การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 248
บทที่ 248 – คนเป็นแม่
โลกใบนี้ ในตอนนี้แบ่งออกเป็นสี่ขุมอำนาจขนาดใหญ่ที่ปกครองอยู่ โดยจะมีขุมอำนาจของปีศาจ มนุษย์และกึ่งมนุษย์
ส่วนขุมอำนาจสุดท้ายที่ไม่ขึ้นอยู่ฝ่ายใดทั้งสามแต่เป็นเหมือนกรรมการที่คอยจัดการเรื่องความสมดุลต่างๆ คือสถาบันเวทมนตร์ทั้งห้า
มองดูเผินๆ สถาบันทั้งห้าเหมือนจะไม่ถูกคอกัน มีการแข่งขันตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้วโรงเรียนทั้งห้านับเป็นหนึ่งเดียวกัน
นอกจากนี้พวกเขายังมีพาลาดินทั้งห้าที่คอยค้ำจุนสถาบันทั้งห้าอยู่ ซึ่งหากว่ากันตามตรงพลังของพาลาดินคงเทียบกับเหล่าผู้กล้าหรือจอมมารได้เลย
แต่ทว่าที่พูดนั่นหมายถึงก่อนที่จะถูกปิดผนึกพลัง แต่หลังจากการปิดผนึกพลังจึงทำให้พลังของผู้กล้าและจอมมารตกลงไปอย่างมาก
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเหล่าจอมมารและผู้กล้าถึงไม่มีทางสู้พาลาดินที่เพียงแค่ห้าคนได้เลย..
สำหรับกึ่งมนุษย์ก็มีสภาสูงสุดที่เรียกว่า ‘สภาเอล์ฟ’ อยู่ โดยจะเป็นสภาที่ปกครองเผ่ากึ่งมนุษย์ทั้งหมด
เผ่ากึ่งมนุษย์ไม่มีการแบ่งแยกประเทศที่ชัดเจน มีเพียงแค่แบ่งแยกหมู่บ้าน เช่น หมู่บ้านมนุษย์จิ้งจอก มนุษย์แมว เป็นต้น
ซึ่งทุกๆ หมู่บ้านจะมีสภาสูงสุดคอยปกครองและให้การดูแลและจัดระเบียบ ก่อนหน้านี้ในช่วงยุคสงครามห้าร้อยกว่าปีก่อน
คนที่ปกครองเผ่ากึ่งมนุษย์จริงๆ ไม่ใช่เอล์ฟ แต่เป็นแวมไพร์ ทว่าความบ้าคลั่งในสงครามเมื่อห้าร้อยปีก่อนทำให้แวมไพร์ถูกฆ่าไปจนหมด
อันที่จริงถึงจะบอกว่าไปจนหมด แต่แวมไพร์ก็มีเพียงน้อยนิดเท่านั้น เพราะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่ไม่ต้องสืบทอดพลังหรือมอบพลังเหมือนอย่างผู้กล้าหรือจอมมาร
เพราะในวินาทีแรกที่แวมไพร์ลืมตาดูโลก เขาก็มีพลังเทียบเคียงกับผู้กล้าและจอมมารเลย แถมด้วยความที่มีนิสัยที่สุดโต่งจึงทำให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งพอๆ กับมังกรที่แท้จริงเลยก็ว่าได้
ทุกอย่างถูกเล่าออกมาจากปากลาน่าแบบไม่มีปิดบังไม่ว่าจะเป็นประเทศทั้งสิบสองในดินแดนปีศาจที่ถูกปกครองโดยจอมมาร
หรือจะเป็นดินแดนมนุษย์ที่มีอาณาจักรมากมายแต่มีเพียงไม่กี่อาณาจักร…
“จริงสิ แล้วหมากแห่งพระเจ้าของไอ้สองพี่น้องนั่นล่ะ”
เลทิเซียพูดถามออกมาตรงๆ หมากแห่งพระเจ้าคือเบี้ยที่อยู่ในตัวของผู้กล้า แน่นอนว่าเลทิเซียรู้จักมันเพราะผู้กล้าคือสิ่งที่นับว่าเป็นจุดแรกเริ่มของโลก
และเลทิเซียพอเดาๆ ได้ว่า ลาน่าคงจะรู้เรื่องที่ตัวเองทำไว้ในเมื่อสองเดือนก่อนได้ดังนั้นเลยถามออกไป
“เรื่องนั้นดูเหมือนว่าจะถูกจักรพรรดิมังกรริสเวลเก็บไปแล้วค่ะ”
“จักรพรรดิมังกร?”
