การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 25
บทที่ 25 ขอบคุณนะ!
“ช่วยด้วย”
ฉันที่กำลังหลับลึกในห้วงความฝันที่ฉันตระหนักได้ว่านี้คือความฝัน แต่แล้วความฝันเหล่านั้นก็หยุดชะงัก
มีเสียงใครสักคนดังก้องกังวานไปทั่วความฝันของฉัน เป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคย ผิดคิดว่ามันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในฝันจึงไม่สนใจ
ความฝันยังคงดำเนินตามเนื้อผ้าอย่างที่ควรจะเป็น แต่ทว่าในขณะที่ฉันกำลังจะหลุดออกจากห้วงความฝันนั้น
ภาพทุกอย่างก็แตกเหมือนเศษกระจกทำเอาฉันถึงกับตกใจ เหมือนฝันฉันจะพังทลายลง พร้อมกับเสียงก้องกังวานที่ดังก้องในหูฉัน
“ช่วยฉันด้วย.. ท่าน..จอ–ม..ม..มา–––…”
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับหน้าซีดเผือด ฝันบ้านั่นอีกแล้ว! ฉันบ่นออกมาเหงื่อไหล ฉันไม่รู้ว่ากำลังมีคนพยายามรอบทำร้ายฉันจากฝันไหม
แต่ฝันแบบนี้ฉันเคยพบมาแล้วสองรอบ.. รอบแรกก็คือตอนที่ฉันฝึกใช้พลังเวทปีศาจ ตอนนี้ฉันไม่ได้หลับด้วยซ้ำ
ฉันขมวดคิ้วหรือว่ามีพวกผู้ใช้เวทมนตร์ที่โจมตีทางจิตใจได้ ฉันคิดแบบนั้นสุดท้ายก็ต้องส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
ฉันลุกขึ้นเปิดหน้าต่างห้อง ตั้งแต่เจอโจรนั่นก็ผ่านมาแล้วเดือนกว่าๆ อีกไม่กี่วันก็ถึงโรงเรียนลิเบอร์แล้ว
ตอนนี้ฉันพักอยู่ในโรงแรมหรูในเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง แม้พวกเราจะไม่เปิดเผยสถานะ แต่ด้วยชุดเกราะของอัศวินที่คุ้มกันฉัน
และรถม้ามีราคาที่มีแต่สำหรับชนชั้นสูง ก็คงเดาได้ว่าพวกเราเป็นขุนนางที่ค่อนข้างมีหน้ามีตา อีกทั้งชุดเกราะของกองอัศวินแต่ละประเทศนั้นต่างกัน
ดังนั้นเป็นธรรมดาที่คนจะรู้ว่าขุนนางใหญ่นี้มาจากอาณาจักรอาเดฟ ฉันไม่รู้ว่าอาณาจักรอาเดฟนั้นมีหน้ามีตาขนาดไหน
แต่จากที่สังเกตทุกคนเอาแต่มอง ฉันเลยคิดว่าอาณาจักรอาเดฟ น่าจะมีคนอิจฉาไม่น้อย เพราะเอาแต่จ้องตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงต้องระวังตัวมากขึ้นอีก ไม่คิดว่าอาณาจักรอาเดฟจะเป็นที่รังเกียจมากขนาดนี้!
(เหตุผลที่จริงคือ อาณาจักรที่ปกครองโดยผู้กล้าที่แข็งแกร่งอันดับต้นๆ ของเหล่าผู้กล้าทั้งยังมีเทพเป็นราชินี ทุกคนต่างพากันหวั่นเกรงและเทิดทูนในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในประเทศพัฒนามากเป็นอันดับต้นๆ ของทวีป)
ในขณะที่ฉันมองไปข้างล่างบนถนน ฉันพักอยู่บนโรงแรมชั้นห้า เป็นชั้นที่สูงที่สุดจึงมองเห็นคนเดินบนถนนแออัด
ฉันอดไม่ได้ที่จะเกิดข้อสงสัย กล้าเดินในที่แบบนั้นได้ยังไง ก็แหม ถ้าหากโดนลอบสังหารจะหลบไม่พ้น แถมยังหาตัวคนร้ายไม่ได้
ไหนจะเรื่องอันตรายรอบด้านอีก ยิ่งคิดแบบนั้นฉันก็ยิ่งไม่เข้าใจ โลกนี้มันจะแปลกเกินไปแล้วนะ.. (คนที่แปลกน่ะคือ..?)
นอกจากนี้ยังแออัดด้วย ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ในตอนนั้นเองห้องของฉันก็เปิดออกฉับพลัน เลวี่ก็พุ่งตัวมา
“ท่านพี่ ไปเที่ยวกันเถอะ!”
