การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 133
บทที่ 133 – แฟลกที่หนึ่ง
ข้าชื่อทสึรุ.. อย่างที่ทุกคนรู้ว่าข้าเป็นเผ่าอสูรประเภทมนุษย์ ไม่มีครอบครัว แต่เพราะความช่วยเหลือของผู้อำนวยการทำให้ข้าถูกรับมาเลี้ยง
แต่เพราะถูกคนมากมายสงสารทำให้ข้าไม่พอใจชีวิต ไม่พูดกับใครไม่เจอหน้าใคร จนได้มาเจอกับเลทิเซีย
เธอต่างจากคนอื่น แม้เธอจะเป็นผู้หญิงเหมือนกับข้า แต่ข้าก็ตกหลุมรักเธอไปซะแล้ว และเหตุการณ์มากมายทำให้พวกเราสนิทกันและ…
ข้าตื่นขึ้นมาจากความฝันพบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่แปลกๆ
“ที่นี่มัน..?”
ข้ากำลังงัวเงียและสับสนกับสถานการณ์ตรงหน้า จู่ๆ ก็มีรอยแยกขึ้นกลางความว่างเปล่าตรงหน้าก่อนที่เลทิเซียจะเดินเข้ามา
พอเธอมองเห็นข้า เธอก็ตกใจและรีบกรูเข้ามาหาข้าด้วยสีหน้าเป็นห่วง เธอเดินเข้ามาจับไหล่จับตัวข้าพร้อมพูด
“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า รู้สึกไม่ดีตรงไหนไหม?”
“เอ่อ… ข้า..”
ข้ามองสีหน้าของเลทิเซียแล้วก็สับสนเล็กน้อย ถึงก่อนหน้าจะเห็นแล้วว่าเลทิเซียเธอเป็นคนที่น่ารักและน่ากอด
รวมถึงน่าสงสารในเวลาเดียวกัน ต่างจากตอนปกติที่ไม่ค่อยชอบแสดงออกผ่านทางสีหน้าเท่าไหร่
แต่พอมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เลทิเซียที่ออกอาการเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ก็ทำให้ข้าสับสนอยู่มาก
แต่ว่านะ.. เปลี่ยนไปเยอะแฮะ ข้าพนันได้เลยว่าถ้าเป็นก่อนหน้านี้เลทิเซียคงทิ้งระยะห่างไว้ก่อนแน่นอน
พอข้าคิดแบบนั้นก็อดที่จะรู้สึกดีใจไม่ได้.. บางทีเลทิเซียอาจจะแค่ต้องการใครสักคนมาอยู่ข้างกายเท่านั้น
เพียงแต่ว่าภายในความโดดเดี่ยวและเปล่าเปลี่ยวซึ่งต้องการใครสักคนมาอยู่เคียงข้าง เป็นที่ปรึกษาหรือเป็นที่พักพิงนั้น
มีความหวาดระแวง มันเป็นมาตั้งนาน อาจจะเป็นมาตั้งแต่เกิด.. ความขัดแย้งแบบนี้ข้าก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี
มันก็เหมือนมีน้ำกับไฟอยู่ในแก้วเดียวกันเวลาเดียวกันละมั้ง มันไม่ได้สร้างความสมดุลแต่มันจะทำลายแก้วนั้นแทน
ข้าก็ไม่ได้รู้จักเรื่องธรรมชาติของคนซะด้วยสิ … ข้าเป็นคนโชคดีที่ไปอยู่ข้างๆ เลทิเซียสินะ
แต่แบบนี้เรียกว่าเลทิเซียเองก็รักข้าแล้วหรือเปล่าหว่า? อืม.. ไม่รู้แฮะ แต่ว่าจะยังไงก็ตามแต่ตอนนี้ข้าสามารถถอนหายใจได้แล้วสินะ
ข้ากอดเลทิเซียที่กำลังแสดงสีหน้าเป็นห่วง
“เอ่อ.. ทำอะไรของเธอเนี่ย..”
“เลทิเซีย.. รู้ไหมว่าข้าเศร้าขนาดไหน.. ตอนที่เจ้า..”
“….”
เธอไม่ได้ตอบข้า พวกเราอยู่แบบนั้นเงียบๆ กันไปพักใหญ่จนกระทั่งมีเสียงแปลกใจมาจากทางด้านหลังเลทิเซีย
“ว้าว นี่มันมิติพิเศษ ต่างจากของนายท่านคนก่อนของข้าเลยนี่น่า?”
ข้าตกใจ ต้องรีบดึงแขนออกมาทันที … คนที่ลอยเข้ามามีสีผมดำสนิทคล้ายกับสีผมของเลทิเซียแต่ว่าของเธอคนนี้สีดำมันไม่สะท้อนแสงเลย
“เจ้าฟื้นแล้วเหรอ?”
“เจ้าเป็นใคร?”
