การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 210
บทที่ 210 – ใจสลาย
หลังจากที่เซเรสจากไป สเตฟานี่ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของคนที่ฆ่ามารดาผู้รักยิ่งของตัวเองไป..
และมันเป็นเรื่องที่น่าตลกสำหรับเธอเพราะคนที่ฆ่าแม่ของเธอคือเพื่อนที่สนิทที่สุดสำหรับเธอ ต่อให้เป็นเลทิเซียผู้ซึ่งเป็นผู้ช่วยชีวิตของเธอเอาไว้
แต่หากว่ากันตามตรงแล้วเซเรสนั้นสนิทยิ่งกว่า สำหรับเลทิเซียสเตฟานี่ออกไปทางด้านนับถือและเคารพเสียมากกว่า
และเซเรสนั้นเป็นเพื่อนคนแรกของเธอ เป็นคนที่เธอแคร์มากที่สุดรองลงมาจากครอบครัวของเธอ
ความสำคัญของเพื่อนคนนี้มันมาก่อนตัวเธอเสียอีก ใช่แล้ว บนโลกนี้นอกจากพ่อแม่ถัดลงไปที่สำคัญกับเธอหาใช่เลทิเซียไม่
แต่เป็นเพื่อนสนิทของเธอต่างหาก.. ร่างกายของเธอแน่นิ่งราวกับร่างที่ไร้วิญญาณ น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด
อันที่จริงมันไหลออกมาตั้งนานแล้ว ภายในใจของเธอมันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกหลากหลายยากจะกล่าวออกมาเป็นคำพูด
“ทำไม…”
นั่นคือคำพูดคำเดียวที่เธอเปล่งออกมาได้ในเวลานี้
“ทำไมต้องเป็นข้า…”
“ทำไมต้องเป็นท่านแม่..”
“ทำไมข้าต้องมาเจออะไรแบบนี้…”
“ทำไม!!!!”
เธอตะโกนออกมาด้วยเสียงที่แหบพร่าสิ้นหวัง พังแล้ว.. ทุกอย่างพังหมดแล้วในชีวิตของเธอ
พ่อแม่ตาย.. เพื่อนกลายเป็นฆาตกรผู้พรากชีวิตพ่อกับแม่.. สับสน ลังเล หวาดกลัว เสียใจ
เธอนั้นเป็นเพียงแค่เด็กพึ่งจะย่างเข้าสู่วัยรุ่นที่เริ่มฮึกเหิม แต่ทว่ามันคงน่าแปลกที่คนในโลกที่กฎหมายแม้มีก็มีไว้เพื่อบังหน้านี้
จะมีเด็กที่ไร้เดียงสาอยู่จริงๆ
หากผู้ปกครองต้องการ ประสงค์สิ่งใด ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามความปรารถนาของคนเหล่านั้น
สเตฟานี่เป็นได้เพียงต้นหญ้าที่แม้จะมีอยู่แต่หากจะถูกเหยียบย่ำก็ไม่สามารถหลีกหนี ได้เพียงสั่นไหวไปตามคลื่นกระแส
ไร้ซึ่งอำนาจ ไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง มีเพียงความอ่อนโยนเท่านั้น แต่ของแบบนั้นมันช่วยใครไม่ได้เลยสักนิด
ภายใต้ความเสียใจทุกข์ระทม ไร้หนทางทุกอย่างราวกับมืดบอดสำหรับเธอ
“ทำไม..กันล่ะ…”
เธอได้แต่เพียงพึมพำคำเดิมซ้ำๆ น้ำตาของเธอเป็นเหมือนสีเลือด ไม่รู้ว่ามันเป็นเลือดจากศพของบิดามารดา
หรือเป็นเพราะว่าความเจ็บปวดจากภายในของเธอมันทำให้น้ำตาหลั่งออกมาเป็นเลือด
ทุกอย่างราวกับหยุดนิ่งในวินาทีนี้ สเตฟานี่ก้มลงไปมองศพของมารดาที่ตายตาไม่หลับ เธอหลับตาลงและภาพในวันวานต่างไหลย้อนเข้ามาภายในหัว
“ลูกของเราต้องชื่อว่า.. สเตฟานี่ล่ะ หากเป็นลูกต้องชื่อนี้แหละ! เส้นทางของลูกต้องแต่งแต้มไปด้วยความสำเร็จ ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเป็นลูกละก็ต้องทำได้แน่”
