การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 130
บทที่ 130 – ร่างมาร [จบภาค]
ดาบในมือของเลทิเซียตวัดแทงออกไป นี่คือโอกาสเพียงเสี้ยววินาทีที่หาได้ยากยิ่ง ซึ่งเลทิเซียทราบถึงสิ่งนี้
เนื่องจากพลังทั้งหมดของดาบได้กลับคืนมาหมดแล้ว นอกจากนี้สิ่งหนึ่งยังปรากฏขึ้นมาพร้อมกับที่ดาบเล่มนี้สมบูรณ์แบบ
มันคือวิชาดาบอย่างหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ‘วิชาดาวไร้ลักษณ์’ ที่เงาร่างพร่าเลือนนั่นเคยใช้! ท่าที่ควรจะใช้พร้อมกับพลังแห่งความมืดและสายฟ้าในตอนนี้
คือท่าที่ถูกเรียกว่า ‘ผ่าดาวไร้ลักษณ์’ เป็นกระบวนท่าที่เมื่อดาบแตะสัมผัสกับสิ่งใดก็ตามก็จะถูกตัดแยก ต่อให้นั่นเป็นดวงดาวก็ตาม
มองดูจริงๆ แล้ว หัวของหมึกยักษ์ตัวนี้มันขนาดใหญ่ยิ่งกว่าโลกเดิมเลทิเซียด้วยซ้ำมั้ง ดังนั้นการจะตัดมันให้ขาดคงมีแต่วิธีนี้เท่านั้น
ผสมกับพลังแห่งความมืดและสายฟ้าต่อให้เป็นหมึกก็คงได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อยแน่ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการระเบิดของดวงวิญญาณของไวท์ที่เธอตัดสินใจจะทำ
นี่คือวิธีการสังหารเดียวที่มีอยู่ และเป็นการสังหารที่หากไม่ทำก็ต้องตาย! ดวงตาของไวท์เปิดขึ้นช้าๆ และดวงตานั่นแสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยว
ดาบในมือของเลทิเซียง้างขึ้น ราวกับช่วงเวลาได้ไหลช้าลงไปชั่วพริบตานั้นและวิชาดาบก็ถูกใช้ออกมาอย่างรวดเร็ว
“วิชาดาวไร้ลักษณ์…..”
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้กลับทำให้ไวท์ตกใจ เพราะชั่วพริบตาที่ดาบถูกง้างออกไปนั้น มือของเลทิเซียก็ปล่อยออกจากดาบและ…
“นภามีคม!”
เลทิเซียไม่ได้ใช้ท่าผ่าดาวไร้ลักษณ์ แต่เลือกใช้ท่านภามีคม ซึ่งท่านี้เป็นท่าที่เงาร่างพร่าเลือนนั้นเคยใช้ ฉับพลันทุกอย่างในระยะสายตาก็ถูกแยก!
ผสมผสานกับความมืดและสายฟ้ากลายเป็นรอยแยกของห้วงมิติราวกับมีหลุมดำนับหมื่นปรากฏขึ้นจากรอยแยกนั้น
“เจ้าทำอะไรของเจ้า!!”
“หุบปากไปเลย!”
เลทิเซียกัดฟันตะโกนกลับคืน มือขวาที่ปล่อยดาบก็กำหมัดแล้วก็ต่อยโครมออกไปอย่างสุดกำลัง!
ท้องฟ้าทั้งหมดถูกตัดเฉือนผสมผสานกับมีรอยบิดเบือนของพลังแห่งความมืด… ท่านี้แม้จะรุนแรงและเป็นการโจมตีที่เป็นแบบวงกว้างมาก
ทว่ากลับไร้ประโยชน์เมื่อพบเจอหมึกยักษ์ที่มีขนาดใหญ่พอกับดวงดาว มันไม่สามารถตัดเข้าไปได้เลยด้วยซ้ำ อย่างมากก็เหมือนแค่มีรอยขีดขวดเท่านั้น
แม้จะมีเศษเสี้ยวพลังวิญญาณของไวท์ระเบิดออกไปด้วยเพิ่มขยายและการโจมตีได้มากขึ้น หากใช้ท่าผ่าดาวไร้ลักษณ์คงจะผลาญไปจนหมด แต่ว่าท่านี้ทำไม่ได้
แต่ถึงจะทำไม่ได้มันก็แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าใช้ปกติอยู่ดี
นี่คือโอกาสเพียงระยะเวลาสั้นๆ นี่จะไม่ทำให้ไวท์ตกใจได้ยังไง แถมพอปล่อยมือออกจากดาบเลทิเซียก็กำหมัดต่อยใส่หัวของมึกยักษ์ “ตู้มม!!!”
