การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 204
บทที่ 204 – เพื่อเธอคนนั้น
และเรื่องบังเอิญก็คือตอนวันแรกที่เปิดเทอม มีนักเรียนใหม่ที่พึ่งจะเข้าเรียนมา ทำให้ต้องจัดที่พักของนักเรียนใหม่ไปหลายส่วน
หรือก็คือต้องมีนักเรียนบางส่วนถูกจับเปลี่ยนห้องพักนั่นแหละ และสเตฟานี่กับเซเรสก็ได้ถูกย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันนับแต่นั้นสเตฟานี่ก็ได้รู้จักเซเรสมากขึ้น
เซเรสเป็นคนที่เหมือนจะบ้าๆ บอๆ ก็จริงแต่เธอก็เป็นคนใจดี พอสเตฟานี่มีปัญหา เธอจะยื่นมือเข้าช่วยทันที
นอกจากนี้ตัวเซเรสยังสามารถพูดได้ว่าอาจจะเป็นอัจฉริยะทางเวทมนตร์คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทุกครั้งที่สเตฟานี่ขอความช่วยเหลือ
เซเรสแทบจะตอบได้ทุกอย่างเลยแหละ อยู่มาวันหนึ่งในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงทั้งคู่นอนอยู่เตียงใครเตียงมัน
“นี่เซเรส.. ทำไมเจ้าถึงมาเรียนที่นี่งั้นเหรอคะ?”
“ข้ามาเรียนเพราะว่า….”
แต่เสียงของเซเรสก็หยุดลงกะทันหัน เธอหวนนึกถึงเรื่องในอดีต.. ในตอนนี้เธอจำไม่ได้ว่า… ทำไมตัวเองถึงได้มาเรียนที่นี่..
ความทรงจำในอดีตบางส่วนมันเริ่มจางหายไป…
“ที่ข้ามาเรียน…”
เซเรสที่นึกอะไรไม่ได้ เธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอรู้สึกเหมือนโลกใบนี้มีตัวเองเพียงคนเดียว
เธอหวนนึกถึงอดีตเมื่อหลายปีก่อน.. หวังว่าจะเจออะไรที่เป็นเหตุผลให้ตัวเองมาเรียนที่นี่..
แต่ยิ่งนึกเท่าไหร่.. เธอก็จะยิ่งเห็นใบหน้าของๆ คนคนหนึ่งที่กำลังพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า..
“เซเรสฟังนะ.. นี่เป็นคำสั่งของพ่อเจ้า… ไอ้บ้านั่นมันสั่งให้ข้าขายเจ้า.. แต่เชื่อข้า.. สักวันข้าจะมารับเจ้าอย่างแน่นอน.. ข้าไม่ให้เจ้าเป็นตามที่ไอ้บ้านั่นวางแผนไว้แน่นอน”
…ใบหน้าของคนที่พูดคำนี้คือใคร.. เธอพอที่จะจำได้บ้าง..ใช่.. เธอคนนี้คือแม่ของเซเรส
แต่ว่าพอมานึกดูตอนนี้ อาจจะเป็นเพราะเธอไม่ไร้เดียงสาอีกแล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะสมองของเธอนั้นไม่เหมือนเดิม..
ใบหน้าอันอ่อนโยนที่เหมือนจะเป็นคนสำคัญของเธอในอดีต.. กลับมีเพียงความต้องการบางอย่างและคำพูดที่เปล่งออกมา
มันเต็มไปด้วยคำโกหก.. พอเธอเข้าใจแบบนั้นหัวใจก็รู้สึกเหมือนถูกควักออกมา ภายในอกมันกลวงโบ๋ราวกับว่าสิ่งสำคัญตลอดระยะเวลาในการเป็นทาส
มันมีเพียงการหลอกลวง.. ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่โกหก..
“ไม่.. ไม่ใช่.. ไม่ใช่แบบนั้น..ท่านแม่.. ไม่”
“เซเรส?”
สเตฟานี่ที่จู่ๆ ก็ได้ยินเซเรสกรีดร้องพึมพำออกมา เธอจึงรับลุกขึ้นไปดูเซเรส และภาพตรงหน้าคือ..
เธอเห็นเซเรสพยายามใช้มือสองข้างตัวเองดึงผมตัวเอง ตาที่เบิกกว้างจนน่ากลัวนั้นมีน้ำตาไหลออกมา
“เจ้าทำอะไรของเจ้า!”
