การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) - ตอนที่ 22
“เป็นความจริงหรอ!?”
จักรพรรดิโยฮันเนสผลักเอกสารที่เอิร์ลเบลส์ส่งมาไปทางรัฐมนตรีกระทรวงวิศวกรรม
เปลวเพลิงแห่งความโกรธกำลังครุกรุ่นอยู่ในดวงตาของเขา
รัฐมนตรีที่ถูกจับได้เรื่องมีกิ้กคุกเข่าและขออภัยโทษในทันที
“โปรดอภัยให้ข้าด้วย, ฝ่าบาท! ข้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์!”
“การไปยุ่งกับภรรยาของคนอื่นถือเป็นอาชญากรรม! ในฐานะรัฐมนตรี, เจ้าก็น่าจะรู้เรื่องนี้ไม่ใช่หรอ!? ยิ่งไปกว่านั้น, เธอยังเป็นภรรยาของลูกน้องเจ้าไม่ใช่รึไง!? นี่เจ้าคิดบ้าอะไรอยู่!?”
“คะ, คือว่า…..เบ, เบทิน่าเป็นคนเข้าหาข้าครับ! ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย! ข้าถูกล่อลวง! นี่ต้องเป็นฝีมือของคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของข้าแน่ๆ”
“นี่เจ้าคิดว่าการเล่นชู้กับภรรยาของลูกน้องตัวเองเพราะถูกเธอล่อลวงมันจะไม่เป็นอะไรหรอ!? แล้วถ้าหนึ่งในสนมของข้าไปอ่อยเจ้า, เจ้าจะมีอะไรกับสนมคนนั้นรึเปล่า!?”
“นะ, นั่นมัน……..”
“ก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ! ตัวเองไม่ซื่อสัตย์เองแล้วไปโทษผู้หญิงได้ยังไง!?”
ความโกรธของโยฮันเนสไปถึงจุดไม่สามารถหยุดได้แล้ว
เขาอุตส่าห์ไว้วางใจรัฐมันตรีคนนี้ให้ทำงานด้วยมาเป็นเวลาตั้งหลายปี แถมเขายังแนะนำลูกสาวของเพื่อนสนิทให้มาเป็นภรรยาของเขาด้วย, ความจริงที่ว่ารัฐมนตรีตอบแทนความไว้วางใจของเขาแบบนี้มันทำให้เขาโกรธอย่างถึงที่สุด
แต่เหตุผลมันไม่ใช่แค่นั้น คู่ขาที่เขาเล่นชู้ด้วยก็คือภรรยาของเอิร์ลเบลส์, ชายที่เขาจับตาดูอยู่, ชายผู้ซึ่งถูกภรรยาทำให้เจ็บปวด
เขาเป็นคนที่ไฟเขียวเรื่องการสอบสวนภรรยาของเอิร์ล เขาถึงกับบอกเอิร์ลที่ไม่เต็มใจว่าถ้ามีปัญหาอะไรเขาจะเป็นคนที่ดำเนินการตัดสินด้วยตัวเอง แค่นี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่าเขาถูกใจเอิร์ลมากแค่ไหน
สมมุติฐานหลักในแผนการของซานดร้าขึ้นอยู่กับว่าโยฮันเนสไว้ใจเอิร์ลมากแค่ไหน เธอใช้ความจริงที่ว่าจักรพรรดิเชื่อในตัวเอิร์ลเบลส์ว่าเขาจะไม่มีวันทำร้ายหัวหน้าของเขาและความจริงที่ว่า, ตัวเอิร์ลเป็นคนนิสัยแบบนี้
ซึ่งนี่เองก็เป็นสาเหตุที่ในสายตาของโยฮันเนส, เรื่องนี้จึงดูเหมือนว่ารัฐมนตรีพยายามต้อนลูกน้องมากฝีมือของเขาให้จนมุมด้วยการใช้ภรรยาของลูกน้องเพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเอง
ถ้ามองในแง่นี้, ทุกสิ่งจะเป็นไปตามแผนของซานดร้า โดยปกติ, มันคงจะมองได้ว่าเอิร์ลกำลังใช้ภรรยาของเขาเพื่อใส่ร้ายเจ้านายแต่เนื่องจากความไว้ใจของโยฮันเนสที่มีต่อนิสัยของเอิร์ลมันจึงดูไม่น่าจะเป็นแบบนั้น
นอกจากนี้, โยฮันเนสที่ได้ฟังความเจ็บปวดจากภรรยาของเอิร์ลมาแล้วก็รู้สึกสงสารเอิร์ลเบลส์ด้วย
และมันก็ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้การตัดสินใจของโยฮันเนสรวดเร็วถึงขนาดนี้
“ลงจากตำแหน่งซะ! กลับไปที่บ้านของเจ้าแล้วรอรับการลงโทษได้เลย!”
