การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 250
บทที่ 250 – เลทิเซียกับความรัก
“ชื่อของข้าคืออามอร์ล อื้ม.. แต่เรียกข้าว่าอามาเระก็ได้นะ ท่านจอมมารของข้า”
หลังจากที่เธอกอดฉันอย่างแนบแน่นเสร็จก็ผละตัวออกมาพร้อมกับพูดแนะนำตัว พอเธอผละตัวออกไปจากฉัน
ฉันถึงสังเกตเห็นรูปร่างของเธอชัดเจนมากยิ่งขึ้น เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่อายุไม่เกินยี่สิบปี มีผมสีม่วงตาสีเหลืองทอง
แม้จะมีรูปร่างที่งดงามจนยากจะหันสายตาหนีเลยล่ะ แม้จะเป็นความธรรมดาแต่กลับไม่ธรรมดาตามที่เห็น
วิธีเรียกแบบนี้…
“อ้ะ จำได้แล้ว เธอคือคนเมื่อตอนนั้น”
ใช่ คนที่เรียกฉันว่าจอมมารนั้นมีไม่กี่คน และคนที่เรียกฉันด้วยน้ำเสียงแบบนี้มีแค่คนเดียว..
ตั้งแต่ที่ฉันลืมตาดูโลกใบนี้.. ฉันมักจะได้ยินเสียงลึกลับมาจากไหนไม่รู้ว่า ท่านจอมมาร.. ช่วยด้วย อะไรแบบนั้น
แม้จะมีคำถามมากมายว่าทำไมถึงเรียกว่าฉันเป็นจอมมารก็เถอะ.. แต่ฉันในตอนนี้ก็รู้แล้วเหมือนว่าฉันไม่ได้เป็นแค่ลูกจอมมาร
แต่เป็นถึงจอมมารคนที่สิบสาม.. แต่คำถามคือเสียงนั้นเป็นใครมาจากไหนถึงรู้เรื่องนั้นที่ว่าฉันเป็นจอมมาร..
เพราะเหตุการณ์มันเกิดก่อนที่ฉันจะรู้ว่าตัวเองเป็นจอมมารซะอีก
ฉันสาบานได้ว่าไม่เคยพบเธอมาก่อนอย่างงแน่นอน.. หรือว่าจะเป็นคนรู้จักของพวกลาน่าหรือแม่ที่เป็นจอมมารของฉัน?
นั่นคือสิ่งที่ฉันคาดเดาไว้ในตอนแรก แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น…
เพราะว่าเธอคนนี้ตอนที่ฉันตาย.. เธอเป็นคนที่เข้าไปโผล่ในความโลกหลังความตาย.. ใช่ เธอเป็นร่างแสงที่มองไม่เห็นหน้านั่น
ถึงจะไม่เห็นหน้าในครั้งที่พบกันก่อนหน้า.. แต่จากท่าทางและน้ำเสียงฉันมั่นใจประมาณเก้าในสิบส่วนเลย
พอฉันพูดแบบเหมือนจำเธอได้ออกไป เจ้าตัวก็เหมือนจะน้ำตาเล็ด
“อุหวาาาา ท่านจอมมารจำข้าได้ด้วยล่ะ”
เธอพูดด้วยความดีใจจนน้ำตาเล็ด ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเลยล่ะ แต่มันก็เช้าแล้วฉันไม่มีเวลาว่างมาคุยกับเธอ
เพราะฉันต้องรีบไปหาชาร์ล็อตก่อนที่เธอจะมีอันตรายเพราะพวกศาสนจักรมันไว้ใจไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงถามออกไป
“แล้วสรุปเธอเป็นใคร ทำไมเธอถึงสามารถสื่อสารกับฉันได้.. เธอเป็นพันธสัญญาโซลของฉันเหรอ? แล้วทำไมวิญญาณโซลถึงไม่ออกมาในรูปแบบของวัตถุหรือสิ่งที่ไร้รูปลักษณ์ แต่เธอไม่ว่าจะยังไงฉันก็เห็นเป็นผู้หญิงธรรมดา.. อีกอย่างในตอนนั้นคนที่ช่วยฉันออกมาจากโลกแห่งความตายคือเธอสินะ เธอตามเข้าไปในโลกที่ไม่กฎเกณฑ์ของพันธสัญญาโซลได้ยังไง”
ฉันยิงคำถามทุกอย่างที่คาใจออกไปตรงๆ เพราะสิ่งมีชีวิตตรงหน้าไม่มีอะไรที่สามารถทำความเข้าใจได้เลยสักอย่าง
เพราะจากที่ฉันรู้มาวิญญาณโซลมาในแบบรูปธรรมและนามธรรมก็จริง แต่ว่าในรูปธรรมนั้นล้วนเป็นสิ่งของวัตถุนี่มาเป็นตัวเป็นตนจะไม่ให้ฉันงงได้ยังไง
อีกอย่างหากตามที่ฉันเข้าใจคือโลกชิ้นส่วนเวหาเป็นโลกที่ต่างจากโลกนี้ หากให้เปรียบเทียบอาจจะคล้ายกับโลกเดิมฉันที่ไม่มีเวทมนตร์ แต่โลกนี้มีเวทมนตร์นั่นแหละ
ดังนั้นโลกนี้ที่มีพันธสัญญาโซลซึ่งเกิดจากพาลาดินทั้งห้า.. แล้วในต่างโลกตอนนั้นเธอไปโผล่ได้ไง
แถมยัง.. เหมือนต่อสู้กับอะไรบางอย่างอยู่ด้วย.. แต่ดูเหมือนว่าผู้หญิงที่ชื่ออามาเระจะนวดขมับตัวเองแล้วก็พูด
“เดี๋ยวก่อนนะ ท่านจอมมาร ทีละคำถามจะได้ไหม ข้าพึ่งตื่นมาหลังจากหลับไปเป็นหมื่นๆ ปีเลยนะ”
“หมื่นปีเหรอ นี่เธอมีชีวิตมาตั้งแต่หมื่นปีงั้นเหรอ”
“อ่า ท่านจอมมารนี่ก็ถามคำถามใหม่อีกแล้ว คอยก่อนสิ รอข้าคิดก่อนนะ”
“…..”
