บทที่ 176 – เรื่องราวของเพื่อน
“ร้านนี้แหละ”
ในที่สุดพวกเราก็เดินมาถึงร้านอาหารที่อาจารย์เวโรเน่พูดถึงในที่สุด ก็สมกับเป็นร้านที่โด่งดังจริงๆ นั่นแหละ เพราะแค่ทางเข้าก็หรูหรา
ประดับประดาด้วยเวทมนตร์แสงระยิบระยับ และด้วยบัตรประจำตัวของอาจารย์เวโรเน่พวกเราก็สามารถลัดคิว
ไม่สิ ควรเรียกว่าเข้าได้แบบกรณีพิเศษ ถูกจัดให้อยู่ห้องระดับพิเศษเฉยเลย พอสเตฟานี่กับเซเรสเข้าทั้งสองก็แสดงท่าทางที่แตกต่างกันออกมา
สำหรับเซเรสเธออ้าปากค้างพร้อมกับตกตะลึง
ส่วนสเตฟานี่ก็แสดงท่าทางเหมือนอึดอัดให้อารมณ์ประมาณว่า “อ้า ข้าเข้ามาที่นี่ได้จริงๆ เหรอ” อะไรแบบนี้
“ว่าไปพวกเธอไม่เคยเข้าร้านแบบนี้เหรอ?”
ฉันถามออกไปแบบนั้น ฉันไม่รู้เลยนี่น่าว่าพวกเธอมาจากไหนกัน จะว่าไปอุตส่าห์เป็นเพื่อนกันแล้ว มีแต่พวกเธอรู้จักเรื่องของฉันฝ่ายเดียวเนี่ย
มันดูไม่ยุติธรรมเลยสิ..
“ข้าไม่เคยเข้าหรอก… ปกติท่านพ่อจะเอาอาหารใส่จานแล้ววางไว้หน้าห้องข้าแค่นั้นแหละ…”
เซเรสพูดด้วยน้ำเสียงขอไปที ถึงสิ่งที่เธอพูดออกมาจะเป็นเรื่องที่ดูน่าสงสารมากก็เถอะนะ มันให้อารมณ์ประมาณว่าเหมือนเธอเป็นสุนัขที่เลี้ยงไว้เลย
มันปกติของโลกใบนี้เหรอ? ขณะคิดแบบนั้นสเตฟานี่เองก็ตอบกลับมา
“ครอบครัวข้าเองก็เป็นขุนนาง.. แต่พวกเราตกอับลงมาจนท้ายที่สุดแม้จะมีฐานะขุนนางอยู่ แต่ทว่าขนาดคฤหาสน์ยังไม่เหลือเลย”
“อาณาเขตปกครองพวกเราถูกกดดันจากตระกูลอื่นจนท้ายที่สุดเหลือแผ่นดินเป็นของตัวเองแค่ไม่กี่ไร่..”
เธอพูดพึมพำ อันที่จริงเหมือนเธอไม่ได้บอกเล่าให้ฉันฟัง แต่เธอกำลังทบทวนกับตัวเองมากกว่า
ทุกคนก็มีปัญหาเป็นของตัวเองล่ะนะ สำหรับฉันที่เป็นนอกคงจะไปพูดว่าสู้ๆ นะ หรืออย่ายอมแพ้คงไม่ได้เพราะว่าตัวฉันไม่ได้แบกรับปัญหาของเธอ
และแน่นอนว่าเธอเองก็ไม่ได้แบกรับปัญหาของฉัน ดังนั้นหากเราจะไปพูดให้กำลังใจคนอื่นโดยที่ยังไม่เข้าใจถึงปัญหาเขาคนนั้น
มันก็เหมือนการทำแบบขอไปที ถึงจะรู้สึกว่าอยากเอาใจช่วย แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่เข้าใจแม้กระทั่งความเหนื่อยล้าของคนคนนั้นเลย
“อ๊ะ ขอโทษค่ะที่ทำให้บรรยากาศมันแย่ลง..”
“ไม่เป็นไรหรอก หากมีปัญหาอะไรก็มาระบายกับฉันได้นะ พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่น่า”
“ท่า— เลทิเซีย..”
“อื้อ!”
เซเรสกับสเตฟานี่ทำหน้าซึ้งน้ำใจ ฉันไม่รู้หรอกว่าปกติคนเป็นเพื่อนเขาจะไปบอกว่าสู้ๆ นะ กับคนที่มีปัญหาอะไรแบบนั้นหรือเปล่า
แต่สำหรับฉัน.. ฉันแค่คิดว่าการให้พวกเธอมาปลดปล่อยระบายความเครียดสั่งสมให้ใครสักคนฟัง และใครสักคนนั้นก็นั่งฟังอย่างตั้งใจ
เพราะในบางครั้ง สำหรับฉันก็ต้องการแค่ใครสักคนมานับฟังฉันปลดปล่อยและระบายความเครียดออกมาเท่านั้นเอง
ฉันเลยคิดว่านั่นคือทางเลือกที่ดีที่สุด.. และแน่นอนว่าในฐานะที่เป็นเพื่อนฉันก็อยากจะแนะนำสิ่งที่ดีที่สุดให้อยู่แล้ว..
นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันพูดออกไปแบบนั้น และพวกเธอดีใจแค่นั้นฉันก็รู้สึกโล่งอกแล้วล่ะ
“จ้อกกกก~”
ไม่รู้ว่าในวินาทีถัดมาเป็นความบังเอิญแบบไหนท้องพวกเราร้องพร้อมกัน ทำให้ทุกคนแม้แต่ฉันก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
หลังจากมองหน้ากันสักพักก่อนจะหัวเราะออกมาและเริ่มสั่งอาหารพร้อมกับรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
น่าแปลกที่ปกติฉันจะกินอาหารตามร้านไม่ได้เพราะกลัวมีพิษแม้จะพยายามฝืนกินก็คงอ้วกออกมาหลังจากทานเข้าไป
แต่ฉันในตอนนี้กำลังทานอาหารโดยลืมความหวาดระแวงทั้งหมดทิ้งไป และสิ่งที่ตามมามีเพียงความสุขจากรสชาติอาหารที่ไม่ได้รับรสมานาน
ความสุขจากการนั่งทานข้าวกับใครสักคนที่เป็นคนสำคัญชองชีวิต และในห้องนี้มีแค่พวกเรา..
สนุก.. เสียงเพลง แสงไฟ จากร้านอาหารก็ทั้งดังและงดงามทำให้พวกเรารื่นรมย์ไปกับบรรยากาศเช่นนี้ทั้งมีการพูดคุยบนโต๊ะอาหาร
ซึ่งปกติฉันทำไม่ได้.. ในฐานะองค์หญิงต้องรักษามารยาท รักษาหน้าตา… ต้องมีสติ แต่ครั้งนี้.. แค่ครั้งนี้
ฉันรู้สึกว่าเหมือนได้ย้อนกลับไปในอดีตชาติ.. ที่เคยนั่งกินข้าวกับพี่เอลน่า. แล้วก็ลูเซียมันก็สนุกแบบนี้เหมือนกัน
แต่คราวนี้กลับแตกต่างออกไป อาจจะเป็นเพราะว่าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่ใช่พี่น้อง.. แต่เป็น ‘เพื่อนต่างหาก’
เซเรสยิ่งสนุกมาก เธอร่าเริงหยิบช้อนขึ้นมาร้องเพลงตามเพลงจองร้านอาหารที่ไม่เคยฟังจึงมีเพียงเสียงครวญคราง
พวกเรายิ้มด้วยกัน พวกเราหัวเราะด้วยกันและพวกเราก็สนุกไปพร้อมๆ กัน.. ฉันในตอนนี้มีความสุขมาก .
นี่สินะ. คือเพื่อน… เพื่อนมันดีแบบนี้นี่เอง…
“ดูเหมือนจะหลับไปแล้วนะคะ”
หลังจากนั้นไม่นาน เซเรสก็นอนหลับบนตักของสเตฟานี่ด้วยหน้าที่ใสซื่อบริสุทธิ์ สเตฟานี่ลูบหน้าของเซเรสเบาๆ
ฉันเองก็มองไปที่เซเรสไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่จะมองกี่รอบเธอก็หน้าตาคุ้นๆ พอสเตฟานี่มองเห็นฉันเธอก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า
“หวังว่าเธอคงไม่ลืมเรื่องของท่านนะ..”
“เอ๋ หมายความว่าไง?”
จู่ๆ สเตฟานี่ก็พูดแบบนั้นออกมาทำให้ฉันรู้สึกสับสน สเตฟานี่มองมาที่ฉันก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เซเรส.. สักวัน.. เธอจะสูญเสียความทรงจำไปทั้งหมดและกลายเป็นคนไม่มีสติค่ะ..”
“เอ๊ะ…?”
เดี๋ยวก่อนนะๆ มันหมายความว่าไง ฉันแสดงสีหน้าสับสนออกไปเหมือนสเตฟานี่จะสังเกตเห็นเช่นกันเธอเลยอธิบายต่อไป
“เซเรสน่ะเป็นโรคประหลาดค่ะ.. ข้าสังเกตเห็นตั้งแต่พวกเรารู้จักกันแรกๆ .. เธอน่ะเป็นคนที่ฉลาด.. ฉลาดจนเกินจะเรียกว่าเป็นอัจฉริยะด้วยซ้ำค่ะ”
“เพราะว่าเธอ.. สามารถแทรกแซงได้แม้แต่เวทมนตร์ของพาลาดิน.. ทำให้สามารถสร้างพันธสัญญาโซลได้ก่อนใครเพื่อนค่ะ”
“…..”
