การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 17
บทที่ 17 เวทปีศาจและจอมมาร
ในห้องลาน่าไม่มีอะไรมาก นอกจากเตียงอันหนึ่งแล้วก็โต๊ะและเก้าอี้ทำงานแค่นั้นแหละ พอฉันเดินเข้ามาก็ได้กลิ่นของลาน่า
อืม.. จะว่าไปตั้งแต่เกิดมานอกจากครอบครัวตัวเองในชาติที่แล้ว ก็ไม่เคยเข้าห้องใครเลยนี่น่า
ก็นะ ขนาดในโลกนี้นอกจากตอนนอนกับท่านแม่ตอนเด็กๆ ก็ไม่เคยเข้าห้องใครเลยด้วยสิ
แหงแซะ ใครจะไปยอมเข้าห้องคนอื่นที่อาจจะซ่อนกับดักอย่าง เลเซอร์ตรวจจับอะไรทำนองไว้เลยนะ
ถึงโลกนี้จะไม่มีวิทยาการแบบนั้นก็เถอะ แต่ต้องมีเวทมนตร์ที่ใช้ทำแบบนั้นแน่ๆ ด้วยเหตุนี้ฉันเลยค่อนข้างระวังตัวเมื่อเข้ามา
ลาน่าเธอเดินไปเตียงตัวเองแล้วก็ตบที่นั่งข้างๆ แบบนี้บอกให้ฉันไปนั่งอยู่ใกล้ๆ สินะ อืม.. นี่มันอาจจะเป็นกับดักก็ได้น้า
คิดแบบนั้นก็เดินไปนั่งข้างๆ ลาน่าซะแล้ว อะเด๊ะ.. ไอ้นี่มันอะไรเนี่ย ทำไมจู่ๆ ฉันก็เดินมานั่งโดยอัตโนมัติ
ร..หรือว่าฉันกำลังโดนควบคุมร่างกาย?!
ไม่สิ.. นี่มันแค่เพราะฉันต้องการข้อมูลนี่น่า.. ช่างเถอะฉันแค่ระวังตัวมากกว่าเดิมสักสิบเท่าพอแล้วล่ะ
เพราะเธอเป็นที่พึ่งเดียวในตอนนี้นี่น่า ถึงจะเป็นมือสังหารแต่ก็ต้องใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ฉันรู้สึกว่าตัวเองเนี่ยรอบคอบดีจริงๆ พอคิดแบบนั้นก็หันไปหาลาน่า
“แล้วมันยังไงเหรอ?”
“อืม.. จะเริ่มจากตรงไหนดี?”
เธอตอบแบบนั้นก็หยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋า หนังสือเล่มนี้มีสัญลักษณ์วงเวทสีดำ อืม ให้อารมณ์เหมาะกับคำว่าปีศาจดีแฮะ..
“เริ่มจากหนึ่งเลย”
ฉันตอบไปแบบนั้น ก็แน่สิ ถ้าไม่เริ่มจากหนึ่งจะรู้เรื่องเหรอ ลาน่าคิดอยู่พักหนึ่งเธอก็เปิดหนังสือขึ้น เธอเริ่มอธิบายให้ฉันฟัง
สรุปง่ายๆ เลยก็คือ เวทมนุษย์คือการแทรกแซงกฎธรรมชาติ พลังแฟร์รี่คือการใช้กฎธรรมชาติโดยตรง
พลังเวทปีศาจก็คือการอยู่ระหว่างกึ่งกลางของสองอย่างนี้! ว่ากันจริงๆ พลังเวทปีศาจระดับเริ่มค้นจะอยู่เหนือกว่าพลังการแทรกแซงระดับเริ่มต้นเหมือนกัน
เพราะถ้าจะเปรียบเทียบ การใช้พลังเวทในการแทรกแซงกฎธรรมชาติ คือการฉายความรู้เข้าไปยังกระจกและสะท้อนมันให้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
แต่สำหรับเวทปีศาจคือการ ‘สร้าง’ มันขึ้นมา แต่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับ ‘แฟร์รี่’ เพราะมันไม่ใช่การสร้างกฎขึ้นมา
มันเพียงสร้างสิ่งสิ่งนั้นปราศจากตรรกะใดๆ .. เช่น ไฟ โดยกฎเกณฑ์ธรรมชาติการจะสร้างไฟขึ้นมาจำเป็นต้องการหลักการทางธรรมชาติ
องค์ประกอบทั้งสามของไฟ
แต่ว่าสำหรับเวทปีศาจ ต่อให้อยู่ในพื้นที่ปราศจากสิ่งเหล่านั้นก็จะ ‘สร้าง’ มันขึ้นมาโดยตรง การสร้างและการแทรกแซงมันต่างกันราวฟ้ากับเหว
อย่างที่ทราบการจะสะท้อนให้เกิดความจริง จำเป็นต้องมีความรู้