“จักรพรรดิมังกรก็คือ.. จักรพรรดิในจักรวรรดิมังกรนั่นแหละค่ะ ถึงแม้ตอนนี้จักรวรรดินั้นจะล้มสลายไปแล้วแต่เหมือนว่าคนจากอาณาจักรแห่งนี้จะยังเหลือรอดมาจนถึงตอนนี้ แถมดูเหมือนว่าพวกมันจ้องจะก่อสงครามอยู่ด้วย”
ลาน่าไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่เลทิเซียไม่ได้สติ หากบอกไปอีกเลทิเซียอาจจะนั่งไม่ติดเก้าอี้อีกเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเธอ
ดังนั้นเรื่องนี้เธอจึงเก็บเงียบเอาไว้ เลทิเซียแตะปลายคางก่อนจะพูดขึ้น
“แล้วพวกเราจะไปหาชาร์ล็อตได้เมื่อไหร่”
“สามารถออกเดินทางได้พรุ่งนี้เลยค่ะ”
“เข้าใจแล้ว งั้นฉันไปพักผ่อนก่อน”
เลทิเซียพยักหน้าก่อนจะบอกลาลาน่าก่อนที่จะเดินออกจากห้องพยาบาลไปเงียบๆ อันที่จริงนอกจากเรื่องเหล่านี้เลทิเซียได้เรียนรู้เรื่องต่างๆอีกมากมาย
พอหลังจากเลทิเซียจากไปลาน่าก็เดินออกจากห้องพยาบาลไม่ได้กลับไปพักผ่อน เธอมุ่งหน้าออกนอกโรงเรียนอย่างรวดเร็ว
ด้วยความเร็วเกินมนุษย์ของเธอเพียงพริบตาเดียวก็มาถึงอาณาจักรอาเดฟ ตอนนี้จอมมารเอลร่าอยู่ที่นี่
ภายในห้องรับแขกที่เป็นกันเอง ในนั้นมีผู้หญิงสองคนนั่งจ้องหน้ากันอยู่ ลูเซียโน่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เหมือนรูปปั้นหิน
ใช่ ผู้หญิงสองคนนี้คือเลเวียกับเอลร่า เลเวียจ้องมองเอลร่าด้วยสายตาพินิจวิเคราะห์ตั้งแต่หัวจรดเท้า
เพราะตลอดสองเดือนที่ผ่านมาไม่ว่าจะจอมมารเอลร่าหรือเลเวียก็ต่างพากันยุ่งวุ่นอยู่กับงานเนื่องจากภัยพิบัติแสงเทพมารมรณะ
ทำให้คนตายไปกว่าเก้าในสิบส่วนของอาณาจักร นี่พึ่งเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้นั่งอยู่ต่อหน้ากัน.. หนึ่งในฐานะคนที่เลี้ยงเลทิเซีย หนึ่งในฐานะมารดาผู้ให้กำเนิด
“เอาล่ะ ข้าขอถามเหตุผลที่เจ้าทิ้งลูกสาวตัวเองดีสักข้อสิ”
เลเวียเหมือนกับคนที่เป็นตำรวจกำลังสืบสวนสอบสวนผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม แน่นอนว่าเอลร่าก็นั่งตัวตรงเหมือนกับผู้ต้องสงสัยจริงๆ
“เอ่อ.. เพราะว่า..หากข้าให้กำเนิดลูกสาวที่เป็นจอมมารคนที่สิบสามแดงออกไปขุมอำนาจในแดนปีศาจจะต้องสั่นคลอนจนเกิดสงครามแน่ๆ”
คิ้วของเลเวียกระตุกเล็กน้อย เธอถาม..
