การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 189
บทที่ 189 – ทำความเข้าใจศัตรู
“งั้นก็ได้ค่ะ แต่ว่าหากใช้ดาบขึ้นมาจะถูกปรับแพ้ทันทีนะคะ”
“เข้าใจแล้ว”
หลังจากที่กรรมการยืนนิ่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เธอก็เงยหน้าขึ้นมาพูดแบบนั้น ว่าแล้วชายหนุ่มที่ชื่อไคลน์ก็เดินขึ้นมาบนเวทีด้วยสีหน้ามีความสุข
เขาจับดาบยกขึ้นมาถูไถใส่หน้าตัวเองแล้วก็พูดเสียงเบาที่ไม่มีคนได้ยิน แต่ว่าตัวเลทิเซีย ได้ยินชัดเจนเลยว่า
“เกือบถูกแยกกันแล้วเนอะ จูนิจิ”
เขามายืนกอดดาบต่อหน้าเลทิเซียเลยนี่นะ คงจะแปลกกว่าถ้าหากเลทิเซียไม่ได้ยิน เธอได้แต่แสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา
เธอก็เผลอคิดว่า หรือว่าดาบเล่มนั้นเหมือนกับดาบที่ตัวเองมี แต่พอคิดแบบนั้นเหมือนเสียงของไวท์ก็ดังขึ้นมาในหัวเลทิเซียเพื่อปฏิเสธความคิดนั้น
“เป็นไปไม่ได้ค่ะ ถึงข้าจะสับสนกับเทคโนโลยีของโลกนี้ แต่นายท่านคนก่อนเคยบอกไว้ว่า การจะผนึกดวงวิญญาณลงสิ่งของนั้นแทบเป็นไปไม่ได้”
“เพราะว่าโลกนี้มีกฎเกณฑ์เวียนว่ายตายเกิดที่ตายตัว”
เธอพูดแบบนั้นออกมา ด้วยความสงสัยเลทิเซียที่กำลังจะถามไวท์แต่ทว่า ชายที่ชื่อไคลน์ตรงหน้าก็พูดขึ้น
“ข้ารู้จักเจ้านะ หลายวันที่ผ่านมา ข้าได้ยินชื่อเสียงเจ้ามาเยอะ แต่ข้าขอบอกไว้ก่อน ในฐานะนักรบ ข้าไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก”
เขาว่าแบบนั้น และในตอนนั้นเองเสียงพลุก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงประกาศเริ่มการต่อสู้จากกรรมการ
“เมื่อถึงเวลาแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องรออะไรอีกแล้ว”
“การแข่งขันรอบที่หนึ่ง เริ่มได้!!!!”
เลทิเซียเองก็ไม่มีสมาธิมาสนไวท์อีกต่อไป เธอกระโดดถอยไปด้านหลังหลายก้าว และแน่นอนว่าไคลน์เองก็เช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้น ข้าไม่ขอออมมือใดๆ”
เขาพูดแบบนั้น แล้วก็สะบัดมือหนึ่งครั้ง แล้วในตอนนั้นเองในมือพลันมีเงาของชุดเกราะแขน พร้อมกับมีเงาบางอย่างปรากฏขึ้นด้านหลังเขา ถ้าจะให้เลทิเซียอธิบาย
มันเป็นเกราะแขนพร้อมกับดาบจูชินเล่มหนึ่ง แต่ดาบเล่มนี้ก็ใหญ่เหมือนกับโล่ของชายร่างใหญ่เมื่อตอนนั้นในการแข่งขันรอบแรก
เงาดาบปรากฏขึ้นด้านหลังของไคลน์เหมือนกับเป็นแขนที่สามของเขา ตัวดาบมีขนาดยามเกือบๆ สามเมตร มีขนาดดาบที่ใหญ่กว่าดาบจูชินปกติ
ส่วนในมือขวาก็ของเขาเองก็มีเงาของเกราะแขนแต่ไม่มีดาบอยู่ในมือ แต่ดาบแขนที่สามที่ถือดาบของเขาเหมือนกับเป็นตัวแทนของแขนขวา
“นี่คือโซลของข้า โซลของผู้ที่มีวิชาดาบหินผาโอเกอร์และดาบจูชินแห่งราชัน”
“อย่างที่เจ้ารู้ดาบเล่มนี้มีรูปแบบเป็นสายโจมตี ดังนั้นความสามารถของโซลก็คือการโจมตีที่แน่นอน ไม่ว่าจะหลบไปทางไหนเจ้าก็ไม่มีทางหลบพ้น”
“การโจมตีที่แน่นอน”
เขาบอกข้อมูลของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ราวกับว่ามั่นใจในพลังของตัวเองมาก ไม่สิ บางทีสำหรับคนตรงไปตรงมาอย่างเขานั้น..