ยิ่งฉันพูดกับเธอคนนี้ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนพูดกับตอ เพราะเหมือนอีกฝ่ายจะคิดตามไม่ทัน แต่อีกฝ่ายบอกว่าพึ่งตื่นนี่น่า ฉันเลยได้แต่รอ
“ทีละคำถามนะ”
เธอค่อยๆ เรียบเรียงความคิด อันที่จริงเธอแบมือขึ้นแล้วใช้นิ้วอีกข้างเขียนลงบนฝ่ามือเหมือนกำลังแยกหัวข้อที่ฉันถาม
“จะไหวไหมเนี่ย..”
ฉันมองเธอเงียบๆ ผ่านไปสักพักเธอก็พยักหน้า..
“เข้าใจแล้ว.. ทำไมข้าถึงสื่อสารกับท่านจอมมารได้น่ะเหรอ..? เพราะความรักไงล่ะ”
ดูเหมือนว่าเธอจะยืดอกตอบอย่างภาคภูมิใจ แต่ก็ไม่เห็นเข้าใจเลยสักนิด เจ้าตัวก็พูดต่อว่า
“ข้าคือพันธสัญญาโซลของท่านจอมมารหรือเปล่า.. อืมม.. ตอนนี้ก็ใช่แหละมั้งนะ”
“ตอนนี้..? หมายความว่าก่อนหน้าไม่ใช่? ไม่ใช่ว่าวิญญาณโซลมันมีกันมาตั้งแต่เกิดทุกคนหรอกเหรอ?”
“จะว่าแบบนั้นก็ได้นะ.. แต่ตัวข้าไม่ใช่วิญญาณโซลนะจะบอกให้ อย่าเอาข้าไปเหมารวมกับของแบบนั้นนะ”
เธอพูดขึ้นแล้วก็เดินมานั่งลงเตียงข้างๆ ฉัน แต่ฉันก็ถอยออกห่างแล้วเธอก็ขยับตามาทั้งแบบนั้นแล้วก็พูดต่อ
“คือ.. ข้าเป็นภูตน่ะ”
“ห้ะ?”
คำนั้นทำเอาฉันตกใจหันไปมองเธอ ภูตนี่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตสุดแกร่งที่แม้แต่พระเจ้าก็ฆ่าไม่ได้นั่นหรอกเหรอ?