“หึ! เป็นแค่สิ่งมีชีวิตชั้นสาม กลับมาสัมผัสสิ่งมีชีวิตที่เหยียบย่างเข้าประตูที่สี่ไปครึ่งก้าวแล้ว มันยังเร็วไปร้อยปี!”
เสียงของหมึกดังขึ้นด้วยความหยิ่งผยอง แต่ทว่าดวงตาของเลทิเซียก็ประกายวาบ ชั่วพริบตานั้นเองก้อนแสงมากมายก็พวยพุ่งออกมาจากหมัดของเลทิเซีย
ที่คือกลุ่มแสงโหตอนก่อนหน้านั้นที่เลทิเซียซ่อนมันไว้ แถมยังปล่อยบางส่วนเข้าไปในหนวดของหมึกยักษ์นี้ไว้แล้ว
แต่เวลาที่เลทิเซียสัมผัสกับร่างของหมึก ราวกับว่าพลังแห่งกาลเวลาที่ไร้ที่สิ้นสุดพุ่งเข้ามาในร่างกาย ทำให้การดำรงอยู่ของเลทิเซียสั่นสะท้าน
“นี่ก็เดาไว้แล้ว..”
เลทิเซียพูด ก้อนแสงมากมายแตกกระจายออกอยู่ในร่างเปลี่ยนพลังกาลเวลาที่ไร้จุดสิ้นสุดกลายเป็นพลังเวทในร่าง!
พลังเวทของเลทิเซียเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สีหน้าของหมึกยักษ์แปรเปลี่ยน มันตะโกนออกมา
“เป็นไปไม่ได้!? ทำไมเวทมนตร์ถึงแก้ไขโครงสร้างของเวลาได้โดยตรง! เวทมนตร์ไม่มีทางที่จะเหนือกว่ากาลเวลานะ!”
แต่ทว่าดวงตาของไวท์กับเบิกกว้างขึ้น… ปากพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เวทมนตร์ของเธอ…ไปถึงระดับต้นกำเนิด…?”
แต่ทว่าหมึกยักษ์ก็รีบกลับมาสงบอารมณ์มันกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา
“ต่อให้ทำแบบนั้นได้ แต่ก็ไม่คู่ควรต่อการปะทะกับข้า!”
มันร้องออกมา.. สีหน้าของเลทิเซียไม่ได้เปลี่ยนแปลงใดๆ เลยแต่มือเธอยกขึ้นดาบเล่มนั้นก็ลอยกลับมาในมือ
หนวดของหมึกยักษ์ก็ฟาดกลับมาเพียงแต่เลทิเซียไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยนิด.. และในชั่วพริบตาที่หนวดนั้นทะลวงผ่านอากาศมานั้นนั่นเอง
โลก… ก็พังทลายลงฉับพลัน! ท้องฟ้า แผ่นดิน.. ทะเล ทุกอย่างก็แตกสลาย นี่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในมิติจำเพาะ.. แต่เป็นทั้งโลกแห่งชิ้นส่วนเวหา!
ใช่แล้วแผนของเลทิเซียคือไม่ให้ไอ้หมึกยักษ์นี้ไปใช้พลังย้อนเวลาใส่ท่านภามีคม.. เลยต่อยดึงดูดความสนใจมัน และเป้าหมายของเธอคือ…
ทุบโลกนี้ให้แตกตั้งแต่แรกนั่นเอง!
ในพริบตานั้นราวกับกาลอวสานได้มาเยือนทุกชีวิต ทุกใบไม้ ทุกอย่างราวกับถูกตัดเส้นใยแห่งการเชื่อมต่อออก
นี่คือเส้นใยแห่งการดำรงอยู่! แต่ทว่าพอโลกหายไปแล้วการดำรงอยู่ของพวกเขาก็หายไป ผู้คนบนโลกนี้ควรจะหายไปพร้อมกัน
แต่นั่นมันในกรณีของคนที่หนีจากต้นกำเนิดของตัวเอง! แต่บัดนี้ต้นกำเนิดได้พังทลายลงแล้ว เหลือเพียงต้นกำเนิดใหม่ซึ่งก็คือโลกด้านนอก
และการดำรงอยู่ของพวกเขาก็เชื่อมกับต้นกำเนิดแห่งโลกด้านนอกและ..ปลิวดิ่งลงแผ่นทวีปของโลกด้านนอก!
