การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 251
บทที่ 251 – เวทมนตร์ควบคุมจิตใจที่แท้จริง
ฉันที่ได้แต่นั่งเงียบๆ ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมานั้นเอง ประตูห้องก็ถูกเคาะพร้อมกับเสียงของลาน่า
“องค์หญิงได้เวลาแล้วค่ะ”
“อืม”
ฉันตอบออกไปเงียบๆ ก่อนจะหันไปหาอามาเระแล้วก็ถามเบาๆ
“แล้วเธอจะเอายังไง.. ฉันก็ไม่ว่าหรอกนะถ้าเธอจะมาอยู่กับฉันเพราะยังไงซะฉันก็ได้ผลประโยชน์จากเธอด้วยเหมือนกัน”
“แค่นั้นข้าก็ขอบคุณมากแล้วล่ะ.. แล้วก็ที่ท่านจอมมารอยู่คือที่ที่ข้าอยู่”
เธอพูดพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ฉันรู้สึกตะหงิดกับคำเรียกของเธอมาก แถมถ้าโดนเรียกแบบนี้ใส่กลางโรงเรียนมีหวังเป็นเรื่องแน่ๆ
ไม่สิ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนอื่นมองเห็นเธอหรือเปล่า.. แต่ไม่ว่าจะยังไงมีคนมาเรียกท่านจอมมาอะไรแบบนี้มันรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี
“ฉันว่าเธอเลิกเรียกว่าจอมมารได้แล้วล่ะ เรียกเลทิเซียก็พอแล้ว”
“เอ๋.. ก็ได้ค่ะ”
เธอตอบกลับอย่างไม่ขัดแย้งอะไร ฉันเลยถามออกไปอีกรอบ
“แล้วนอกจากฉันมีคนมองเห็นเธอหรือเปล่า เห็นว่าเธอเป็นภูตนี่น่า”
“อืมม ก็จริงอยู่ที่ภูตจะสามารถปรากฏตัวได้เพียงต่อหน้าผู้ที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ข้าในตอนนี้ได้ทำพันธสัญญากับท่านไปแล้วน่ะสิคงไม่ต่างอะไรจากพันธสัญญาโซลมากเท่าไหร่หรอก หมายความว่าพวกเขาสามารถเห็นข้าได้หากปรารถนา”
เธอคิดแล้วก็ตอบฉันไปด้วย แต่เดี๋ยวนะ ทำพันธสัญญา? ทำไปตอนไหนล่ะเนี่ย ก่อนหน้าฉันก็มีแต่ตามหาเธอไม่ใช่เหรอ
ด้วยความสงสัยฉันที่กำลังจะถามออกไปเธอก็ตอบก่อน
“พันธสัญญาโซลเกิดขึ้นได้จากการยอมรับโซลของตนเอง.. แต่เพราะวิญญาณโซลทั่วไปไม่มีจิตสำนึกเลยต้องผ่านพิธีกรรมบางอย่าง แต่เพราะข้ามีจิตสำนึกข้ายอมรับท่านมาตั้งแต่แรกแล้ว พอท่านยอมรับในตัวข้าโดยไม่กีดกั้น พวกเราก็ทำสัญญากันแล้วล่ะ”
งั้นสินะ.. ง่ายแบบนั้นเชียว หลังจากคิดอยู่สักพักฉันก็พยักหน้า.. ก่อนจะหันไปพูดกับอามาเระ
“งั้นก็แล้วแต่เธอแล้วกัน ถือว่าเธอเป็นวิญญาณโซลของฉันทางโรงเรียนก็คงไม่มีปัญหาอะไร แถมถ้าบอกว่าเธอเป็นประเภทลึกลับก็คงมีคนเชื่อกัน”
“ขอบคุณ…”
“ขอบคุณอะไร…”
“ถึงท่านจอมมา- เลทิเซียจะไม่ได้พูดก็เถอะ แต่ท่านกลัวข้าจะเหงาล่ะสิถ้าบอกให้ข้าไม่แสดงตัวให้คนอื่นเห็น”
“คิดแบบนั้นเหรอ?”
เธอพูดด้วยรอยยิ้ม ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพียงตอบกลับไปแบบสั้นๆ ก่อนที่จะเดินออกไปหาลาน่า
พอลาน่าเห็นอามาเระเธอก้แสดงสีหน้าสงสัยออกมา
“นี่คือ..?”