“ดะ, ได้โปรดอภัยข้าด้วย! อภัยให้ข้าด้วยเถอะครับ, ฝ่าบาท!”
“เรียกเอิร์ลเบลส์มาที่นี่!”
โยฮันเนสประกาศโดยไม่มีทีท่าว่าเขาจะผ่อนผันโทสะของเขา
เอิร์ลเบลส์ที่ดูเหมือนจะตัวหดลงเล็กน้อย, เข้ามาอยู่เบื้องหน้าโยฮันเนส
และในตอนนั้นเอง, เอิร์ลเบลส์ก็พูดขอโทษ
“ข้าขอโทษจริงๆครับ! ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ทั้งหมดเป็นเพราะข้าดูแลอดีตภรรยาไม่ดีพอ!”
“เบลส์….เจ้าพูดอะไรของเจ้ากัน? เจ้าไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบในเรื่องนี้ซักหน่อย”
“ตะ, แต่ว่า……”
“ข้าเชื่อเจ้า เจ้าอาจจะใสซื่อเกินไปจนถูกผู้หญิงไม่ดีหลอกแต่ข้าก็ชอบนิสัยนั้นของเจ้านะ ข้าชื่นชมในความจริงจังและความตั้งใจที่เจ้าแสดงออกมาในงานของเจ้า ข้าอยากให้คนอย่างเจ้าได้เป็นรัฐมนตรี เอาแบบนี้เป็นไง, สนใจจะมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงวิศวกรรมให้ข้าไหม?”
“ข้า, ข้ารับตำแหน่งใหญ่โตขนาดนั้นไม่ได้หรอกครับ! ภรรยาของข้าเป็นคนก่อความผิดนี้! ได้โปรดช่วยละเว้นโทษเถอะนะครับฝ่าบาท!”
“เธอไม่ใช่ภรรยาของเจ้าอีกแล้ว ยิ่งกว่านั้น, รัฐมนตรีเองก็มีความผิดร่วมในเรื่องนี้ด้วย ต่อให้ถูกล่อลวงเขาก็ไม่มีทางได้รับอภัยโทษ ข้าไม่มีความตั้งใจจะลงโทษเจ้าสำหรับเรื่องนี้และข้าจะลงโทษใครก็ตามที่ว่าร้ายเจ้าด้วย”
“ฝะ, ฝ่าบาท…..”
“ข้าจะสั่งอีกครั้ง ข้าขอแต่งตั้งเอิร์ลเบลส์เป็นรัฐมนตรีกระทรวงวิศวกรรม เจ้าต้องทำงานให้หนักขึ้นกว่าเมื่อก่อนเพื่อจักรวรรดินี้”
“…..ข้าจะไม่มีวันลืมความเมตตาของจักรพรรดิเลยครับ ภายใต้ชื่อของตระกูลเบลส์ได้โปรดให้ข้าได้รับหน้าที่นี้ด้วย”
ด้วยประการฉะนี้เองเอิร์ลเบลส์ก็รับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงวิศวกรรม
โยฮันเนสพูดคุยกับเขาต่ออีกสักพักและก็ปล่อยให้เอิร์ลกลับไป
จากนั้นเขาก็ทิ้งตัวพิงบัลลังก์แล้วถอนหายใจออกมา
“ในที่สุดมันก็รุนแรงขึ้นจนได้สินะ”
“ฟรานซ์หรอ….”