วินาทีที่ชิ้นส่วนเวหาแตกกระจายผู้คนในโลกด้านนอกเองก็ได้ยินเสียงชัดเจนกังวานก้องฟ้า และแทบจะพริบตาต่อมาก็มีแสงดาวตกมากมายนับไม่ถ้วนดิ่งลงมายังทวีป
โดยแบ่งออกเป็นห้ากลุ่มแต่ละกลุ่มมุ่งหน้าลงไปยังห้าโรงเรียน! แต่ที่น่าตกใจเหนือสิ่งอื่นใดคือบัดนี้ท้องฟ้าได้ถูกปกคลุมด้วยวัตถุขนาดใหญ่
มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด สัมผัสได้ชัดเจนว่านี่คือสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เกินไป! มันคือหมึกยักษ์ ดวงตาของมันเปล่งแสงวูบ
“นี่มัน.. ไม่ใช่โลกเดิม.. กฎเกณฑ์ที่แตกต่าง…แบบนั้นเหรอ”
“นี่คือแผนของเจ้าสินะ เพื่อที่จะให้ข้าถูกกฎเกณฑ์ของโลกนี้จำกัดสินะ แต่ว่าน่าเสียดายที่โลกนี้ยังมีกาลเวลาดำรงอยู่ ข้าก็แข็งแกร่งไร้เทียมทาน!”
มันตะโกนก้องฟ้า ทุกคนทั่วทั้งทวีปได้ยินชัดเจน ทุกผู้ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันขนลุกขนชันราวกับว่าเวลาในชีวิตปั่นป่วนไปจนหมด
เลทิเซียลอยอยู่เหนือมันอีกที ต่อให้มีคนมองทะลุชั้นเมฆมาดูก็ไม่เห็นเพราะถูกหนวดของหมึกยักษ์บดบังไว้.. แต่เพราะการปรากฏตัวของมัน
และเหมือนเจ้าร่างยักษ์นี่จะคุยกับใครอยู่ด้วยทุกคนจึงสงสัย ไม่ว่าจะผู้กล้าหรือจอมมารต่างพากันเคลื่อนไหว
“เจ้าทำอะไรของเจ้า! ถ้านี่เป็นโลกของเจ้ามันจะแย่กว่าเดิมไม่ใช่หรือไง?! ไม่ต้องมาเห็นใจข้า ข้าแค่อยากจะฆ่ามันแม้จะต้องแลกด้วยชีวิต!”
เสียงของไวท์ดังขึ้น แม้เธอจะสับสนต่อโลกใบนี้มาก แต่ทว่าพอเรียกสติกลับมาได้เธอรีบตะโกน เธอกลัว.. กลัวว่าตัวเองจะฆ่าหมึกยักษ์นี้ไม่ได้
และไม่สามารถเป็นเด็กดีให้คนชื่นชมได้.. แต่ทว่าเลทิเซียก็พูดขึ้น..
“เห็นใจเธอ? ใครว่าฉันเห็นใจเธอกันละ ใครจะไปรู้ว่าถ้าเธอตายไปอาวุธนี้อาจจะแว้งกัดฉันเองก็ได้ แล้วก็ต่อให้เธอตายไปแล้วถ้าฆ่ามันไม่ตายขึ้นมาละ ฉันไม่ฝากชีวิตไว้กับคนที่ไม่รู้จักหรอกนะ อีกอย่างนะ ถ้าให้ฉันเลือกระหว่างช่วยเหลือคนอื่นตามท่านพี่บอกกับปกป้องคนสำคัญ… สิ่งที่ฉันเลือกน่ะ..”
“ก็คือทั้งสองอย่างยังไงล่ะ ถ้าหากท่านพี่มารู้ว่าฉันอุตส่าห์ได้โอกาสที่ท่านพี่ไม่ได้รับนี้.. ถ้าหากไม่ทำตามสิ่งที่พี่สอนฉันคงโดนพี่ดุแน่ๆ”
“อย่าเข้าใจผิดไป.. ฉันไม่ได้อ่อนต่อโลกหรอกนะ.. เพราะว่าฉันน่ะเป็น.. เป็นผู้ใหญ่แล้ว!”