ในวันที่เธอลืมตาดูโลกครั้งแรก แม่ของเธอพูดแบบนี้กับตัวเธอที่ยังเป็นทารกอยู่ แม้เธอจะจำไม่ได้แต่ความเลือนรางยังสะท้อนออกมาในความทรงจำของเธอ
“เดี๋ยวเถอะ สเตฟานี่การทรมานคนอื่นมันไม่ดีนะ แม่บอกไปกี่ครั้งแล้ว”
“แต่ว่าท่านแม่ นี่มันก็แค่แมลงนี่น่า”
“ไม่เกี่ยวหรอก ไม่ว่าจะมนุษย์ สัตว์หรือแมลง พวกมันต่างมีชีวิตและพยายามใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง พวกเราก็พยายามในแบบของเรา พวกเราไม่สามารถไปตัดสินความตายของคนอื่นได้หรอกนะ”
ภาพหลายปีก่อนที่เธอไล่เหยียบแมลงก็ลอยขึ้นมา ก็เป็นท่านแม่ที่คอยบอกเธอว่ามาแบบนี้มันไม่ถูก
ดูท่านปู่เป็นตัวอย่างสิ เขานั้นไม่เคยใช้พลังในการข่มเหงคนที่ไร้ทางต้าน เพราะเขาก็รู้ดีว่าเขาหาใช่พระเจ้า.. ไม่สิ พระเจ้าก็ไม่ควรมีสิทธิ์นั้น
คำพูดต่างๆ มากมายลอยเข้ามา แต่ภาพทุกอย่าง เสียงทุกอย่างก็เริ่มแตกทลายหายไปตรงหน้า มือทั้งสองข้างของสเตฟานี่พยายามจะคว้าออกไป
พยายามที่จะคว้าจับสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอเอาไว้ สิ่งเหล่านั้นไม่มีอีกแล้ว เสียงของท่านแม่เธอไม่สามารถได้ยินอีกแล้ว
เค้กที่ซื้อมาเพื่อที่จะกินกับแม่ตอนนี้มันเหลือเพียงเธอเท่านั้นที่ได้ลิ้มรสชาติของอาหารจานนี้
ของหวาน.. อาหารที่แม่ของสเตฟานี่ชอบ เธอจำไม่ได้ว่าแม่ของเธอได้ทานอาหารที่ชอบครั้งสุดท้ายคือเมื่อไหร่
ไม่รู้ว่าท่านแม่ได้พักผ่อนครั้งสุดท้ายคือคืนไหน.. แต่ว่าจบแล้ว ทุกอย่างสลายหายไปต่อหน้าต่อตาของเธอแล้ว
ไม่ได้ยินแล้วเสียงนั้น ไม่ได้เห็นแล้วใบหน้านั้น.. เธอไม่ได้มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะตอบแทนบุญคุณ
พัง.. พัง.. พังไปหมดแล้ว..
สเตฟานี่หยิบเค้กที่ซื้อขึ้นมาแล้วก็เปิดออก.. ภายในมีเค้กรูปกระต่ายอยู่ แต่ว่ากระต่ายในตอนนี้มันดูไร้สีสัน
เธอค่อยๆ หยิบช้อนขึ้นมาตักกินใส่ปาก รสชาติหวานเลี่ยนตีขึ้นมายังลิ้น แต่ว่าเธอกลับไม่รู้สึกว่ามันอร่อย
เธอตักมันใส่ปากอีกครั้ง หวังว่าแม่ที่อยู่ด้านข้างจะได้ลิ้มรสของเค้กก้อนนี้.. เธอตักใส่ปากช้าๆ ก่อนจะกลายเป็นกินอย่างตะกละตะกลาม
“ท่านแม่… มันอร่อยมากเลยนะ…”
เธอพูดขึ้นมาด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาไม่หยุด น้ำตาของเธอหยดลงเค้กและเลือดที่อยู่บนตัวสเตฟานี่ล้วนแตะแต้มเค้กจนหน้าตาดูไม่น่ากิน
“ข้าอยากให้ท่าน.. ได้ชิมจริงๆ”
เธอคอตกและเงียบลงไปในที่สุด.. ก่อนที่คำถ ามในตอนแรกจะวนซ้ำเข้ามาอีกครั้ง
“ทำไม..”
ในตอนที่คำพูดนั้นดังขึ้นภาพใบหน้าของเซเรสก็ลอยเข้ามาในหัวของเธอ เธอมองเซเรสด้วยสายตาเป็นห่วง
ไม่สนใจ ไม่รู้สึกผิด ไม่มีคำพูดใดๆ ที่พูดถุงการกระทำที่เธอได้สังหารมารดาของเธอ..