คงต้องการต่อสู้ตรงไปตรงมาก็เท่านั้น เขาถึงได้บอกความสามารถของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา แต่พอเขาพูดจบผู้ชมที่อยู่รอบๆ ต่างพากันเบิกตากว้าง
ในรอบก่อนเขาไม่ได้ใช้โซลนี้ จึงไม่เคยมีคนเห็นโซลของเขา แต่พอประกาศออกมาเองแบบนั้นก็ทำให้คนพากันแตกตื่น
“โจมตีแน่นอน บ้าไปแล้ว นั่นมันเกินขอบเขตของนักเรียนใหม่ไปแล้วนะ”
“ข้าได้ยินว่าโรงเรียนโรเซ่มีคนที่ถูกเลี้ยงมาโดยผู้อำนวยการ เขาเลยได้ทำพันธสัญญาโซลก่อนใครด้วยล่ะ หรือว่าเจ้าเด็กนี่คือเด็กที่ว่า”
“ใช่ แต่ถ้าทำตอนเด็กมาก เขาก็ยังไม่น่าจะมีดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งไม่ใช่หรือไง แล้วไอ้วิชาดาบหินผาโอเกอร์นั่นน่ะมันดูไม่ธรรมดาเลยนะ”
“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ยังไงซะคนเลี้ยงดูก็เป็นถึงพาลาดิน อาจจะถูกส่งไปเจอโศกนาฏกรรมอะไรมาก็ได้นี่น่า”
“แต่ยังไงก็เถอะ นั่นมันไม่ใช่ระดับเริ่มต้นพันธะแล้วนะ ยังไงก็ไปถึงเขตแดนโซลแล้วชัดๆ”
ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์อย่างออกรส จนทำเอาคนที่เคยเชียร์เลทิเซียเงียบลงไปในทันที ศัตรูไปถึงระดับนั้นเลยนะ..
ถ้าหากเลทิเซียไม่ไปถึงระดับเดียวกันก็คงไม่มีทางชนะได้แน่ๆ ขณะที่ทุกคนพากันคิดแบบนั้น เลทิเซียนั้นกลัวยิ่งกว่าใคร
“ฉันยังไม่มีโซลเลยนะ บ้าเอ๊ย”
เลทิเซียรู้สึกว่าแผนการทุกอย่างของตัวเองป่นปี้ ตอนแรกเธอกะจะยั่วน้ำโหอีกฝ่ายสักนิด แล้วก็ข่มอีกฝ่าย
พออีกฝ่ายกำลังจะปลดปล่อยพลังที่แท้จริงก็โดนตัวเองซัดออกสนามไป เอ่อ.. ถึงมันจะดูขี้ขลาดไปหน่อยก็เถอะ แต่ว่าศัตรูมีเด็กปากติดมือนั่นด้วยนี่น่า
ในขณะที่เลทิเซียกำลังตกที่นั่งลำบากนั้นเอง ชายคนนั้นก็ไม่รอช้าเขาพูดเสียงต่ำก่อนจะก้าวขาเข้าไปหาเลทิเซีย
“โจมตี”
เขาพูดเหมือนจะบอกเลทิเซียว่าตัวเองจะโจมตี เลทิเซียรีบตั้งท่า แต่ในชั่วพริบตาเดียวด้วยความเร็วที่เหนือกว่าการตอบสนองเลทิเซีย
ไคลน์ก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเธอพร้อมกับตวัดดาบเป็นแนวขวางใส่ท้องเลทิเซีย ด้วยระยะนี้บางทีเลทิเซียคงตัวขาดแน่
แต่อีกฝ่ายคงไม่มีพลังขนาดนั้น เลทิเซียตอบสนองโดยการหลบ อันที่จริงมันตอบสนองเอาตัวรอดเอง ราวกับร่างกายเธอชินกับการหลบหลีก
ร่างเลทิเซียย่อตัวลงพื้นฉับพลัน ด้วยส่วนสูงของเธอที่ตัวเล็กเธอก็แทบหายไปจากสายตาของศัตรูทันที
“บอกไปแล้วว่าดาบข้าจะโดนเจ้าอย่างแน่นอน”
แม้ไคลน์จะมองไม่เห็นเลทิเซียแต่ทว่า ดาบที่ตวัดเป็นแนวขวางงพลันกลายเป็นเหมือนภาพลวงตา
จากดาบที่ตวัดเป็นแนวขวางก็กลายเป็นตวัดเป็นแนวตั้งลงใส่กลางหัวเลทิเซีย “พรึ่บ”
ในพริบตาที่ดาบตัดใส่เลทิเซียร่างของเธอก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ภาพลวงตา อันที่จริงเลทิเซียอยากลองว่ามันจะหลอกดาบเล่มด้วยภาพลวงตาหรือเปล่า
