ้นอีก
ฉันเลยใช้อีกวิธี ซึ่งวิธีที่ว่าก็คือใช้เจ้าลูกบาศก์นี่..
ถึงจะไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดเหมือนรอบก่อนตอนที่สู้กับกองทัพก็เถอะนะ ถามว่าทำไมฉันถึงใช้เจ้านี่น่ะเหรอ..
ก็ไม่รู้เหมือนกัน.. เพราะสัญชาตญาณมันบอกละมั้ง.. ไม่รู้สิ ฉันแค่รู้สึกว่าเจ้าของสิ่งนี้มันสามารถทำได้ทุกอย่างตราบใดที่ฉันนิยามมันได้
มันให้อารมณ์แบบนั้นแหละ แต่ไม่คิดว่าจะได้ผลดีขนาดนี้.. ว่ากันตามตรงของสิ่งนี้ฉันก็ไม่ค่อยจะเข้าใจมันนักหรอก
ช่างเรื่องนั้นไปก่อน เพราะผู้ชายที่ชื่อฮิสครอมไม่ได้อยู่แถวนี้แล้วฉันเลยรีบตามหา.. ในตอนนั้นฉันก็มองเห็นคนที่สวมชุดเหมือนกับฮิสครอมกระจายอยู่ในจุดต่างๆ
ฉันพยายามหลบหลีกหรือซ่อนตัว.. ในขณะที่ตามหาฮิสครอม..
“นี่พวกเจ้าได้ยินไหมว่า ฮิสครอมหมอนั่นได้สาวกเพิ่มขึ้นมาเยอะเลยล่ะ ได้ยินว่ามีเด็กจากดรงเรียนเวทมนตร์ด้วยนะ”
ฉันหยุดชะงักเพราะคำพูดนั้นทันที ห่างไกลออกไปไม่มากมีคาร์ดินัลหนึ่งกำลังคุยกับเพื่อนอีกคนในซากปรักหักพัง
พวกเขานั่งบนเบาะรองนั่งประหลาดที่เหมือนจะติดอยู่กับพื้น ไม่สิ.. ถ้าจะให้พูดมันคล้ายเบาะที่งอกออกมาจากพื้น..
“นี่มัน…”
ฉันมองไปที่เบาะ.. ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่คนบนโลกใบนี้แต่แรก แต่ฉันก็เติบโตมาเหมือนคนบนโลกนี้ปกติ.. ดังนั้นฉันที่มอองไปที่เบาะก็รับรู้ได้ทันทีว่านั่น.. มันมีพลังเวทมหาศาลไหลขึ้นมาจากพื้นไปรวมที่เบาะรองนั่งแหละไหลเข้าสู่ร่างของคาร์ดินัลคนนั้น
พลังเวทที่ว่ามันไม่ใช่เวทดิน น้ำ ลม ไฟแต่อย่างใด แต่คือพลังงานที่ไร้รูปลักษณ์ที่ไม่อาจจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า..
และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่พลังเวทจากธรรมชาติ.. แต่เป็นพลังเวทแปลกๆ ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน..?
“อ้อ ข้าเห็นแล้วล่ะ เด็กคนนั้นรู้สึกว่าจะไม่ใช่มนุษย์ด้วยล่ะ เป็นอสูรน่ะ.. รู้สึกว่าจะชื่อ ชาร์ล็อต”
ชายอีกคนพูดขึ้นทำให้ฉันเบิกตากว้างทันที.. ชาร์ล็อตกลายเป็นสาวกงั้นเหรอ..