ทำเอาฉันคิ้วขมวดทันที ไปเที่ยวในที่มี่อันตราย แบบนั้นไม่เรียกเที่ยวนะ เพราะมันไม่สบายใจเลย
ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่งหันไปเห็นซิลเวียที่ยืนรออย่างใจจดใจจ่อ ยัยนี่ วางแผนทำอะไรงั้นเหรอ ถึงฉันจะมองออกว่าวางแผนทำอะไร
แต่ว่าถ้าอยู่ในพื้นที่ชุลมุน และคนเยอะฉันก็ตอบโต้ไม่ทันเหมือนกันนะ! ฉันจึงลังเลแล้วพูดออกไปว่า
“ซิลเวียก็ไปด้วยเหรอ?”
ด้วยสีหน้าย่นๆ และก็สมกับเป็นเลวี่น้องสาวที่น่ารักของฉัน เธอเข้าใจฉันในทันทีว่า ฉันไม่อยากให้ซิลเวียลอบทำร้ายฉัน
(อันที่จริง ซิลเวียแค่ตื่นเต้นเพราะไม่เคยออกจากปราสาทตั้งแต่มาอยู่โลก ผสมกับต้องแสดงว่าตัวเองโดนลบความทรงจำ)
(ในขณะเดียวกัน เลวี่ก็เข้าใจว่า พี่สาวตัวเองอยากไปเดทกับตัวเองแค่สองต่อสอง ไม่มีก้างขวางคอ)
ฉันมองไปที่เลวี่ที่มีสีหน้าแปลกๆ เหมือนเธอกำลังมีความสุขมาก เอ่อ… อันนี้ไม่ค่อยจะเข้าใจแหะ บางทีฉันก็ไม่เข้าใจน้องสาวตัวเองเท่าไหร่เลย
“ท่านพี่ไม่ต้องห่วงนะ คือข้ามีแผนแบบนี้…”
ว่าแล้วเลวี่ก็เสนอแผนการให้ซิลเวียไปนั่งซักผ้า ฮรืออ น้องสาวช่างเป็นน้องสาวที่ดีแท้ ดูแลฉันที่เป็นพี่สาวอย่างดีเลย
พอคิดได้แบบนั้นฉันก็บดที่จะหอมแก้มเลวี่ยกใหญ่ไม่ได้ น้องสาวฉันนี่สามารถเป็นพี่สาวได้เลยนะ
“เอ๋ ท่านพี่ทำอะไรคะเนี่ย?!”
เลวี่เหมือนตกใจกับท่าทางของฉัน อ๋อ จริงสิฉันไม่เคยทำแบบนี้กับเธอนี่น่า จะว่าไปในโลกนี้มีแนวคิดเรื่องการแสดงความรักเอ็นดูแบบหอมแก้มหรือเปล่า
เพราะไม่เคยเห็นท่านแม่หรือท่านพ่อทำแบบนั้นเลย นอกจากลูบหัว ฉันคิดว่าในโลกนี้อาจจะไม่มีเรื่องแบบนั้น ฉันเลยอธิบายให้น้องสาว
“คือเมื่อกี้มันเรียกว่าการหอมแก้ม เป็นการแสดงความรักแบบเอ็นดู..”
“ความรัก?!”
แต่ก่อนที่ฉันจะได้พูดจบเลวี่ก็ร้องคำว่า ‘ความรัก’ ออกมาพร้อมกับหน้าดองจนควันออกหู.. เอ่อ .. เกิดอะไร ขึ้นเนี่ย
ไข้ขึ้นเหรอ แย่แล้ว ไข้ขึ้นอีกแล้ว! .. เลวี่ที่ยืนอยู่เริ่มตัวโงนเงนก่อนจะล้มมาทางฉันแล้วฉันก็รับไว้
อ๊ะ หมดสติไปแล้วเหรอ.. ตกลงเลวี่เป็นอะไรเนี่ย ฉันแตะหน้าผากพร้อมใช้พลังเวทเพื่อตรวจจับความร้อน เพราะว่าฉันไม่รู้วิธีวัด
เลยใช้พลังเวทช่วยซะเลย แต่เหมือนจะไม่มีไข้ฉันก็โล่งอก แต่เลวี่ก็สลบไปแล้ว ฉันคงไม่ต้องออกข้างนอกแล้วมั้ง
ฉันอุ้มเลวี่ไปนอนบนเตียงของฉัน ก่อนจะเดินไปหาซิลเวียที่ยืนรออยู่ ฉันเลยพูดออกไปตรงๆ ว่า
“เลวี่ไม่สบาย วันนี้คงไม่ได้ออกไ—”
“เอ๋ ทำไมอ่าาาาา ฉันอยากออกไปเที่ยวอ่าาาา”
ฉันพูดยังไม่จบซิลเวียก็ตาแดงก่ำแล้วก็ร้องออกมากระทืบเท้าบิดตัวไปมาเหมือนเด็กงอแง จนคำถามเดิมลอยขึ้นมาบนหัว
ยัยนี่ เป็นเทพจริงปะเนี่ย..