เลทิเซียพูดขึ้นมา.. ใช่ เธอเติบโตแล้ว ไม่สิ เธออยากเติบโตมากกว่าดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ไหนก็ต้องมีแผนใต้หน้าตัก
แม้ส่วนหนึ่งจะคิดว่าหากอีกฝ่ายโดนกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกดให้ต่ำลงจริงๆ ก็เถอะ..
ไวท์มองเลทิเซียอย่างสับสน.. แต่ว่าเลทิเซียก็เดินออกไปหนึ่งก้าวเธอก้มหน้าลงแล้วพูดเบาๆ ไม่มีใครสามารถเห็นสีหน้าของเธอตอนนี้ได้…
“แล้วก็.. ถ้าหากตายไปแล้วน่ะ จะพูดด้วยกันไม่ได้อีกเลยนะ.. เพราะงั้นถ้าหากอยากคุยกับคนคนนั้นจริงๆ เธอก็ไปคุยด้วยตัวเองในตอนที่ยังมีชีวิตสิ..”
“เจ้า….”
ไวท์พูดขึ้นมา แต่ทว่ายังไม่ทันได้พูดจบ…
แสงสีดำก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของเลทิเซียอย่างรวดเร็ว แสงนี้คือแสงสีดำบริสุทธิ์แตกต่างจากธาตุมืด.. เพราะมันคือพลังเวทมนตร์ของจอมมาร
หรือถูกเรียกเต็มรูปแบบว่า ‘พลังมาร!’ เป็นพลังที่มีเพียงผู้จอมมารเท่านั้นที่จะมี หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้คือพลังเวทมนตร์ของปีศาจ
นี่คงเป็นพลังที่แท้จริงของจอมมารเพราะโลกอีกใบเหมือนจะมีข้อจำกัดบางอย่างทำให้เลทิเซียไม่สามารถใช้พลังมารที่แท้จริงได้
นี่จึงไม่แปลกใจเลยที่ตอนที่ทสึรุสัมผัสถึงพลังเวทมากมายของเลทิเซียกลับไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ต่อหน้าจอมมาร.. เพราะนั่งเป็นแค่จำนวน..
แต่นี่คือคุณภาพ! ม่านตาของเลทิเซียเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท นัยน์ตาสะท้อนแสงราวกับจันทรา.. ปีกสีดำงอกออกจากด้านหลัง
เขาที่น่ากลัวโค้งงอออกมาจากหัว… ทั่วทั้งทวีปพลันอลหม่านขึ้นฉับพลันทุกคนต่างพากันตัวสั่นด้วยสัญชาตญาณ
“ไอ้จอมมารบ้าคนไหน.. ใช้ร่างมาร!? มันถูกผนึกไว้ด้วยสนธิสัญญากันหมดแล้วทุกคนไม่ใช่หรือไง!?”
ผู้กล้าที่อยู่ในระดับเดียวกับพ่อของเลวิเนียตะโกนก้องอาณาจักรของตน… ทุกสิ่งมีชีวิตไม่สนว่าจะเป็นภูตผีปีศาจนางมารในที่ไหนต่างพากันหวาดกลัว!
ราวกับว่า… นี่แหละคือศัตรูตัวฉกาจของทุกคนที่ไม่สามารถต่อกรได้!
“ตายไปซะ..”
เพียงคำพูดสั้นๆ ของเลทิเซียที่ดังออกจากปาก..พลังเวทมากมายล้นหลามนั้นแหวกว่ายก่อสร้างเป็นกฎเกณฑ์บางอย่าง…
ลบออกไปอย่างง่ายดาย ราวกับเป็นการพูดเพียงประโยคสั้นๆ!
[จบภาคสอง : ต่างโลก]
………………………
[และก็จบกันไปแล้วสำหรับอีกภาคหนึ่ง ผมเชื่อว่าภาคนี้ทั้งภาคคนอ่านได้เริ่มรู้จักกับเลทิเซียกันมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว และมรสุมแห่งความสับสนปวดร้าวก็ได้ผ่านพ้นไป .. แต่ทุกอย่างมันพึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นแหละ! … ต่อไปนี้ต่างหากที่จะเป็นของจริง! อ๊ะ แล้วก็ผมคอมมิชปกนิยายไปหมดไป 2000 … (รอวนไป) อ– สาส์นจากพระเจ้า]