“ไม่ใช่ว่าคำอวยพรของพระผู้เป็นเจ้าใช้กับพวกนอกรีตนั่นไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่.. แต่ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะ…”
ฉันไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไป ฉันพุ่งตรงเข้าไปหาสองคนนั้นด้วยความไวสูง ยิ่งปล่อยไว้ยิ่งมีโอกาสที่ชาร์ล็อตจะโดนล้างสมองอย่างแท้จริง
ฉันต้องรีบหาเธอให้เจอ.. ทว่าทันทีที่ฉันจะโจมตีพวกเขาก็มีคนคุ้มกันตอบสนองการเคลื่อนไหวขอองฉันทันที
เพราะฉันไม่ได้คิดจะปิดบังอีกต่อไปดังนั้นพวกเขาจึงโผล่มาอยู่ตรงหน้าฉันเหมือนกับภูตผีเงาพราย
แต่ฉันกำหมัดลง.. ลูกบาศก์ที่อยู่ในมือถูกกำไว้ในกำปั้นและต่อยออกไป.. “เปรี้ยง” ร่างกายของคนที่ยืนขวางหน้าแตกกระจายเป็นเศษเหมือนกับกระจก
“อะไรนะ?”
ทั้งสองคนที่นั่งอู่ก็ตกใจลุกขึ้น แต่ฉันเร็วกว่า อาจจะเป็นเพราะพวกนี้ตั้งตัวไม่ทันด้วยดังนั้นฝ่าคนที่นั่งอยู่ซ้ายมือก็ถูกฝ่ามือฉันคว้าใส่คอ
ก่อนที่จะมีพลังเวทไหลเข้าไปในร่างของเขา ฉันใช้เวทมนตร์แทรกแซง แทรกแซงเข้าไปในหัวของเขาเพื่ออ่านความทรงจำ
แต่ก็เหมือนจะไม่สำเร็จ หัวเขาระเบิดออกเลือดกระจุยกระจาย .. ฉันก้มมองมือตัวเอง..
“ฉันฆ่าคนอีกแล้วสินะ..”
ฉันพึมพำเบาๆ ..
“ด.. เด็กเหรอ ..?”
ชายอีกคนเหมือนจะตกใจ แต่เขาตอบสนองด้วยความเร็วสูง สมกับเป็นผู้ศรัทธาในศาสนาระดับสูงเพราะแม้จะตกใจ
ปากเขาก็เริ่มร่ายคาถา จนทำให้พื้นเกิดเป็นความว่างเปล่าวสีดำมืด พยายามจะกลืนกินฉันลงไป.
แต่ในมือฉันก็ปรากฏขึ้นปักลงพื้นพลังงานสีดำที่มากมายยิ่งกว่ากลืนกินเขตแดนสีดำไปอย่างง่ายดาย
เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้ว่า.. ดาบจูชินเล่มนี้เพียงแค่พลังแห่งความมืดมันก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าเขตแดนแห่งความมืดของคาร์ดินัลซะอีก
มือฉันคว้าจับไปที่คอของเขา บีบแน่นจนเขาสำลัก..
“เอาล่ะ ฉันมีคำถาม”
ในตอนที่ฉันพูดแบบนั้นออกไป แต่ในตอนนั้นเองคาร์ดินัลที่อยู่ด้านหลังที่หัวพึ่งระเบิดไปก็ลุกขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับโจมตีใส่หลังฉัน
แต่ทว่าทันทีพลังสีดำโจมตีถูกฉันกลับกลายเป็นว่าร่างกายเขาแหลกสลายไปเองเสียอย่างนั้น ฉันขมวดคิ้วแต่ก็เข้าใจในเวลาต่อมา
“พลังของอามาเระสินะ”
“เอาล่ะ.. กลับมาที่นาย ฉันมีคำถามที่อยากจะถามนายอยู่”
ฉันพูดแบบนั้น.. แต่ชายคนนั้นเหมือนจะไม่สนใจคำพูดของฉัน เขาอ้าปากพร้อมกับกำลังจะกัดปากลง แต่ฉันเอามืออีกข้างล้วงเข้าไปในปากเข้า
“ฆ่าตัวตายเหรอ?”
ดูเหมือนว่าในปากจะมีเม็ดยาอยู่ บางทีนี่คงเป็นมาตราการป้องกันของพวกคนเหล่านี้.. ก็เอาเถอะดูสมกับเป็นลัทธิคลั่งขึ้นมาแล้วล่ะ