“ก็บอกว่าเลวี่—”
“ฉันอยากเที่ยวอ่าาาา ไม่เอา จะเที่ยว จะเที่ยว”
เสียงของเธอดังขึ้นจนทำเอาเลวี่ที่นอนอยู่พลิกตัวฉันตกใจทันที เมื่ออดีตชาติสิ่งที่น่ากลัวนอกจากการลอบสังหารคือ…
การทำให้น้องสาวที่หลับอยู่ตื่น คุณไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อเธอถูกรบกวนตอนนอนพอเธอตื่นมา ในจังหวะนั้นจะมีลูกระเบิดลูกใหญ่อยู่ในมือเธอ
(ไม่รู้ว่าครอบครัวในอดีตชาติของเลทิเซียเป็นคนจากกองทัพไหน ที่แบ่งลูกระเบิดให้น้องถือเล่น..)
หรือดาบซามูไรยาวสองเมตรไล่ฟันคุณ เพราะงั้นฉันเลยพุ่งตัวเอามือปิดปากซิลเวียจนดันเธอติดกับผนังทางเดิน
“ชู่ว”
“อื้อออ อื้อออ”
ซิลเวียเริ่มดิ้นฉันเลยกดแรงเข้าไปอีก จนอะไรไม่รู้นุ่มๆ โดนแขนฉัน.. อืมสัมผัสแบบนี้มันอะไรนะ? ช่างมันเถอะแต่กดไว้
“อย่าเสียงดัง เข้าใจไหม?”
“อื้อๆ”
ซิลเวียเริ่มหายใจไม่ออกจนหน้าแดงเธอเลยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แล้วฉันก็ค่อยๆ ปล่อยมือออก และปิดประตูกลับไปช้าๆ
ฉันหันมาหาซิลเวียแล้วเห็นเธอนั่งพิงผนังทำท่าเหมือนจะร้องไห้ยังไงยังงั้น ฉันถอนหายใจออกมา
ซิลเวียไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ปกติจะทำท่าแสดงอย่างมั่นอกมั่นใจว่าตัวเองแสดงเก่ง แต่คราวนี้ฉันไม่เห็นว่ามันเป็นการแสดงจากการกระทำของเธอเลย
พอมานึกๆ ดู ซิลเวียถึงจะเป็นคนที่ดูน่ารำคาญ แต่เพราะเธอแสดงไม่เก่งฉันเลยมองออกตลอด.. จะว่าไปยัยนี่เป็นคนเดียวที่ฉันสามารถบอกได้ว่า
ฉันกังวลเกี่ยวกับเธอน้อยที่สุด เพราะมองเธอออกเสมอ.. มาคิดๆ ดู เธอคือคนที่อยู่กับฉันบ่อยที่สุด… เอ่อ
ฉันลังเลเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือไปหาซิลเวียด้วยมือขวา
“ก็ได้ๆ ฉันจะพาไปก็ได้แต่อย่าปล่อยมือเด็ดขาดเลยนะ”
“เอ๊ะ..?”
ซิลเวียหันหน้ามามองฉัน แต่ไม่รู้ทำไมว่าตอนนี้ฉันไม่กล้ามองหน้าซิลเวีย พอเธอเงยหน้ามาฉันเลยหันหน้าหนีโดยอัตโนมัติ
เธออึ้งอยู่สักพักจนฉันเริ่มรู้สึกแปลกๆ เลยพูดออกมาอีกรอบ
“อะไรเล่า ไม่อยากไปแล้วหรือไง?”
“เอ๋ ไม่สิ ฉันจะไปๆ”
ว่าแล้วเธอได้สติกลับมาก็จับมือฉันแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปด้วยกัน ขณะเดินอยู่นั้นเธอเหมือนผู้ปกครองฉัน
“เลทิเซีย..”
“อะไรเล่า”
ฉันรู้สึกว่าตัวเองแปลกแฮะ ปกติต้องระวังตัวทำไมต้องยอมให้ซิลเวียด้วย พอคิดแบบนั้นก็รู้สึกหงุดหงิด ฉันเลยใส่อารมณ์แล้วหันมามองซิลเวีย
เธอไม่ได้โกรธแต่เธอยิ้มแล้วบอกกับฉันว่า
“ขอบคุณนะ!”
“…อ๊ะ…”
ฉันใจเต้นแรงแปลกๆ รีบหันหน้าหนีโดยสัญชาตญาณ.. ทำไม.. ทำไมซิลเวียถึงทำให้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่กับพี่สาวได้ …?
………….