และเหมือนจะได้จริง เพราะเธอในตอนนี้กำลังลอยอยู่เหนือหัวของศัตรู แต่ทว่าในตอนนั้นเองสันของดาบก็ลอยสวนทวนกลับมากระแทกอกเลทิเซียจนกระเด็น
ร่างเธอปลิวไปตกลงกับพื้น ก่อนจะกลับมาตั้งตัวได้ในทันที
“แบบนี้นี่เองแม้จะใช้เวทมนตร์หลอกได้ แต่ก็จะยังโจมตีต่อไปสินะ”
“แล้วก็ไม่ใช่ความสามารถ ‘ฟันโดนแน่นอน’ แต่เป็น ‘โดนดาบแน่นอน’ สินะ”
คำสองคำนี้เหมือนใกล้กันแต่ก็ห่างไกลกันสุดๆ เลทิเซียยิ้มออกมาจากมุมปาก ไคลน์หันมามองเลทิเซียด้วยความตกใจ
“นี่เธอเข้าใจเขตแดนโซลของฉัน.. ในการโจมตีครั้งเดียวงั้นเหรอ”
“ไม่รู้สิ”
เลทิเซียยิ้มออกมา เธอไม่รอช้า ขาก็ก้าวออกไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง
พริบตาเดียวพลันมาปรากฏอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับกำหมัดขึ้น วงแหวนเวทซ้อนทับกันขึ้นที่กำปั้น
“เวทดิน”
ไคลน์เบิกตากว้างตั้งการ์ดป้องกันเพราะวามเร็วเลทิเซียนั้นสูงเกินไป แต่ทว่าในตอนนั้นเองร่างเลทิเซียก็สลายกลายเป็นธุลี
ก่อนที่พื้นด้านหลังเขาจะก่อรูปร่างเป็นเลทิเซียแล้วก็ต่อยใส่กลางหลังอีกฝ่าย “กร็อบ” ร่างชายคนนั้นปลิวไปด้านหลังอย่างรุนแรง
“เวทสลับตำแหน่งนี่น่า โทษทีบอกผิดไปหน่อย”
เลทิเซียเข้าแผนเดิมโดยการปั่นประสาทอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายเหมือนจะยังไม่โกรธเรื่องที่เลทิเซียโกหก เขาหันมามองเลทิเซียด้วยความตกใจ
“หมัดเมื่อกี้.. ทำกระดูกข้าหัก นี่แขนเจ้าทำจากอะไร..”
เลทิเซียไม่ตอบ เวทเสริมกำลังเธอเป็นหนึ่งในความลับของตัวเธอไม่คิดจะบอกใคร พอเห็นเลทิเซียไม่ตอบเขาก็ถอนหายใจ
“ช่างเถอะ หากเจ้าไม่มีความต้องการที่จะบอ—”
ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดจบข้างหน้าของเขาก็พลันมีรอยแยกของมิติพร้อมจะฉีกร่างของเขา ไคลน์รีบถอยด้วยความตกใจ
“เจ้า!!”
ไคลน์คำรามเสียงต่ำ สนามตรงที่เขาอยู่ถูกกลืนหายไปในรอยแยกมิติ อีกฝ่ายโจมตีโดยไม่แม้แต่จะพูด แถมยังโจมตีตอนที่เขากำลังพูดอยู่
สำหรับนักรบคือความขี้ขลาด การลอบโจมตีน่ะ
“หึ ดูท่าข้าจะประเมินเจ้าสูงเกินไปสินะ”
เลทิเซียเบ๊ปาก พลางคิดว่าตัวเองผิดอะไร การต่อสู้ที่ไหนเขาใช้ปากสู้กัน แต่อย่างน้อยก็สำเร็จแล้วสินะที่ยั่วโมโหอีกฝ่ายได้
หลังจากเลทิเซียคิดอยู่พักหนึ่ง
“ฉันรู้จุดอ่อนของนายแล้ว แล้วก็นายตอนนี้ก็กระดูกหักด้วย ฉแันอยากแนะนำให้นายยอมแพ้เถอะนะ”
เลทิเซียพูดออกไปแบบนั้น ก็เธอต้องสู้อีกตั้งสี่ศึกนี่น่า เธออยากออมพลังไว้ด้วยนี่น่า แถมอีกฝ่ายก็กระดูกหักไปแล้ว
แต่อันที่จริงเลทิเซียไปทำให้อีกฝ่ายโกรธแล้วคงไม่มีทางจบลงด้วยดีหรอก เธอเองก็รู้เรื่องนั้นเลยขอใช้ประโยชน์จากจุดนั้นเลย