“จอมมารคนที่สิบสาม..? ข้าสงสัยมาสักพักแล้วล่ะว่า เลทิเซียไม่ใช่จอมมารที่สืบทอดพลังจากเจ้างั้นเหรอ”
“ใช่ ดูเหมือนว่าเธอจะเกิดมาพร้อมกับพลังจอมมารน่ะ”
“แบบนี้นี่เอง”
เลเวียพยักหน้า.. ในใจก็รู้สึกภูมิใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกว่าลูกสาวตัวเองที่เลี้ยงดูมากับมือเป็นคนที่พิเศษเหนือใครอื่น
ความภูมิใจของเลเวียมันออกนอกหน้าจนลูเซียโน่ต้องสะกิดแขนเธอเบาๆ แต่พอเอลร่าเห็นเธอก็ยืดอกสู้
เหมือนจะบอกว่า.. ลูกสาวที่ข้าเป็นคนคลอดสุดยอกที่สุดอยู่แล้ว
“คนที่เลี้ยงเลทิเซียคือข้านะ”
“แต่คนที่คลอดเธอคือข้าต่างหาก”
แข่งกันซะอย่างนั้น ซึ่งเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นซ้ำๆ จนลูเซียโน่ได้แต่นั่งตัวแข็งและปวดหัวกับคนเห่อลูกทั้งสอง
“แล้วก็นะ.. เจ้าบอกว่าทิ้งลูกเพราะกลัวเกิดสงครามสินะ? เจ้าจะไปกลัวมันทำไม ถ้ามันเกิดขึ้นก็ช่างหัวมันสิ ถ้าหากใครกล้ามาทำร้ายลูกเจ้าก็แค่ฟันมันให้ตายก็พอแล้วนี่น่า เจ้านี่มันเป็นจอมมารจริงปะเนี่ย”
“นั่นสิ ข้าเองก็ไม่คิดว่าต้องมาได้รับคำแนะนำจากเทพว่าให้ก่อสงครามซะเหมือนกัน”
“ข้าก็แค่พูดตามความจริงเท่านั้นเองน่า”
เลเวียหัวเราะ ฮ่าๆ ในขณะที่เอลร่าก็ติดตลก มีแค่ลูเซียโน่คนเดียวที่พยายามจะฉุดแขนของภรรยาไว้
เหมือนกับจะบอกว่า เธอเป็นเทพนะ เทพควรบอกให้งดการหลั่งเลือดสิ.. แต่เหมือนเลเวียจะหลุดเข้าไปในโลกที่มีแต่ตัวเองกับเอลร่าไปแล้ว
แต่ในตอนนั้นเอง เอลร่ากับเลเวียก็ขมวดคิ้วขึ้นหันหน้าไปทางประตูพร้อมกับพูดว่าเข้ามาแทบพร้อมกันเลย
“ขออนุญาต”
คนที่ก้าวเข้ามาคือลาน่า..
“มีอะไรเหรอ ลาน่า ข้าบอกให้เจ้าดูแลเลทิเซียไม่ใช่หรือไง”
“จะว่าไปนะ ลาน่าเจ้าเองก็หลอกข้าได้นะว่าเป็นแค่ปีศาจธรรมดาที่ไหนได้เป็นมือขวาของจอมมารเนี่ย”
เลเวียพูดไม่สนบรรยากาศ ลาน่าจึงได้แต่หัวเราะแห้งๆ แต่ก็รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นออกไป..
ตั้งแต่เพื่อนเลทิเซียสองคนตาย..และหลังจากนั้นเลทิเซียก็เหมือนจะมีบางอย่างเปลี่ยนไป จะว่าไงดีบรรยากาศที่มันมอบให้เธอ
มันเหมือนกับตอนที่จอมมารเอลร่ามองเธอเลย นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเธอไม่กล้าที่จะขัดขืนเลทิเซียเลย
“ปัง”
โต๊ะในห้องรับแขกจู่ๆ ก็แตกออก.. ดวงตาของเอลร่ามืดครึ้ม.. สีหน้าของเลเวียเองก็ขรึมลงเช่นกันโคลเอ้คนนั้นตายไปแล้ว..
แล้วไหนจะเพื่อนเลทิเซียที่ชื่อเซเรสอีก..