แต่ทว่าสำหรับเวทมนตร์ปีศาจนั้น คิดจะสร้างก็คือสร้าง เพราะมันคือไฟ ไฟก็คือไฟ มีหน้าที่ในการเผาทำลาย ไม่มีมากเกินไปกว่านั้น
นั่นแหละคือเวทมนตร์ปีศาจ
“ดูง่ายไปเลยแฮะถ้าเทียบกับเวทมนตร์ของมนุษย์”
ฉันพูดออกมาตรงๆ ก็มันจริงนี่น่า มันจะง่ายจนน่าอิจฉาไปแล้ว แต่ว่าเวทมนตร์ปีศาจนี่สู้เวทมนตร์แฟร์รี่ไม่ได้จริงๆ สินะ
สุดยอดจริงๆ เวทมนตร์แฟร์รี่เนี่ย ฉันเองก็อยากได้บ้างจัง ถ้าใช้ได้นี่คงไม่มีใครทำอะไรฉันได้เลยนะ
“มันก็ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียวหรอกนะคะ”
ลาน่าที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็หยุดเปิดหนังสือหันมามองฉันด้วยสายตากึ่งยิ้มไม่เชิงยิ้ม ทำให้ฉันงงทันที
“หมายความว่าไงเหรอ?”
เธอไม่ได้ตอบฉัน เธอเปิดหนังสือข้ามไปหลายหน้า จนเห็นหน้าหนึ่งมีรูปของสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันอยู่ถึงสิบสองสิ่งมีชีวิต
“สำหรับเหล่าปีศาจ แม้จะมีจำนวนเวทมหาศาลและหากเทียบระดับเริ่มต้นของทั้งสองเผ่า ปีศาจจะเหนือกว่า แต่ขั้นตอนการพัฒนาพลังเวทยากกว่ามนุษย์นัก”
“เอ๋?”
คำพูดของเธอทำเอาฉันงง ไม่ใช่ว่าเวทมนตร์ปีศาจนี่เกิดมาแล้วคือมีเท่าไหนก็เท่านั้นเหรอ?
ก็ฉันมันมีเยอะสุดๆ เลยนะ คือถ้าจินตนาการไม่ออก ฉันสามารถสร้างพรมแบบที่เคยวิ่งทีไปสุดขอบทวีปได้เรื่อยๆ แบบไม่ต้องพักได้ตลอดเลยล่ะ
ถ้าจะให้อธิบาย พลังเวทปีศาจในตัวฉันคงใกล้เคียงกับคำว่า ‘ไร้ที่สิ้นสุด’ เลยล่ะ. นี่มันจะเพิ่มยังไงหว่า?
เธอเห็นท่าทางของฉันเลยอธิบาย
“พลังเวทปีศาจแรกเริ่มเกิดมา จะมีระดับเริ่มต้นเหมือนมนุษย์ที่มีความรู้เป็นศูนย์.. แต่หากจะเทียบกับพวกที่มีความรู้ระดับต่ำในเผ่ามนุษย์จริงๆ ก็สู้ไม่ได้อยู่ดี”
“และการจะเพิ่มพลังเวทเพื่อไปยังระดับต่อไปคือการ ฝึกทางกายภาพหรือทางภายใน (เวทมนตร์) ฝึกทางกายภาพคือการฝึกยังไงก็แล้วแต่ที่ทำโดยกายภาพ เช่นการกลืนกินพลังเวทคนอื่น กลืนกินมอนสเตอร์.. หรือแม้แต่การออกกำลังกายก็เช่นกัน”
“ส่วนภายในคือการ ใช้พลังเวทให้บ่อย อาจจะใช้จนพลังเวทแทบหมดตัวเพื่อขยายขีดจำกัด หรือการใช้พลังเวทเพื่อทำลายขีดจำกัดเวทซึ่งอันตรายถึงชีวิต”
เอ๋..อันตรายถึงชีวิตเลยเรอะ?! ทำไมข้อมูลไม่มีในหัวเลยเนี่ย ยัยเทพธิดาไม่ให้ข้อมูลสำคัญแบบนี้อีกแล้ว น่าโมโหชะมัดเลย
(อนึ่ง เป็นเพราะเผ่าปีศาจคือเผ่าที่ไม่ได้มีมาตั้งแต่โลกถือกำเนิดเฉกเช่นมนุษย์หรือ เผ่าบางเผ่า)
เกือบไปแล้ว เกือบไปแล้ว เกือบจะใช้พลังปีศาจมั่วซั่วแล้ว ดีนะที่ยังไม่ค่อยใช้เท่าไหร่ ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่เหมือนคำอธิบายจะยังไม่จบ
“นอกจากนี้การฝึกของปีศาจยังแบ่งออกเป็นสองแบบ แบบแรกคือการเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังเวท มันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของพลัง.. ซึ่งสามารถเพิ่มความแรงได้เทียบเท่ากับเวทมนตร์แฟร์นี่ได้เลยทีเดียว!”