“เธอชื่ออามาเระ เป้นวิญญาณโซลของฉันเอง”
ฉันตอบออกไปโดยไม่อธิบายอะไรมาก เพราะฉันเร่งให้เธอพาเดินทางไปทางศาสนจักรโดยเร็วที่สุด
พวกเราสามนในตอนแรกเดินทางไปยังอาณาจักรเวทมนตร์มิราลิสผ่านเกทเสียก่อน เพราะเหมือนลาน่าจะมีเส้นสายพอสมควร
ก็นะเป็นถึงมือขวาของจอมมารแถมยังเป็นหน่วยข่าวกรองอันดับหนึ่งในอาณาจักรจอมมาร
พอเดินทางไปถึงอาณาจักรเวทมนตร์มิราลิส พวกเราก็ใช้เกทที่เชื่อมต่อไปยังศาสนจักรโดยตรง
ศาสนจักรไม่ใช่ประเทศหรืออาณาจักร.. แต่เป็นเพียงเขตแคว้นเล็กๆ ไม่กี่ร้อยกิโลเมตรเท่านั้น..
แต่พอพวกเรามาถึงสิ่งแรกที่ฉันมองเห็นคือโบสถ์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร แต่เห็นได้ชักว่าเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองแห่งนี้
เมืองแห่งนี้ประมาณสามในสิบส่วนเต็มไปด้วยบุคคลที่สวมชุดเหมือนๆ กันหมด นั่นคือชุดทางศาสนา
แม้จะมีคนนอกผ่านเข้ามามากมาย แต่ว่าแต่ละคนล้วนมีชุดมากมายที่แตกต่างเพราะเป็นนักเดินทางจากคนละสถานที่
ดังนั้นกลุ่มคนที่สวมชุดเหมือนๆ กันหมดแม้จะมีเพียงสามในสิบแต่ก็ชัดเจนเป็นพิเศษ ชุดคลุมสีดำที่ด้านหลังจะมีสัญลักษณ์งูที่ม้วนตัวงับหางตนเองนั้น..
บุคคลที่นับถือศาสนาโอโรโบรอส.. เอาเข้าจริงๆ .. นี่มันแทบจะเป็นลัทธิคลั่งศาสนาแทนแล้วละมั้งแบบนี้
“ไปหาชาร์ล็อตกันเถอะ เธออยู่ไหน?”
“เรื่องนั้นข้าเองก็ยังไม่ทราบเพราะคนที่ข้าส่งเข้ามาสืบในนี้ล้วนถูกกำจัดไปจนหมด.. เพราะงั้นพวกเรา”
เธอจับแขนฉันกับอามาเระเดินไปมุมหนึ่งของซอกตึกแล้วก็จับผ้าคลุมที่เหมือนกับคนศาสนาโอโรโบรอสมาให้
“พวกเราต้องสืบหากันเอาเองค่ะ”
“แล้วจะไม่เสียเวลาเหรอ?”
คนที่ถามไม่ใช่ฉันแต่เป็นอามาเระ แต่ก็เป็นคำถามที่ตรงประเด็นมากที่สุด ลาน่าเองก็คิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตอบ
“นั่นอาจจะไม่จริง.. ถ้าเราสวมชุดนี้เข้าไปในสถานที่ที่เรียกว่าที่ชำระบาป”
“มันคืออะไร?”
ฉันถาม
“มันคือสถานที่ที่ผู้คนนับถือศาสนาโอโรโบรอสจะไปเพื่อให้ได้รับมอบหมายภารกิจว่ากันว่าเป็นภารกิจจากท่านสันตะปาปาโดยตรง แล้ว.. ภายในที่แห่งนั้นคำพูดคำกล่าวทุกอย่างจะถูกป่าวออกมาโดยไม่ปกปิดเสมือนเป็นสถานที่สารภาพบาปที่ไร้ซึ่งการโกหก”
“ฟังดูบ้าบอคอแตกกันจัง แบบนั้นก็โดนล้วงข้อมูลง่ายๆ สิ”
อามาเระพูดแบบเหมือนมองดูคนบ้า มันก็อาจจะจริง แต่ในมุมมองของด้านศาสนาคงจะเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์อะไรแบบนั้นนั่นแหละ
ลาน่าเองก็ส่ายหน้าตอบ..
“ไม่มีทางที่คนธรรมดาที่ขาดความศรัทธาจะเข้าไปได้..”
“เอ้ ทำไมล่ะ?”