คนที่มาปรากฎตัวเบื้องหน้าเขาโดยไม่ขอคำอนุญาตคือชายที่มีอายุพอๆกับโยฮันเนส
ชายคนนี้มีผมสีเงินซีดและสวมชุดสีขาวเหมือนกับรัฐมนตรี ในจักรวรรดินี้มีแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้สวมใส่มัน
หัวหน้าของข้าราชการทุกคน, นายกรัฐมนตรี
ชื่อของชายคนนี้คือฟรานซ์ ซีเบค ถ้าดูจากชื่อของเขาที่ไม่มี ‘ฟ็อน’ ก็คงเดากันได้, ชายคนนี้ไม่ใช่ขุนนาง ด้วยสติปัญญาของเขาเพียงอย่างเดียว, เขาคือชายที่สามารถไต่เต้าจากการเป็นลูกชายของเจ้าของโรงแรมมาจนถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในจักรวรรดิได้
โยฮันเนสเริ่มพูดกับฟรานซ์
“การแย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสงครามผู้สืบทอดเสมอมา รัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ ณ ตอนนี้ก็น่าจะรู้กันดีทุกคน และมันก็เป็นสาเหตุที่พวกเขาต้องระวังตัวให้ดี การถูกภรรยาของลูกน้องตัวเองล่อลวงนี่ยิ่งตัดออกไปได้เลย เพราะสุดท้ายแล้วเขาจะนำอันตรายมาสู่จักรวรรดิ ถ้าข้าไม่หาคนมาแทนที่เขาซะตั้งแต่ตอนนี้, ความเสียหายอาจจะกระจายมาถึงข้าด้วย”
“ข้าไม่มีอะไรจะบ่นท่านเกี่ยวกับการจัดการเรื่องของรัฐมนตรีครับ แต่ว่า, ในตอนที่ท่านแต่งตั้งเอิร์ลเบลส์เป็นรัฐมนตรีท่านกำลังคิดอะไรกันแน่? เห็นๆอยู่ว่าเรื่องนี้มันอาจจะมีคนวางแผนอยู่เบื้องหลังนะครับ”
ในสายตาของฟรานซ์, ที่เป็นลูกน้องของโยฮันเนสมาตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นเจ้าชาย, สภาพแวดล้อมของเอิร์ลคนนี้มันดูน่าสงสัยไปหมด
เหตุผลที่เขาไม่ได้ตรวจสอบอะไรลึกก็เพราะเขาถูกกันไม่ให้แทรกแซงสงครามผู้สืบทอด ไม่อย่างนั้น, เขาก็คงจะทำการสอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้ว
“ต่อให้เป็นแผนของใครบางคนข้าก็ไม่ถือสาหรอก ตัวเบลส์นั้นมีความสามารถในสายงานนี้แล้วเขาก็ไม่น่าจะเป็นคนที่คิดแผนขึ้นมาเองด้วย ถ้ามองในมุมนี้, ข้าไม่มีปัญหาในการยกตำแหน่งให้เขา ยิ่งไปกว่านั้น, ถ้าพวกเขาไม่สามารถคิดแผนการแบบนี้ได้บ้างเลย, พวกเขาก็คงไม่เหมาะกับตำแหน่งจักรพรรดิหรอก”
“ที่พูดมานั่นมันแปลกๆนะครับ? ข้าไม่ใช่หรอที่เป็นคนคิดแผนทั้งหมดในตอนที่ฝ่าบาทยังเป็นเจ้าชายอยู่?”
“นั่นแหล่ะคือการเป็นจักรพรรดิ พลังในการมองพรสวรรค์ของผู้อื่น, พลังในการฝากฝังผู้อื่น, ไม่ว่าสิ่งไหนก็คือสิ่งจำเป็นสำหรับการเป็นจักรพรรดิ ข้าก็แค่เล็งเห็นถึงพรสวรรค์ของเจ้าได้เร็วเท่านั้นเอง ข้าก็เลยฝากเรื่องแผนการทั้งหมดไว้กับเจ้า และก็ต้องขอบคุณที่ทำแบบนั้น, ข้าก็เลยเป็นคนที่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ในตอนนี้”
“ช่วยอย่าล้อเล่นแบบนั้นสิครับ ต่อให้ข้าไม่อยู่, ฝ่าบาทก็คงจะชิงบัลลังก์มาได้เหมือนกันนั่นแหล่ะ ท่านหน่ะฉลาดเป็นกรดจะตาย”
พอพูดจบ, ฟรานซ์ก็นึกย้อนถึงอดีตไปพักนึง โยฮันเนสเองก็เช่นกัน
พวกลูกๆกำลังพยายามเดินตามเส้นทางที่พวกเขาเคยผ่าน มันคือเส้นทางที่ชโลมไปด้วยเลือด เขารู้เรื่องนี้ดีแต่โยฮันเนสก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาได้
ที่โยฮันเนสเป็นอย่างทุงวันนี้ได้มันก็เพราะการต่อสู้ชิงบัลลังก์ ในตอนที่เขาได้กลายเป็นจักรพรรดิหลังจากที่ผ่านประสบการณ์พวกนั้นมา, มันทำให้เขารู้สึกมีความสุขกับชีวิตอย่างถึงที่สุด
แน่นอนว่าจักรวรรดินี้คือประเทศทรงอำนาจแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไร้ซึ่งคู่แข่ง มันยังมีคู่แข่งอยู่และต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ดังนั้นมันจึงต้องการจักรพรรดิที่ทั้งแข็งแกร่งและยอดเยี่ยม ซึ่งสงครามผู้สืบทอดก็คือบททดสอบเพื่อเป้าหมายนั้น, มันคือการฝึกจริงก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นจักรพรรดิ
ถ้าพวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้พวกเขาก็จะไม่มีสิทธิได้เป็นจักรพรรดิ มันคือสิ่งที่เหมือนกับวัฒนธรรมที่ส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่น
“ฝ่าบาทแกล้งทำตัวเป็นคนโง่นี่ครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นองค์โตสุด, แต่ฝ่าบาทก็เคยถูกเรียกว่าเจ้าชายจอมเสเพลไม่ใช่หรอครับ?”