“?!”
มันโหดขนาดนี้เลยเรอะ แบบนี้ก็ควรค่าแก่การฝึกสิ ฉันยิ้มออกมา ได้ไพ่ตายในการเอาชีวิตรอดอีกแล้ว ฮ่าๆ
“แบบสองคือการฝึกเพิ่มจำนวน เหมือนที่เคยกล่าวไป”
“และผู้ที่สามารถไปถึงระดับสูงสุดของสองอย่างนี้ได้จะมีสิทธิ์ในการท้าชิงตำแหน่งจอมมาร และช่วงชิงพลังแห่งจอมมารมาได้ ซึ่งในโลกนี้จอมมารนั้นมีได้เพียงแค่สิบสองคนเท่านั้น”
ฉันถึงกับอ้าปากค้าง เวทมนตร์เทียบเท่ากับแฟร์รี่นี่ไม่ใช่ระดับสูงสุดเรอะ จอมมารนั่นเหนือกว่านั้นอีกเหรอ?
แล้วฉันนี่เทียบเท่าระดับไหนเนี่ย ยังไงซะฉันก็เป็นเผ่าปีศาจ จะว่าไปฉันก็มีพลังเวทค่อนข้างเยอะตั้งแต่กำเนิดนี่น่า ด้วยความสงสัยฉันเลยถามออกไป
“สิทธิ์ท้าชิงที่ว่านี่มันยังไงเหรอ?”
“ก็แบบ หากฝึกจนถึงจุดสูงสุดแล้ว.. จะสามารถตอบสนองต่อจอมมารคนใดคนหนึ่งที่เราสามารถสืบทอดพลังต่อได้ ที่เหลือเพียงก็แค่ไปยึดพลังมาก็แค่นั้น”
ฉันพยักหน้าตอบ.. งี้ก็คือฉันยังเทียบเท่าจอมมารไม่ได้เลยสินะ ถ้าเทียบได้อย่างน้อยต้องตอบสนองต่อพลังจอมมารคนใดคนหนึ่ง
งั้นหมายความว่าพลังฉันในตอนนี้เทียบแม้แต่เวทมนตร์แฟร์รี่ยังไม่ได้ละสิ.. เดี๋ยวนะ หรือว่าพลังเวทที่ฉันมีอยู่มันเทียบกับระดับเริ่มต้น?!
ไม่สิหากเทียบกับระดับเริ่มต้นของมนุษย์มันเหนือกว่าเกินไป งั้นคงอยู่ระดับกลางๆ สินะ แล้วกลางๆ นี่ประมาณไหนกันละ
อ๊ากกกกก
ฉันดันเผลอคิดไปว่าตัวเองเก่งแล้วซะได้ โลกใบนี้มันคือโลกอันโหดร้ายนี่น่า ไม่มีทางที่จะโรยด้วยกลีบกุหลาบให้ฉันอยู่แล้ว
พลังเวทปีศาจ อย่างน้อยก็ต้องมีพลังเวทระดับแฟร์รี่!
พลังการแทรกแซงก็ต้องมากกว่านี้!
ต้องพยายามติดต่อกับเหล่าภูตเพื่อยืมพลังด้วย!
ฉันตัดสินใจแล้ว จะรีเซตมุมมอง.. ฉันเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อาจจะมีพลังกลางๆ ความสามารถกลางๆ ต้องพยายามมากกว่านี้!
…………
ข้า ลาน่า.. เป็นซัคคิวบัสที่ท่านจอมมารได้ส่งมาคอยดูแลองค์หญิงเลทิเซียในแดนมนุษย์ มันเป็นแผนของท่านจอมมาร
แน่นอนว่าแม้องค์หญิงจะไม่ใช่องค์หญิงเพราะต้องถูกปล่อยทิ้ง แต่ตามยศและฐานะ เธอคือคนที่มีสิทธิ์สืบทอดบัลลังก์จอมมารมากกว่าน้องชายของเธอ
หรือก็คือยังไงซะเธอก็ยังเป็นองค์หญิงนั่นแหละ
แต่ทว่า… ถึงแม้จะบอกไปว่าจอมมารมีสิบสองคนก็เถอะนะ..
“แต่ท่านเลทิเซีย.. เป็นจอมมารคนที่สิบสามนี่น่า”
………….