ข้ามองร่างที่ลอยเข้ามาด้วยสีหน้าสงสัย เลทิเซียเป็นคนที่ไม่ใช่ประเภทที่จะแนะนำตัวให้คนอื่นข้าเลยถามเธอไป
แต่จากท่าทางคงไม่ใช่คนเพราะตัวกึ่งโปร่งใส อาจจะเป็นภูตผีอะไรทำนองนั้นมั้ง แต่ดูไม่ชั่วร้ายเลยนี่น่า
แต่เหมือนเลทิเซียก็พูดขึ้นด้วยความเร่งรีบ จริงสิ.. ยังมีเจ้าศัตรูตัวเบิ้มกับไอ้เงาแปลกๆ นั่นอยู่นี่น่า
ข้ารีบออกจากมิติแปลกๆ นี้พร้อมเลทิเซียและภูตผีประหลาด แต่พอข้ากำลังคิดว่าจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการรบนั้น
จู่ๆ ข้าก็รู้สึกถึงบางอย่างได้ แต่เพียงแค่ชั่วแวบเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย พอข้าออกมาเลทิเซียก็พามุ่งหน้าทันที
แต่ไม่ยักจะเจอศัตรูตัวฉกาจเลย ข้าเลยถามออกไป ภูตผีประหลาดก็ตอบข้าและพวกเราก็แนะนำตัวกันเสร็จสรรพ
แบบนี้นี่เอง ดูเหมือนว่าเลทิเซียกับไวท์จะกำจัดเสร็จแล้วถึงจะไม่รู้รายละเอียด แต่ก็สมกับเป็นเลทิเซียเลยนะ
“ว่าแต่เจ้าใช้หอกวารีนั่นได้ยังไงน่ะ?”
“หอกวารี..? มันคืออะไร?”
ข้าสับสนเล็กน้อยกับชื่อที่ไม่คุ้นหู ข้าใช้หอกไม่เป็นสักหน่อย เอ๊ะ จะว่าไปก่อนหน้านี้ข้าก็… ใช่.. ข้าใช้หอกสีฟ้าแปลกๆ
“ก็หอกที่ใช้ตอนนั้นนั่นแหละ เจ้าไม่รู้จักเหรอ?!”
“ไม่รู้จักสิ จู่ๆ มันก็โผล่มาจากไหนไม่รู้เนี่ย!”
“แต่ทำไมนายท่านถึงรู้จักล่ะ นายท่านก็เป็นแค่นักเรียนธรรมดาเหมือนกับเธอไม่ใช่เหรอ ข้านึกว่าจะรู้กันทั่วไปซะอีก”
เจ้าคนที่ชื่อไวท์พูดอย่างงุนงง เธอคนนี้ยังไม่รู้จักความสุดยอดของเลทิเซียสินะ ข้าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงภูมิใจ
“ต่อให้เลทิเซียรู้ ก็ไม่ได้แปลว่าข้าต้องรู้ด้วยนี่น่า เลทิเซียเธอน่ะรู้ทุกอย่างแหละ ไม่ว่าจะเป็นเวทมนตร์ หลักการ ทุกอย่างเลยนะ ขนาดตอนนั้นคุณครูพูดเรื่องทฤษฎีสปินอะไรสักอย่าง เธอแย้งคุณครูด้วยกฎอะไรสักอย่างจนชนะมาเลย แถมเธอยังสามารถอธิบายในรูปแบบอื่นที่ถูกต้องกว่าได้ด้วย รู้ไหมว่าข้าหมายถึงอะไร เธอหัวดีกว่าหนังสือเรียนที่ถูกคิดขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์ซะอีก!”
“ข้ายังไม่พูดถึงเรื่องเวทมนตร์นะ ตอนทดสอบเวทมนตร์ครั้งแรก เธอเล่นแทรกแซงน้ำแข็งศูนย์สัมบูรณ์โดยตรง ใครจะไปทำแบบนั้นได้ล่ะ?!”
ข้าพูดขึ้น ถึงจะรู้จักกับเลทิเซียแต่ก็ยังไม่รู้จักความสุดยอดของเธอสินะ ข้อมูลพวกนี้คือข้อมูลที่ข้าหามาได้อย่างยากลำบากเชียวนะ
ไอ้เรื่องแทรกแซงน้ำแข็งอะไรนั่น ข้อมูลโดยละเอียดต้องซื้อเอาด้วย ข้อมูลจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาเวทมนตร์อย่างมากด้วย
ถึงข้าไม่รู้จักเวทมนตร์ก็ยังรู้สึกว่าสุดยอด.. แน่นอนว่าคนแบบข้าก็มีเยอะที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้แต่ก็อยากจะรู้เรื่องของเลทิเซีย
รู้สึกว่าพวกแฟนคลับของเลทิเซียต้องมีข้อมูลนี้ทุกคนด้วยนะ ไม่งั้นจะโดนเตะออกกลุ่ม นี่คือความสุดยอดของเลทิเซียยังไงล่ะ
“แล้วเธอจะทำหน้าภูมิใจในตอนที่กำลังพูดให้ตัวเองดูโง่กว่าคนอื่นด้วยล่ะเนี่ย แล้วยังจำชื่อทฤษฎีไม่ได้สักอันเลยไม่ใช่หรือไง!?”