“การเป็นผู้นำในสงครามผู้สืบทอดมันอันตรายนะ แถมความเสี่ยงที่จะถูกลอบสังหารก็สูง ลูกชายของข้าเองก็น่าจะโดนแบบนั้นเหมือนกัน…….”
“พวกเราไม่สามารถหาหลักฐานที่บ่งบอกว่ามงกุฎราชกุมารถูกลอบสังหารได้นะครับ ทั้งข้าและท่านต่างก็สืบสวนทุกอย่างโดยคำนึงถึงเรื่องนั้น แต่ถึงแม้จะทำไปตั้งขนาดนั้นแล้ว, ท่านก็ยังสงสัยว่าเขาจะถูกลอบสังหารอีกหรอครับ?”
“ใช่, ข้ามั่นใจเลยหล่ะ มงกุฎราชกุมารถูกลอบสังหารแน่ๆ เขาเป็นคนเก่งแต่ก็มีจิตใจดีมากเกินไป ต้องมีคนใช้ประโยชน์จากเรื่องนั้นแน่ๆ ข้าเองก็หวังอยู่ว่าอย่างน้อยน่าจะมีลูกสักคนที่สามารถชดเชยส่วนนั้นของเขาได้”
“มันคงเป็นเพราะโชคชะตานั่นแหล่ะครับ แต่จะว่าไป, ท่านคิดว่าขุมอำนาจที่สี่ดูน่าสนใจดีไหมครับ?”
โยฮันเนสยิ้มให้กับคำพูดของฟรานซ์
ซึ่งมันเป็นเพราะโยฮันเนสเห็นด้วยกับเขา
“เจ้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันสินะ? ในแวบแรก, มันอาจจะดูเหมือนเป็นเพราะพลังจากนิสัยของลีโอนาร์ดแต่ข่าว่ามันต้องมีใครสักคนที่คอยเคลื่อนไหวอยู่หลังฉากแน่ๆ ไม่อย่างนั้น, ขุมอำนาจของเขาคงไม่สามารถแผ่ขยายได้เร็วขนาดนี้หรอก”
“หรือว่าท่านกำลังนึกถึงองค์ชายอาร์โนลด์?”
“ใช่, เขาเป็นคนที่คล้ายกับข้าจริงๆ ข้ามีความรู้สึกว่าเขาแค่แกล้งทำตัวเหมือนเป็นคนไม่ได้ความ”
“ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกับครับแต่เขาไม่ได้เหมือนกับฝ่าบาทซะทีเดียว, ข้าไม่รู้สึกถึงความทะเยอทะยานเพื่อให้ได้บัลลังก์จากตัวเขาเลย ยิ่งไปกว่านั้น, มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังดูถูกตัวเองอยู่ อันที่จริง, เขาไม่เคยทำอะไรเพื่อเป็นการตอบโต้ไม่ว่าจะมีใครทำอะไรกับเขาก็ตาม และตอนนี้, เขาก็ถูกขุนนางทุกคนดูถูกเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยครับ”
“ข้าไม่รู้หรอกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่แต่ในช่วงวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด, เขาเป็นคนแรกที่เคลื่อนไหวและส่งเอลน่ามาหาข้า ยิ่งไปกว่านั้น, เขายังทำลายกำไลของตัวเองเพื่อที่เอลน่ากับพวกอัศวินจะได้ไม่ถูกกล่าวโทษในกรณีที่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นด้วย นี่คือหลักฐานที่บ่งบอกว่าเขาพิจารณาผลลัพธ์ต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นที่เคียร์ ดังนั้นอย่างน้อยที่สุด, เขาก็ไม่น่าจะใช่คนไร้ค่าเหมือนที่สาธารณะเขาพูดกัน แต่ก็แน่นอนว่า, มันอาจจะเป็นเพราะข้าประเมินสูงเกินไปด้วย”
“แล้วท่านจะให้เขาไปช่วยองค์ชายลีโอนาร์ดทำไมหล่ะครับ? แบบนั้นมันไม่เป็นผลดีเลยไม่ใช่หรอ? มันจะทำให้ไม่มีคนอยู่คอยเคลื่อนไหวขุมอำนาจขององค์ชายลีโอนาร์ดในตอนที่เขาไม่อยู่นะครับ”
“ก็นะ, ข้ายอมรับว่าตอนนั้นมีอารมณ์มาเกี่ยวข้องด้วยนิดหน่อย ข้าไม่ชอบท่าทีไม่สนโลกที่อาร์โนลด์แสดงออกมาทางสีหน้า เขาทำหน้าเหมือนกับว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเขา, มันเป็นแบบที่ชวนให้ข้ารู้สึกหงุดหงิดหน่ะ….”
ฟรานซ์กำลังจะพูดว่า, ‘ที่ท่านหงุดหงิดมันก็เพราะเขาคล้ายท่านไม่ใช่หรอ?’ แต่เขาก็กลืนคำพูดพวกนี้กลับไปในทันที
เอาจริงๆต่อให้พูดออกมาเขาก็คงจะปฏิเสธอยู่ดี
แต่ว่า, ฟรานซ์รู้
อาร์โนลด์นั้นคล้ายกับโยฮันเนสมากกว่าที่เขาคิดซะอีก
ความแตกต่างก็คือว่าโยฮันเนสมีความตั้งใจ ความตั้งใจที่จะกลายเป็นจักรพรรดิ อย่างไรก็ตาม, เขาไม่รู้สึกถึงความตั้งใจเช่นนี้จากอาร์โนลด์เลย
พวกที่ไม่มีความตั้งใจหรือความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งมีแต่จะนำพาสนามรบไปสู่ความโกลาหล และมันจะยิ่งหนักขึ้นถ้าพวกเขามีอำนาจ
ถ้าอาร์โนลด์มีความปราถนาอันแรงกล้า, เขาก็จะเอาชนะวิกฤติการณ์นี้ด้วยทุกสิ่งที่เขามี และนั่นก็คือสิ่งที่โยฮันเนสอยากจะเห็น
คงจะต้องรอให้พวกเขาผ่านทุกอย่างให้ได้ก่อน, โยฮันเนสถึงจะยอมรับอาร์โนลด์กับลีโอนาร์ดได้
“หวังว่าองค์ชายแฝดม้ามืดของพวกเราจะโชว์อะไรเด็ดๆให้ดูในเร็วๆนี้นะครับ”
“แฝดม้ามืดหรอ…..ข้าชอบชื่อนี้นะ สองคนนั้นก็เหมือนกับเป็นหนึ่งเดียวกัน ลีโอนาร์ดผู้ชอบธรรมที่ให้ความรู้สึกเหมือนมงกุฎราชกุมาร ถ้าอาร์โนลด์เคลื่อนไหวในเงามืดและคอยช่วยเหลือเขา, พวกนั้นอาจจะชิงบัลลังก์สำเร็จจริงๆก็ได้”
“ไม่รู้สินะครับ องค์ชายกับองค์หญิงคนอื่นๆที่เดินบนเส้นทางนี้ก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมเหมือนกัน ถ้าเกิดกันคนละยุค, แล้วทุกคนได้เป็นจักรพรรดิหมดก็ไม่แปลกใจเลยครับ, ตอนนี้โอกาสชนะใกล้เคียงกันมาก”
“แบบนี้ก็ดีแล้ว เมื่อคนที่ยอดเยี่ยมชิงบัลลังก์ได้, จักพรรดิที่ชาญฉลาดก็จะถือกำเนิดขึ้น และจักรวรรดิก็จะปลอดภัย”
สำหรับโยฮันเนสที่คำนึงถึงจักรวรรดิอยู่เสมอ, มันถือเป็นข่าวดีจริงๆ
แต่ในใจของโยฮันเนสนั้น, เขามีอีกความรู้สึกนึง
เขาหวังว่าพวกลูกๆจะไม่เสียเลือดเนื้อจนมากเกินไป
ด้วยความที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าเขาไม่สามารถพูดความรู้สึกเช่นนี้ออกมาได้เพราะเป็นจักรพรรดิ, โยฮันเนสก็ออกไปประชุมเรื่องต่อไป