สเตฟานี่ตะโกนออกมาด้วยความตกใจ พยายามจะเข้าไปห้ามเซเรส แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดพละกำลังของเซเรสได้
“ข้า.. ข้า…”
ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความสับสนในเส้นทางชีวิต.. แม่โกหกเธอ..? แล้วที่เธอรออยู่ในนั้นปีหนึ่งมันคืออะไร..
เพื่ออะไรกันแน่.. นี่เธอมีชีวิตอยู่ด้วยคำหลอกลวงอย่างนั้นเหรอ…
“เซเรสใจเย็นๆ สิ!!!”
สเตฟานี่ที่พยายามจะหยุดเซเรส และใตตอนนั้นเองภายในหัวของเธอไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ ความทรงจำ ความรู้สึก..
ก็เหมือนจะได้รับผลกระทบจากความหวาดกลัว ความเสียใจ..ทุกๆ อย่างของเซเรสจนภาพของผู้หญิงที่เป็นแม่..
ก็แตกสลายหายไป…
“….”
นับแต่นี้เซเรสไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าแม่อีกต่อไป.. ที่เธอจำได้มีเพียงเรื่องที่ว่าพ่อของเธอไล่ออกจากบ้านเท่านั้น
อันที่จริงเธอในตอนนี้ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่าความสุขจากครอบครัวเลยด้วยซ้ำ เธอไม่เข้าใจว่าพ่อแม่รักลูกมันเป็นยังไง
ในความทรงจำเธอพ่อกับลูกมันมีแค่คำว่าทุบตี..ถูกปิดกั้น..ไม่ให้อาหาร.. เธอไม่รู้ว่านี่มันเป็นเรื่องปกติหรือเปล่า
แต่ทุกอย่างที่ว่ามามันคือสิ่งที่ครอบครัวของเธอทำกับเธออย่างไม่ผิดแน่นอน.. สเตฟานี่จ้องมองไปที่เซเรสด้วยสายตาสับสน
วันต่อมาเธอให้เซเรสไปตรวจอาการที่เกิดขึ้น.. นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้สเตฟานี่ได้รู้ว่าเซเรสมีโรคประจำตัว
การที่เธอเป็นคนพูดไม่ค่อยจะรู้เรื่องแบบนี้ การที่เธอเป็นคนที่พอตกกลางคืนจะเริ่มดิ้นอย่างรุนแรง..
ทุกอย่างมันมีสาเหตุมาจากสิ่งนี้ อย่างไรก็ตามมันก็แลกมาด้วยการที่เซเรสนั้นเป็นคนที่หัวดีมาก.. ทว่ามันช่างเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียมนัก
ต้องกลายเป็นเหมือนคนบ้า มีอายุขัยที่สั้น ความทรงจำจะค่อยๆ หายไป..
“แบบนั้นมันโหดร้ายเกินไปแล้วค่ะ”
นั่นคือสิ่งที่สเตฟานี่ตะโกนใส่หน้าคุณหมอ อันที่จริงคนที่ตรวจให้ก็คือลาน่า ในมือเธอถือเอกสารฉบับหนึ่ง
ในนั้นมีข้อมูลโรคประหลาดในสมองของเซเรส คำพูดของสเตฟานี่เธอไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด
“ชีวิตที่ต้องแบกรับความเจ็บปวดในทุกๆ คืน ชีวิตที่ไม่ยืนยาว ชีวิตที่เหมือนกับว่าวันตายถูกกำหนดมาตั้งแต่วันแรกแบบนี้..”
“อีกอย่างขืนยังเป็นอยู่แบบนี้.. ความทรงจำของเธอจะหายไปอย่างช้า.. สุดท้ายแล้ววันที่ความทรงจำเธอหายไปจนหมดก็จะมาถึง..”
สเตฟานี่กัดฟันพูดใช่แล้ว พอวันที่ความทรงจำของเซเรสหายไปจนหมด.. นั่นแหละจะเป็นวันตายของเธอ ตายไปโดยที่จำอะไรไม่ได้
จำไม่ได้ว่าในชีวิตนี้มีเรื่องสนุกๆ อะไร .. มันต่างอะไรไปจากการตายไปอย่างโดดเดี่ยว..
มันน่าสงสารเกินไปแล้ว..