“ข้าเองก็ไม่มั่นใจ.. แต่จากที่ฟังมาทุกคนที่พยายามสืบหาเรื่องนี้ล้วนถูกกำจัดไปจนหมดไม่พอ.. พอเข้าไปสืบเองพอกลับออกมาจะกลายเป็นผู้ศรัทธาไป..”
เธอพูดอย่างเคร่งเครียด
“และ.. ในนั้นเขาคนนี้น่าจะบอกกล่าวทุกอย่างเรื่องที่ว่าเป็นสายลับจนหมด.. และหลังจากนั้นทุกคนที่เป็นสายลับก็ถูกฆ่าทิ้งจนไม่อาจหาข้อมูลเบื้องลึกได้”
“เธอหมายความว่า… พวกสายของเธอถูกฆ่าหมดเพราะเหตุผลแบบนี้สินะ”
“ใช่แล้วค่ะ องค์หญิง”
แบบนั้นเองสินะ.. สิ่งแรกที่ฉันนึกขึ้นมาได้คือเวทมนตร์ควบคุมจิตใจ..ของแบบนั้นจากที่ฉันรู้จากลาน่ามันคือเวทมนตร์ต้องห้ามที่บิดเบือนจิตใจของผู้อื่น
เป็นสิ่งนอกรีตอย่างแท้จริง.. แม้เวทมนตร์เหล่านั้นหากถูกใช้ออกโดยคนที่อ่อนแอมันจะทำอะไรใครไม่ได้ แต่หากเป็นจอมมารหรือเทพละก็..
บางทีสามารถควบคุมจิตใจผู้คนได้.. แต่ภายใต้สนธิสัญญาในอดีตเวทมนตร์ควบคุมจิตใจถูกลบหายไปจากโลกแล้ว..
ที่เห็นบงการจิตใจอาจจะไม่ใช่เวทมนตร์ควบคุมจิตแต่อาจจะเป็นอย่างอื่นที่ใช้ในรูปแบบคลล้ายคลึงกับการควบคุมจิตใจแทน
อย่างผู้ชายจากต่างโรงเรียนที่อาจารย์เวโรเน่เคยบอก ตามที่ฉันถามลาน่ารู้สึกว่านั่นจะเป็นการควบคุมอารมณ์อารมณ์จะนำพาไปสู่การควบคุมจิต วิธีการก็คือประมาณใช้คำพูดชักจูงเอา
ส่วนการควบคุมจิตใจที่แท้จริงนั้นมันลึกลับและหากเริ่มขึ้นจะไม่มีใครทราบถึงเลยด้วยซ้ำ และเพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างที่ว่ามาอาจารย์เวโรเน่เลยอธิบายเป็นเวทมนตร์ควบคุมจิตใจละมั้ง
เพราะกฎเกณฑ์แห่งเวทมนตร์ควบคุมจิตใจได้ถูกลบออกไปแล้วแล้วเวทมนตร์.. แล้วไอ้นี่มันคืออะไรกันล่ะ..
“อ้ะ.. จะว่าไป..”
ฉันหยิบจี้สีแดงออกมามอง.. แร่สีแดงตรงกลางจี้นี้มันเหมือนมีพลังควบคุมจิตใจอยู่เสี้ยวหนึ่งด้วย.. หรือว่าของแบบนั้นจะเหลืออยู่บนโลกจริงๆ?
เอาเถอะถึงจะบอกว่าเป็นพลังควบคุมจิตใจ.. แต่มันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว รู้สึกว่าจะเป็นแร่ที่เกี่ยวข้องกับจิตใจละมั้งนะ..
“แล้วพวกเราจะไม่เป็นอะไรเหรอ? ถ้าหากนั่นเป็นเวทมนตร์ควบคุมจิตใจจริงๆ?”
เหมือนลาน่าจะเดาได้เหมือนฉัน ฉันเลยพูดออกไปแบบนั้น ลาน่าเองก็ส่ายหน้า
“ผ้าคลุมนี้ถูกท่านจอมมารเอลร่าลงเวทมนตร์ป้องกันไว้แล้วล่ะ.. ถ้าไม่มีพลังที่เหนือกว่าท่านจอมมารโดยสิ้นเชิงก็ไม่มีใครทำอะไรจิตใจพวกเราได้”
“งั้นสินะ..”
ฉันพยักหน้าสวมชุดคลุม..
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไปกันเถอะ”