การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 119
บทที่ 119 – สายสัมพันธ์
ทันทีที่เกิดการปะทะอย่างรุนแรง แสงสีขาวพลันโอบร่างของทุกชีวิตในโลกแก่งนี้ แม้แต่เซเลียกับแอนนี่ที่อยู่ห่างออกไป
“นี่มันเรื่องอะไร?!”
แต่ยังไม่ทันให้พวกเขาได้ไขความสงสัย ร่างก็พร่าเลือนหายไปจากมิติจำเพาะนี้ ถูกส่งไปโลกด้านนอกทันที
แสดงให้เห็นว่า.. อาร์ติแฟ็ค.. ไม่สิ มันไม่ใช่อาร์ติแฟ็คแต่เป็นหนึ่งห้าของอาวุธพิชิตสวรรค์… ดาบผ่าดาราสวรรค์!
วิญญาณในดาบตอนนี้มันเลือกผู้ครอบครองแล้ว! อันที่จริงอาวุธเหล่านี้แต่แรกก็ไม่มีบททดสอบแบบนี้อยู่แล้ว
เพราะคนเลือกอาวุธไม่ใช่ผู้ใช้ แต่เป็นอาวุธต่างหากที่เลือกผู้ใช้ การทดสอบครั้งนี้ก็เพียงแค่ทดสอบดูว่า..ใครจะแข็งแกร่งกว่าคนครอบครองคนก่อน
ที่ยืนอยู่ด่านสุดท้าย ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ผู้แข็งแกร่งคนนั้นได้ผนึกสิ่งมีชีวิตเอาไว้ใต้มิติจำเพาะแห่งนี้เพราะผู้แข็งแกร่งคนนั้นในตอนนั้นยังฆ่ามันไม่ได้
ดังนั้นคนที่จะดึงดาบออกจากผนึกต้องเหนือกว่าผู้ใช้คนก่อนอย่างมากมหาศาลเท่านั้น ถึงจะสามารถกำจัดสิ่งมีชีวิตที่ถูกผนึก
นี่คือข้อมูลที่ไหลเข้ามาในหัวของเลทิเซียแทบจะทันทีที่จับดาบ บัดนี้เธอเข้าใจแทบทุกอย่างจากการเอาชิ้นส่วนข้อมูลต่างๆ มาปะติดปะต่อกันแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าบททดสอบนี้จะไม่สมบูรณ์เท่าไหร่นัก เพราะต้องผ่านบทที่สามก่อนถึงจะสามารถมีสิทธิ์เป็นผู้ถูกเลือก
แต่เลทิเซีย.. แข็งแกร่งกว่าผู้ใช้คนก่อนอย่างทาบไม่ติดห่างชั้นจนแม้แต่จิตสำนึกในดาบยังกระโดดโลดเต้นอย่างให้เลทิเซียครอบครอง
นี่ไม่ใช่เพราะพลังเวทมนตร์ของเธอมหาศาล หรือพละกำลังแข็งแกร่ง อันที่จริงหากให้ดาบเล่มนี้พูด มันก็พูดว่าผู้ใช้มันคนก่อนแข็งแกร่งกว่าเลทิเซีย
แม้จำนวนจะน้อยแต่ในด้านคุณภาพกลับเหนือกว่าเลทิเซีย.. แต่ที่ทำให้เลทิเซียเหนือกว่าคือทักษะ! ทักษะที่มีมากมายของเธอ
ทำให้ดาบสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง เพราะก่อนหน้าเธออยู่ในสภาวะกึ่งตายก็จริง แต่เพราะตัวเลทิเซียไม่ได้อยู่ในร่างเลยทำให้สายฟ้าจ้องจะทำลาย
แต่พอเลทิเซียลืมตาขึ้นทุกอย่างกลับตาลปัตร สายฟ้าที่จะทำลายก็พลันกระโดดโลดเต้น จิตสำนึกดาบเลือกเลทิเซียเป็นผู้ถือครองคนใหม่ทันที
แต่เพราะว่าบททดสอบนี้ไม่ได้ดีมาก พอเห็นเลทิเซียจะเชื่อมต่อกับดาบได้โดยไม่ผ่านด่านที่สามก่อน.. ผู้ใช้คนก่อนที่เป็นแค่เงาเหมือนจะปรากฏตัวขึ้นเอง
และพิสูจน์ว่าเลทิเซียคู่ควรไหม! แต่จะอย่างไรก็ตามในสถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่อาจทำให้เลทิเซียแยกความคิดได้
“เลทิเซีย..”
ทสึรุที่เหมือนได้สติขึ้นมาจากเสียงปะทะก็มองใบหน้าเล็กๆ ของเลทิเซียที่แตกต่างไปจากเดิม ตอนมองมาที่ตัวเอง
เลทิเซียถอยหลังกรูดจากการปะทะ พอเห็นทสึรุเลทิเซียก็รู้สึกว่าตัวเองก่อนหน้านี้เป็นคนผิดทิ้งให้ทสึรุอยู่คนเดียว
เลทิเซียจำได้ว่าในอดีตครอบครัวของเธออยู่ห่างกันทีไรก็จะรู้สึกเหงา แถมที่ตัวเองหนีจากร่างกายตัวเองก็เพราะไม่กล้ายอมรับทสึรุ
ยังไงก็ตาม ตอนนี้เลทิเซียได้มองทสึรุเป็นเหมือนคนในครอบครัว เพราะเธอจำได้ว่าทสึรุเคยกินเลือดเธอไปแล้ว
ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเลทิเซียไม่รู้ว่าจะแสดงตัวยังไงถ้าไม่ระแวดระวังสำหรับคนอื่นคนไกล.. แต่ถ้ามองในมุมครอบครัว
ระยะห่างของทั้งสองจะหายไปได้แน่ๆ ใช่ นี่อาจจะเป็นวิธีแก้ปัญหาที่เห็นแก่ตัวของเลทิเซีย.. แต่เธอก็พยายามอย่างสุดความสามารถในตอนนี้
ยอมรับทสึรุ.. เลทิเซียไม่รู้และไม่เข้าใจว่าคนปกติเขาปฏิบัติตัวยังไงกับคนที่ไม่รู้จัก อันที่จริงในสายตาเธอ เธอมองคนที่ปกติว่าเป็นการแสดง
เธอเลยเลียนแบบ แต่หากตามความจริงแล้วเลทิเซียไม่เข้าใจอะไรเลย ที่เข้าใจน่ะมีเพียงแค่สายสัมพันธ์ของครอบครัวเท่านั้น
“ขอโทษที่ปล่อยให้อยู่คนเดียวนะ..”
เลทิเซียไม่รู้จะปลอบยังไงก็พูดตามสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา.. แต่พอคำพูดนี้ดังขึ้นน้ำตาทสึรุก็ไหลพราก
ราวกับว่าการหลอกตัวเองว่าเลทิเซียยังไม่ตาย การพูดคุยกับเลทิเซียที่ยังไม่ตาย ทุกอย่างล้วนพังทลาย..
เธอรู้อยู่แก่ใจว่าในครานั้นเธอโดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่มีใครเคียงข้าง จิตใจมืดมัว ดิ่งลงสู่การหลอกตัวเอง
พอคำพูดของเลทิเซียดังขึ้นนั้นมันก็เหมือนกับมีดมีคมที่ตัดเฉือนไปที่การหลอกตัวเองของเธอทิ้ง แต่ว่านั่นจะจริงหรือโกหกก็ไม่เกี่ยวแล้ว
เพราะตอนนี้เลทิเซียตัวเป็นๆ ยืนบอกกับเธอแถมความรู้สึกอบอุ่นนั่นมาจากแขนของเลทิเซียมันทำให้ทสึรุไม่สามารถอดกลั้น
ปากเปิดราวกับจะพูดอะไรสักอย่าง.. อันที่จริงการโอบกอดครั้งนี้ของเลทิเซียก็เป็นเหมือนตอนที่ทสึรุกอดเลทิเซีย
ในความมืดมิดใต้ทะเลมีเพียงการกอดของทสึรุเท่านั้นที่ทำให้จิตใจที่อ่อนแอของเลทิเซียอบอุ่น.. แต่คราวนี้.. เป็นตาของเลทิเซียที่กอดทสึรุ
บางทีนี่อาจจะเป็นคำอธิบายให้กับคำว่า ‘กรรม’ ได้ดีที่สุด.. หากทสึรุกอดเลทิเซียเป็นเหตุ ที่เลทิเซียกอดทสึรุก็อาจจะเป็นผล
แม้บทบาทจะแตกต่างกัน จิตใจทั้งสองคนจะสลับบทบาทกัน แต่นี่ก็คือเหตุและผล.. สามารถพูดได้เต็มปากว่า
เมื่อเลทิเซียล้มทสึรุก็คว้าแขนเลทิเซียและพาก้าวเดินไปข้างหน้า ในขณะที่เมื่อทสึรุล้มเลทิเซียก็แบกทสึรุเดินไปข้างหน้า
ล้มลุกคลุกคลานไปด้วยกัน ก่อเกิดเป็นสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเหนือสิ่งอื่นใด นี่แหละคือฟันเฟืองแห่งโชคชะตา
หากครานั้นพวกเธอล้มลงพร้อมกัน ก็คงไม่สามารถก้าวไปข้างหน้า.. ทว่าเฟืองแห่งโชคชะตาได้ขับเคลื่อน
ทุกอย่างล้วนมีเหตุ เมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล.. นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่า ‘กรรม’
“ข้า.. ข้า.. ข้า..”
เลทิเซียซุกหน้ากอดเลทิเซียกลับ แม้ร่างกายเลทิเซียจะเล็กยิ่งกว่าตัวเธอ แต่ความอบอุ่นที่ได้มาจากเลทิเซียนั้นอยู่เหนือเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
ทำให้ทสึรุพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ปากเปิดเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่กลับไร้คำจะพูดในเวลาเดียวกัน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความต้องการของเลทิเซียที่กลัวทสึรุจะเป็นอันตรายเมื่ออยู่ด้านนอกหรือเป็นเพราะจิตใจอันตั้งมั่นที่จะอยู่กับเลทิเซียของทสึรุ
ทำให้ทสึรุไม่ถูกส่งออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ ที่ถูกส่งออกไป
เอาล่ะเรื่องราวความรักดราม่าท่ามกลางการต่อสู้หน้าสิ่วหน้าขวานก็สิ้นสุดลงไปแล้ว.. บัดนี้ม่านการต่อสู้ที่แท้จริงกำลังจะเปิดฉากขึ้น
เลทิเซียสัมผัสได้ว่าคนตรงหน้าแข็งแกร่งมาก .. ในแง่ของพละกำลังเมื่อครู่นี้หากในมือเลทิเซียกับมืออีกฝ่ายไม่ใช่ดาบเล่มเดียวกัน
ทำให้เกิดแรงผลักเอง.. ร่างของเลทิเซียคงแหลกสลายคาตาแน่ๆ ไม่รู้ว่าร่างที่ดูยังไงก็รู้สึกว่าเล็กบอบบางนั่นเอาพละกำลังมากขนาดนี้มาจากไหน
………..
ด้านนอกมิติจำเพาะภายในโลกชิ้นส่วนเวหา.. ร่างของคนหลายร้อยคนพลันปรากฏขึ้นมากลางป่ารอบทะเลสาบ
ก่อนที่จะได้ตกใจพวกเขาก็เงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าฉับพลัน และเห็นรอยแตกของท้องฟ้าลากยาวไปจนสุดขอบสายตา
“นั่นมันอะไร?!”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
เสียงแห่งความตกใจและวิตกกังวลดังขึ้นไม่ว่าจะเป็นนักเรียนจากโรงเรียนเอเรียสหรือคนในโลกภายในชิ้นส่วนก็มีความคิดที่ไม่ต่างกัน
และด้านหลังรอยแตกนั่นไม่ใช่ความมืด..แต่เป็นท้องฟ้าอีกอัน นั่นคือท้องฟ้าของโลกด้านนอก โลกทั้งใบพลันสั่นสะท้านอีกครั้ง
รอยปริแตกยิ่งลุกลามกว่าเดิม
ในขณะที่ด้านนอกเองเสียงของกระจกแตกก็ดังไปทั่วทั้งทวีปอย่างน่าตกใจ เสียงนี้มันดังจนคนต้องเงยหน้ามองขึ้นฟ้าเพื่อหาต้นตอของเสียง
แต่ไม่มีใครมองเห็นสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ทว่าในบ้านหลังหนึ่งห่างไกลออกไปไม่รู้ว่าตั้งอยู่ส่วนไหนของทวีป มีคนคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือในบ้าน
ผมสีเหลืองทองของเธอสะดุดตามาก แต่แม้จะถือหนังสือทว่าสายตากลับไม่ได้มองหนังสือ เพราะตอนนี้กำลังมองขึ้นไปบนเพดาน.. เธอพึมพำออกมาเบาๆ
“คราวนี้ก็..…”
ท้ายคำไม่รู้ว่าเธอพูดอะไรเพราะในมือมีเสียงปิดหนังสือดัง “ปึก”
…….