ภายในห้องรับแขกตกอยู่ในความเงียบลงไปชั่วครู่หนึ่ง ไม่มีใครในนี้สามารถเดาถึงความเสียใจของเธอในตอนนั้นได้เลย
ทุกคนต่างพากันรู้สึกหม่นหมองลงไปตามเลทิเซีย แม้แต่เอลร่าเองก็ไม่มีอารมณ์พูดคุยต่อ เธอกล่าวลาแล้วก็จากไปในทันที
ขณะที่เลเวียพูดอะไรไม่ออกสักคำ ลูกสาวของเธอต้องสูญเสียเพื่อนไปตั้งสามคนในระยะเวลาอันสั้น
เธอที่มองดูการเติบโตของเด็กคนนั้นมาตลอดนั้นรู้ดีกว่าใครว่า เด็กคนนั้นเป็นเด็กที่ไม่ค่อยเปิดใจให้ใคร
และไม่ค่อยมีเพื่อน วันๆ เธอเอาแต่งขังตัวอยู่ในห้องหนังสือมีเพียงแค่เรียนรู้ เรียนรู้แล้วก็เรียนรู้
เธออยากจะบอกให้ลูกคนนี้ก้าวออกไปข้างนอกบ้างแต่ทุกครั้งที่พยายามจะยื่นมือเข้าไปใกล้ แผ่นหลังของลูกสาวนั้นก็ห่างไกลออกไปแทนซะอย่างนั้น
เธอรู้ดีกว่าใคร..ว่าทุกครั้งที่เรียกเลทิเซีย เธอนั้นเรียกลูกสาวได้ไม่เต็มปาก..เพราะความรู้สึกที่เลทิเซียมอบให้ไม่ใช่ลูกสาวแต่คือคนแปลกหน้าที่อยู่ใกล้กันเท่านั้น
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเลทิเซีย.. เพราะสำหรับเธอเลทิเซียคือลูกสาว.. แค่ในสายตาของเลทิเซีย.. เธอไม่ใช่แม่ของเลทิเซียเท่านั้นเอง
“ข้า…”
ดังนั้นเธอจึงรู้ว่า.. หากเลทิเซียที่สูญเสียเพื่อนไป.. เธอก็อาจจะกลับไปอยู่แบบเดิม.. เธอต้องการให้ลูกสาวของเธอมีความสุขมากยิ่งกว่า..
ต่อให้คนที่มอบความสุขให้ลูกเธอไม่ใช่เธอเองก็ตาม ทว่าการสูญเสียของลูกสาวที่เกิดขึ้นนั้นเธอกลับพบว่าตนเองไม่มีปัญญาทำอะไรเพื่อช่วยเลทิเซียได้เลย.. ดังนั้นเธอจึงพูดอะไรไม่ออก..
ไม่สามารถแม้แต่จะกล่าวอะไรกับเอลร่าได้ด้วยซ้ำ ความภาคภูมิใจที่แสดงต่อหน้าเอลร่ากลายเป็นความอับอายที่ไม่อาจดูแลเลทิเซียได้
ลูเซียโน่มองเลเวีย..เขาโอบกอดไหล่ของเธอเข้ามาซบที่อกของเขาโดยไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกจากปากเขา
“ข้ามันเหมาะสมจริงๆ เหรอ.. ในตอนนี้..เวลานี้ข้าไม่มีความกล้าที่แม้แต่จะเดินทางไปปลอบเลทิเซีย.. เพราะคิดว่าเธอคงปฏิเสธข้าเหมือนอย่างเดิม…”
แต่ในตอนนั้นเอง.. เธอก้เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ซึ่งสิ่งที่เธอนึกขึ้นได้มันกลบความเศร้าของเธอไปจนหมดสิ้น อาจจะเป็นเพราะความกลัวที่มากกว่าความเศร้าเลยก็ว่าได้
“พูดถึงความเหมาะสม.. ท่านแม่ของข้า… เธอเกลียดปีศาจยิ่งกว่าอะไร”
พอพูดถึงท่านแม่เจ้าอารมณ์ของตัวเองลูเซียโน่ก็ตกใจ..
“เจ้าพูดเรื่องจริงเหรอ”
“อืม.. ถ้าหากรู้ว่าเราเลี้ยงเลทิเซียละก็…”
เธอนึกภาพไม่ออกเลย เพราะท่านแม่ของเธอเกลียดเผ่าปีศาจในระดับอคติเลยก็ว่าได้ เธอกลัวว่าหากท่านแม่รู้เรื่องที่ว่าเลทิเซียเป็นปีศาจแถมยังเป็นจอมมารละก็..
เธออาจจะทำอะไรในสิ่งที่เลเวียคาดไม่ถึงก็ได้.. แต่ลูเซียโน่ก็พูดขึ้น..
“ไม่เป็นหรอกมั้ง.. เพราะขนาดเรายังมองไม่ออกเลยว่าเลทิเซียเป็นปีศาจหรือจอมมาร.. เพราะเจ้าเองก็เป็นเทพเหมือนท่านแม่ แถมตอนอยู่ในโลกนี้เธอยังถูกผนึกพลัง หมายความว่าเจ้าที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าตอนอยู่บนที่นี่ยังมองไม่ออกไม่มีทางที่เธอจะมองออกแน่”
“อ่า.. นั่นสินะ… ดีจริงๆ ที่ข้าตัดสินใจไม่ให้เลทิเซียขึ้นไปเรียนบนแดนเทพ..ไม่งั้นถ้าความแตกขึ้นมาท่านแม่คงเป็นคนแรกที่จะรีบวิ่งมาต่อยข้า”