“ขอแค่รู้ก็พอแล้ว ใจความสำคัญไม่ได้อยู่ที่เรื่องพวกนั้นสักหน่อยนี่น่า ใจความสำคัญคือเป็นเรื่องราวที่เลทิเซียเคยทำต่างหาก”
“ว่าแต่ระดับชั้นเรียนของพวกเจ้ามีสอนอะไรแบบแล้วหรือไง..?”
“บางครั้งห้องของพวกเราก็มีคนถามเรื่องเรียน และจู่ๆ ก็ลากยาวไปเรื่องของชั้นสูงแบบงงๆ ซึ่งคนที่เข้าใจในห้องเหมือนจะมีแค่ไม่กี่คนเอง”
“โรงเรียนนี่สอนชุ่ยไปไหนเนี่ย?!”
ข้ากับไวท์คุยกันไม่นาน ข้าก็รู้สึกว่าไวท์เป็นคนที่เข้าหาง่ายพอๆ กับน้องสาวของเลทิเซียเลยล่ะ
แถมเธอยังไม่มีสายตาสงสารอย่างที่คนอื่นมองข้าในตอนที่มองมาด้วย ทำให้ข้าสนิทกับเธอง่าย เหมือนไวท์เป็นเลทิเซียเวอร์ชั่นที่ไม่มีความระแวงเลย
แต่ว่าเดินทางมาสักพักแล้วเลทิเซียจะมุ่งหน้าไปไหนน่ะ ป่านี้ตอนแรกก็ว่าดูคุ้นๆ อยู่ แต่พอมองอีกทีก็จำได้ว่า ป่านี้คือป่าที่เคยเรียนมาในห้องเรียน
รู้สึกว่าจะเป็นป่าที่ตั้งอยู่บริเวณเขตไร้อาณาของโรงเรียนลิเบอร์ ถ้ามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกก็จะถึงโรงเรียน
แต่เลทิเซียดันมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ป่านี้ถูกเรียกว่าป่าชายแดน เป็นป่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดภายในเขตตะวันตกของทวีปเลย
มันเป็นป่าที่ว่ากันว่ากลางป่ามีภูตแห่งไม้อาศัยอยู่ละมั้ง ส่วนรายละเอียดที่เป็นตัวหนังสือข้าก็จำไม่ได้ แต่ถ้ายังมุ่งหน้าต่อไปต้องเจอกับทะเลแน่ๆ
ทะเลที่ล้อมรอบทวีปอยู่.. แต่เลทิเซียจะไปทำไมกันล่ะ? คนอย่างเลทิเซียไม่ใช่คนที่จะไปเถลไถลที่ไหนนี่น่า (เธอหลงทางจ้ะ)
(ทสึรุดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการจดจำภาพ แน่นอนว่าแผนที่ก็เป็นภาพ และคนที่ลืมเป็นเลทิเซีย)
“ว่าแต่พวกเราจะไปไหนกันเหรอ ไม่กลับโรงเรียนงั้นเหรอ?”
“นั่นสิ นายท่านจะไปไหนงั้นเหรอ?”
ด้วยความสงสัยข้าเลยถามขึ้น ดูเหมือนไวท์เองก็จะสงสัยเหมือนกันและเลทิเซียก็ตอบออกมาทันทีว่า “ไม่ต้องห่วง เรายังพอมีเวลาอยู่!”
พอเธอตอบมาแบบนั้น ต่อให้ข้าบ้าหรือไม่รู้จักเรื่องความรักเหมือนตัวเอกในนิยายที่ซื่อบื้อก็ต้องรู้ว่า.. เธอกำลังพาข้าเดท..
ก็เธอไม่ได้บอกว่าจะกลับ แถมยังมุ่งหน้าไปทางทะเลที่เป็นจุดพักผ่อนสุดสบาย อีกทั้งถ้าเธอไม่ได้มีความคิดที่จะเที่ยวเธอก็ต้องปฏิเสธออกมาตรงๆ ก็ได้ว่ายังไม่กลับ
หรืออะไรแบบนั้น แต่เธอไม่บอกตรงแต่ตอบแบบเลี่ยงๆ แถมยังบอกว่าพอมีเวลาว่างเหลืออยู่ ก็หมายความว่าเวลานี้คือเวลาเดทของพวกเรา
ยิ่งเป็นเลทิเซียแล้วเธอไม่มีทางบอกว่าจะชวนเดทแน่นอน เธอถึงได้ตอบแบบครึ่งๆ กลางๆ อายๆ .. สมกับเป็นเลทิเซียดี
ไม่ยอมกลับ ไปทะเลและบอกว่ายังพอมีเวลาเหลืออยู่… ดูยังไงก็เป็นการชวนเดท!
นี่แสดงว่าเธอเองก็รักข้าแล้วสินะ!! พอคิดได้แบบนั้นหน้าข้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เลทิเซีย..เป็นคนพาเดทเอง…นี่มันข้ากำลังฝันอยู่หรือเปล่า?!
……