“เซเรส… เป็นเพราะเธอ…”
ความโกรธ ความสิ้นหวัง ความไร้หนทาง ความเกลียดชังและท้ายที่สุด.. ยังไงซะชีวิตของเธอก็พังแล้ว.. งั้นก็…
ภาพใบหน้าของเซเรสลอยขึ้นมามากมายไม่หยุด เป็นสีหน้าน่าสงสารของเซเรส เป็นสีหน้าดีใจของเซเรส เป็นสีหน้าที่เสียใจของเซเรส
“โกหก.. โกหก! โกหก!! โกหก!!!”
สเตฟานี่ตะโกนออกมาภาพสีหน้าต่างๆ ของเซเรสในหัวค่อยๆ แตกร้าว ความเกลียดชัง ความโกรธ.. อัดแน่นอยู่ภายในอก
“มันคือปีศาจ.. ใบหน้าของคนชั่วที่ฆ่าคนโดยไร้ความรู้สึก.. นังปีศาจ!!”
ภาพใบหน้าของเซเรสในหัวของสเตฟานี่ล้วนแล้วแต่กลายเป็นภาพของปีศาจที่หลอกลวงตีสนิท เพื่อทำลายชีวิตของเธอ
เธอตะโกนจนคอแตกไอออกมาเป็นเลือด ดวงตาอัดแน่นไปด้วยความโกรธแค้น พังไปหมด ทุกอย่าง ทั้งเพื่อน ครอบครัว ทุกอย่างหายไปหมดแล้ว
ถ้าอย่างนั้น…
“หึๆๆ ฮ่าๆๆๆ”
แม้คอจะแตกเสียยงจะพังแต่สเตฟานี่ที่กลายเป็นคนเสียสติในยามนี้กลับไม่สนสิ่งใด เธอหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ภาพความทรงจำเกี่ยวกับเซเรสค่อยๆ แตกสลายและมลายหายไป.. ฆ่า ฆ่า ฆ่า!!!!
“ข้าจะฆ่าเจ้าเอง เซเรส”
เธอเสียใจจนขาดสติ ใช่ ทั้งคู่เป็นเพื่อนกัน เพื่อนสนิทกันยิ่งกว่าเลทิเซีย แต่แล้วยังไงล่ะ
นี่คือความเกลียดชังที่ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่.. และไม่ว่าจะยังไงทุกอย่าง คนสำคัญ สิ่งที่ทำให้เธอพยายามต่อไปนั้นหายไปหมดแล้ว
ในเมื่อเป็นแบบนี้.. เธอจะล้างแค้นให้ท่านพ่อท่านแม่..
เสียงหัวเราะอันสิ้นหวังดังขึ้นในบ้านหลังเล็กหากมีใครผ่านมาเห็นต้องรู้สึกขนลุกขนชูเป็นแน่
“แต่ไม่ต้องห่วง.. เมื่อข้าฆ่าเจ้าเสร็จข้าจะตามเจ้าไปเอง.. ข้าจะตามเจ้าไปขอโทษท่านพ่อท่านแม่บนสวรรค์.. ไม่สิคนอย่างเจ้าที่ฆ่าคนอื่นและข้าที่พยายามจะฆ่าเพื่อน.. คงต้องลงนรกสินะ”
พูดเสร็จเธอก็ฉีกยิ้มออก..
…….
[เอาล่ะหลังอ่านมาถึงตรงนี้คงพอรู้แล้วว่าแม้สเตฟานี่พยายามจะฆ่าเซเรส.. แต่เธอก็ยังคงมองว่าเซเรสเคยเป็นเพื่อน แม้จะมองว่าเซเรสเป็นปีศาจ แต่เธอก็ยังเป็นเพื่อน.. นั่นแหละความหมายอันหนักอึ้งที่ทำให้เธอเป็นบ้า.. ต้องฆ่าและจะฆ่าตัวตายตาม..เพื่อลงโทษเซเรสที่ทำผิดและแก้แค้นให้พ่อแม่.. และฆ่าตัวตายตามที่ตัวเองฆ่าเพื่อนและชีวิตของเธอไร้ซึ่งความหมาย
แน่นอนว่าผมในฐานะคนเขียน ไม่ได้จะบอกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง.. แต่เพราะสำหรับสเตฟานี่เธอนั้นไร้ซึ่งทางออกอย่างแท้จริง บางทีสำหรับเธอนี่คงเป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดก็เป็นได้ – ผู้เขียน]