ไม่สิ ภูตก็ต้องทำพันธสัญญาภูตสิ แล้วจะมาทำพันธสัญญาโซลทำไม.. ด้วยความสับสนมากมายอามาเระจึงเปิดปากอธิบายอย่างถี่ถ้วน
“ข้าคือภูตแห่งความรัก.. ข้าในตอนนี้ตอบท่านได้แค่นี้จริงๆ ข้าน่ะรอท่านมาตลอดตั้งแต่หนึ่งหมื่นปีก่อนแล้วล่ะท่านจอมมาร”
“เหตุผลที่ข้าทำพันธสัญญาโซล เพราะว่าดวงวิญญาณของพวกเราจะพันธนาการเข้าด้วยกันโดยมีท่านจอมมารเป็นนาย และนั่นหมายความว่าทำแบบนี้ท่านจะได้ใช้พลังของข้าได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด”
“เพราะหากทำพันธสัญญาภุต ข้าทำได้เพียงมอบพลังให้ท่านใช้ได้บางส่วนเท่านั้นเอง.. ดังนั้นข้าจึงใช้ประโยชน์จากเจ้าพันธสัญญาโซลนี้ทำสัญญากับท่าน”
“ก็อย่างที่บอกว่าข้าไม่ใช่วิญญาณโซลนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้ามีรูปร่างเป็นแบบนี้”
“แล้วก็นะ ท่านสามารถใช้พลังของข้าได้ทั้งหมดตามความต้องการของตัวท่านเลยนะ ถึงข้าพูดเองมันจะยังไงยังไงอยู่ก็เถอะ แต่เห็นแบบนี้ข้าคือภูตที่แข็งแกร่งที่สุดเชียวนะ”
“ส่วนเรื่องเหตุการณ์ตอนที่ท่านตาย.. ทำไมข้าถึงไปอยู่ฝั่งนั้นได้ นั่นก็เพราะว่าข้าได้สร้างเรื่องเล่าของตัวเองขึ้นมาในโลกนั้นผ่านปากของเพื่อนท่านที่ชื่อทสึรุ นั่นจึงทำให้ตัวตนของข้าสามารถบิดเบือนและแทรกแซงเข้าไปอยู่ในโลกนั้นได้ไงล่ะ”
“เป็นไงล่ะ แค่เอาเรื่องข้าไปเล่าก็ทำให้ข้าไปโผล่ได้ คิดว่าข้าเก่งไหมล่ะ”
เธอพูดอย่างภูมิอกภูมิใจ ก่อนที่จะพูดคำพูดต่อมาแบบกระซิบ
“อ้ะ.. แล้วก็ที่ข้าพูดอะไรกับท่านบ้างตอนนั้นคือเพราะข้าหลับนะ ข้าไม่รู้เรื่องด้วยหรอกมันเป็นแค่ความทรงจำที่อยู่ในหัวของข้ากระทำเองทั้งสิ้น”
“ก็คือข้าจำไม่ได้หรอก แฮะๆ”
เธอเกาหัวหัวเราะแบบนั้น.. พอเข้าใจคร่าวๆ แล้ว.. แต่ยังมีข้อสงสัยที่ยังค้างคาใจอยู่..
“ทำไมเธอถึงทำเพื่อฉัน การทำแบบนั้นมันไม่ต่างกับการลดคุณค่าในฐานะภูตของเธอไม่ใช่เหรอ”
ฉันถามออกไป.. ใช่ ภูตคือสิ่งมีชีวิตที่ดื้อรั้นแถมยังเอาแต่ใจพ่วงด้วยความหยิ่งยโส ต่อให้เป็นเลวี่ที่ได้รับความรักจากเหล่าภูตก็ตาม
ก็ไม่มีภูตตัวไหนทำแบบที่อามาเระทำกับฉันเลย นั่นหมายความว่า.. มันอาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรอีก
“ข้าขอโทษด้วยที่ข้าพูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้.. ไม่สิ.. ข้าลืมไปหมดแล้ว.. ตลอดเวลามากกว่าหมื่นปีที่ผ่านมา.. ข้าน่ะหลับอยู่ตลอดเวลา.. หลับลึกอย่างโดดเดี่ยว”
“สิ่งที่ข้าจำได้มีเพียงอย่างเดียวคือเรื่องของท่าน.. ท่านจอมมาร.. ท่านคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตข้า..”
“เวลาที่ล่วงเลยผ่านมานับหมื่นปี..ข้าอยู่เพื่อท่าน ข้าต้องคงสติไว้เพื่อท่านแม้ร่างกายของข้าจะแตกสลายและแพร่กระจายไปทั่วทุกที่บนโลกใบนี้”
“เจตจำนงความรักของข้าที่เป็นภูตแห่งความรักค่อยๆ กระจัดกระจายออกไป.. บางทีหากปล่อยไว้อีกสักสิบปีจิตสำนึกในฐานะภูตข้าคงหายไป.. ความรักจะเป็นสิ่งที่เลือนรางเพราะตามกาลเวลา ทุกอย่างจะเต็มไปด้วยคำโกหกและหลอกลวง.. และท่านที่ได้รับรู้ถึงความรัก”
“ท่านที่สำคัญที่สุดสำหรับข้า และความรักของท่านนั้น.. มันปลุกข้าขึ้นมา”
“ที่ข้าสามารถอธิบายได้มีเพียงเท่านี้”
เธอพูดแล้วก็ก้มหน้าลง มีบรรยากาศโดดเดี่ยวและอ่อนแอปล่อยออกมา.. เธอโดดเดี่ยวมาตลอดหมื่นปีอย่างงั้นเหรอ
ฉันไม่ได้พูดอะไร.. บางทีความรู้สึกของเธอฉันอาจจะไม่เข้าใจ… แต่ฉันรู้จักมันดีความโดดเดี่ยวน่ะ.. มันเจ็บปวดขนาดไหน
ฉันไม่ได้พูดอะไรแต่ก็ไม่ได้ขยับหนีออกจากเธออีกต่อไป..
………