ทั้งชีวิตของเธอมีแต่ถูกช่วงชิงไม่ใช่หรือยังไง.. สเตฟานี่กัดริมฝีปากแค่นึกสภาพว่าเซเรสที่มีปัญหาและความเจ็บปวดแบบนั้นอยู่กับตัว
และเธอต้องเผชิญกับการสูญเสียบางอย่างไปทุกๆ คืน.. แต่เช้าวันรุ่งขึ้นเธอก็จะกลับมายิ้มสดใสร่าเริงต่อหน้าสเตฟานี่อีกครั้ง
ทำไมโลกถึงไม่ได้ใจดีกับเธอเหมือนที่เธอใช้มุมมองที่ดีต่อโลกขนาดนี้บ้างนะ.. สุดท้ายแล้วไม่ว่าสเตฟานี่จะพยายามจะถามไถ่ลาน่าแค่ไหน
ลาน่าก็ไม่รู้วิธีแก้ไขจริง.. จนสเตฟานี่ได้แต่กลับหอไปด้วยความอึดอัดและเสียใจ.. พอสเตฟานี่ออกไป
ลาน่าก็เปิดลิ้นชักออกมาพร้อมกับหยิบมีดขึ้นมาเล่มหนึ่ง ก่อนที่จะเดินไปหาเซเรสที่นอนอยู่บนเตียง…
“เวทมนตร์ของ…องค์หญิง…”
ใช่ เธอที่มองเจ้านายเติบโตมาตลอดสิบกว่าปี ทำไมพอเธอตรวจร่างกายของคนที่โดนเวทมนตร์ของเจ้านายเธอไปทำไมเธอจะไม่รู้ล่ะว่านี่คือพลังเวทของเธอคนนั้น
ถึงเธอจะไม่ทราบว่าเลทิเซียใช้เวทมนตร์แบบไหน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเวทมนตร์ที่จะทำลายสมองโดยตรง
ซึ่งหมายความว่าเด็กผู้หญิงตรงหน้านี้คือศัตรูของเจ้านายของเธอเอง ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าหากใช้เวทมนตร์ที่พยายามจะทำลายสมองขนาดนี้
คงเป็นศัตรูที่พยายามฆ่ากันเป็นแน่.. แต่ตอนนี้ศัตรูของเธอคนนั้นยังไม่ตายจากเวทมนตร์ทำลายสมองโดยตรง
แถมยังมาอยู่ในโรงเรียนเดียวกันอีกต่างหาก แถมเหมือนอีกฝ่ายจะวิวัฒนาการจนทำให้ใช้เวทมนตร์ได้แข็งแกร่งด้วยเหตุนั้น
ในฐานะคนที่ถูกสั่งมาให้ปกป้องเธอคนนั้นแบบลับๆ ไม่มีทางที่เธอจะปล่อยให้คนที่อาจจะเป็นอันตรายต่อเธอคนนั้นผู้เป็นเจ้านายลาน่าได้แน่ๆ
ดังนั้นเธอต้องฆ่าอีกฝ่ายทิ้ง… แต่เธอรู้ว่าเธอใช้เวทมนตร์ปีศาจในโรงเรียนนี้ไม่ได้แน่ เพราะหากใช้พวกพาลาดินคงรู้สึกตัว..
ทางเดียวที่ทำได้คือต้องใช้มีดแทงคอทีเดียวตาย.. เงียบๆ ส่วนเรื่องศพน่ะก็แค่เอาไปทิ้งจากการตรวจสอบเบื้องหลังมา
ลาน่าก็พอรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นแค่โจรในตระกูลเล็กๆ ต่อให้ตายไปก็ไม่ได้เกิดคลื่นอะไร.. ปัญหาคงเป็นเพื่อนของเด็กคนนี้
เพราะเหมือนว่าจะเป็นคนถือครองคัมภีร์แห่งรูนด้วย.. ไม่ใช่ว่าเธอกลัวมัน.. แต่เป็นเพราะหากเธออยู่ในโรงเรียนนี้เธอสู้ไม่ได้เต็มกำลังต่างหาก..
แต่ทว่าเพื่อผู้เป็นนายของตัวเอง.. เธอต้องฆ่าเท่านั้น…
มีดเล่มเล็กถูกยกขึ้นและแทงลงใส่คอเซเรส
ทว่าในตอนนั้นเองมือของลาน่าก็หยุดชะงักลง ไม่สิถ้าจะให้พูดคือร่างกายของเธอเลยมากกว่าที่หยุดชะงัก
พร้อมกับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าประตูห้องพยาบาล
“ลาน่าเจ้าทำอะไร”
“องค์…ชาย…”
………………..
[เกือบตายแล้วหนึ่ง – ใครสักคน]