ฉันพูดไม่ออกเล็กน้อย การที่จะสามารถแทรกแซงพวกเวทมนตร์ระดับโครงสร้างแนวคิดเนี่ย… ไม่ใช่อัจฉริยะแล้วมั้ง
ถ้าไม่เข้าใจโครงสร้างของแนวคิดสิ่งหลักที่มีแนวคิดนี้ มีไว้เพื่ออะไร ทำไมถึงมี อะไรทำนองนั้นก็ทำไม่ได้.. ซึ่งฉันเองก็ทำไม่ได้หรอกนะจะบอกให้..
“แต่ว่ามันต้องแลกกับการที่เธอมีสติไม่สมบูรณ์ค่ะ..”
พอสเตฟานี่พูดแบบนั้นออกมา เซเรสก็ยกมือกุมหัวพร้อมกัดฟันจนเสียงดัง คิ้วขมวดเหมือนกำลังปวดหัวทรมานอยู่
“เซเรส..”
ฉันกำลังจะขยับเข้าไปไกลแต่สเตฟานี่ยกมือขึ้นห้ามฉันไว้ เธอพูดขึ้นเบาๆ ว่า..
“เราไม่ควรหยุดเธอ.. เพราะหากหยุดเธอไว้ตอนนี้เธอคงทำอย่างอื่นนอกจากกัดฟัน—”
“กร็อบ!”
ก่อนที่สเตฟานี่จะได้พูดจบ ฟันของเซเรสก็แตกหักเพราะแรงกัดของเธอ สเตฟานี่ยกมือขึ้นแล้วก็ใช้เวทมนตร์บางอย่าง
ก่อนที่ฟันของเซเรสจะถูกรักษา สเตฟานี่หันมาพูดกับฉันต่อ..
“งั้นฉันเล่าต่อนะคะ.. ฉันให้เธอไปให้หมอในโรงเรียนตรวจสอบดูแล้ว.. รู้สึกว่าเธอจะมีโรคประหลาดบางอย่างที่ทำให้สมองทำงานไม่คงที่”
“และยิ่งเวลาผ่านไป สมองมันจะยิ่งเสื่อมสภาพลงในที่สุด.. จนท้ายที่สุดเธอก็จะจำอะไรไม่ได้..”
“ในตอนแรกที่พวกเราพบกัน เธอน่ะจำได้ดีว่าพ่อตัวเองชื่ออะไร ว่าแม่ชื่ออะไร ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน…”
“แต่ตอนนี้เธอจำไม่ได้แล้วสักอย่าง.. นิสัยก็ก้าวร้าวขึ้นเรื่อยๆ ยังดีแค่ไหนที่เธอยังจำว่าตัวเองมีพ่อได้…”
“และข้าคิดว่าอีกไม่นาน… สมองก็คงเสื่อมสภาพ”
เธอพูดออกมาเบาๆ ฉันคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น
“การรักษาล่ะ ใช่? ลองรักษาดูหรือยั—”
“ไม่หายค่ะ.. ไม่สิ.. มันรักษาไม่ได้แล้ว มันสายเกินไปแล้วค่ะ แม้ว่าพวกเราจะซ่อมแซมสมองได้แต่ก็ฟื้นฟูการเสื่อมถอยไม่ได้และหากรักษาไปในตอนนี้”
“คงมีแต่จะทำให้เธอเสียสติไปเร็วขึ้นเท่านั้นค่ะ…”
“….”
ฉันนิ่งเงียบไป ความรู้สึกปวดหน้าอกประดาเข้ามา ในตอนนั้นสายตาของสเตฟานี่ก็จ้องมองมาที่ฉัน
ฉันรู้จักสายตานั้นดี.. ใช่ รู้จักมันดีเลยแหละ สายตาที่สิ้นหวังราวกับโลกใบนี้พังทลายลงไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาสเตฟานี่มองดูเพื่อนตัวเองค่อยๆ พังทลายลงไปอย่างต่อเนื่อง.. จนท้ายที่สุดก็ดับสลาย…
ความเจ็บปวด ความอึดอัด ความรู้สึกมากมายอัดแน่นในอก ดวงตานั้นจ้องมาที่ฉันแล้วถามขึ้น
“เลทิเซีย.. ทำไมคนที่มาเจออะไรแบบนี้ต้องเป็นเซเรสด้วย?”
“เซเรสเธอทำอะไรผิด เธอทำอะไรให้ใครโกรธแค้นกัน?”
“เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่งเท่านั้น”
“ทำไม.. พระเจ้าถึงได้ทำกับเธอแบบนี้…?”
………
[กลิ่นตุๆ มีอะไรแปลกๆ ? – ใครสักคน]
MANGA DISCUSSION