การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 97
การกลับมาของฮีโร่
ตอนที่ 97
เมืองกว่างโจว ประเทศจีน มีคลื่นมวลชนนับพันคนแห่ รวมตัวโดยไม่ได้นัดหมาย..
“เชี่ย ฉันตาฝาดอยู่หรือป่าววะ?”
“เขามาแล้ว เขาอยู่ที่นี่จริงด้วย!!”
“ไหน? เขาอยู่ไหน นั่นมันตัวจริงนี่หว่า!!”
เมื่อชายวัยกลางคนก้าวลงมาจากรถเก๋งสีดํา บริเวณรอบๆเกิดเสียงเซ็งแซ่ ผู้คนที่แออัดกันอยู่มีหน้าชื่นตาบาน
สาเหตุที่พวกเขามารวมตัวกันในเมืองกว่างโจว เพราะเหตุผลเดียว นั่นก็คืออยากเจอตัวจริงชายวัยกลางคนโดยเฉพาะ แม้ในปักกิ่งกําลังเผชิญหน้าโศกนาฏกรรมก็ตาม
ชายวัยกลางคนโบกมือทักทายฝูงชน เสียงร้องระเบ็งเซ็งแซ่ ดังระงมทั่วสถานที่นัดรวมตัว
ชายที่กําลังโบกมือแสดงอากัปกิริยาเป็นกันเอง มีชื่อว่า ฮวางจุนเผิง เป็นนักแสดงชาวจีนและยังแสดงหนังฮอลลีวูดเรื่องดังอีกหลายเรื่อง นิตรสารดาราสํานักหนึ่งรายงานว่า อันดับบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก 100 อันดับ หนึ่งในร้อยคนต้องมีชื่อเขาติดอยู่
ทั้งๆที่อายุขึ้นเลข 4 แต่หน้าตากลับหล่อเหล่าอย่างไม่น่าเชื่อ รอยเหี่ยวย่นหรือรอยตีนกาไม่มีให้เห็น สัดส่วนร่างกายสมบูรณ์แบบราวประติมากรรมชั้นเลิศ การเข้าถึงบทละครก็ทําออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมไม่มีที่ติ แฟนคลับจํานวนมากอินไปกับการแสดงของเขา เมื่อลองนํานักแสดงคนอื่นๆเทียบกับฮวางจุน…พวกเขาเหล่านั้นเป็นได้แค่มือใหม่
ฉะนั้นการปรากฏตัวของเขากลางที่สาธารณะจึงเรียกเสียง ฮือฮาได้มากกว่าดาราคนอื่นๆ
“คุณฮวาง ผมเป็นแฟนคลับของคุณ!!
“ผมขอลายเซ็นต์ของคุณหน่อยได้ไหม!!”
“หวังว่าคุณคงไม่ตําหนิถ้าผมอยากขอถ่ายรูปคู่ด้วย?”
ฮวางจุนเผิงไล่จับมือแฟนคลับที่ละคน..
“ขอบคุณความกระตือรือร้นต้อนรับผมนะครับ แต่หน้าเสียดายการแจกลายเซ็นต์ทํานอกตารางงานไม่ได้ ส่วนเรื่องถ่ายรูปทําได้ตามสะดวกเลยครับ”
“เย้!! ขอบคุณครับ!!”
“ตื่นเต้นจัง ฉันควรโพสท่าไหนดีหนอ เอาเป็นท่านี้ก็แล้วกัน สําหรับฉันท่านี้หล่อที่สุดแล้ว”
ฮวางจุนเผิงถูกรุมล้อมถ่ายรูปคู่กับฝูงชนหลายสิบคน ขณะกําลังง่วนอยู่กับการถ่ายรูป ชายหนุ่มแต่งตัวเหมือนนักข่าววิ่งต่อ ตรงดิ่งมาหาเขาพร้อมไมค์โครโฟน
“คุณฮวางครับ ได้ยินมาว่าคุณจะมอบรายได้ทั้งหมดจากภาพยนตร์เรื่อง จอมโจรสิ้นตํารา ให้กับครอบครัวผู้ประสบภัยพิบัติในกรุงปักกิ่ง ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือป่าวครับ”
ฮวางจุนเผิงแสดงท่าทางอายเหนียมเล็กน้อยสําหรับคําถาม
“เป็นเรื่องจริงครับ”
“ว้าว!!!”
“หน้าตาก็ดียังมีจิตใจการกุศลอีก..”
ฝูงชนรอบๆส่งเสียงปรบมือให้กับความหวังดีของฮวางจุนเผิง..
ฮวางจุนเผิงเผยใบหน้าเศร้าสลด พร้อมกล่าวด้วยน้ําเสียงแผ่วเบา
“เหตุการณ์ในปักกิ่งสะเทือนใจผมมากๆ หลินจือหมิงสนิทสนมกับผมพอสมควร พวกเราคุยแลกเปลี่ยนปัญหาบทละครด้วยกันเป็นประจํา การเสียชีวิตของเธอ ทําให้จิตใจของผมบอบซ้ํา”
“คุณฮวางเกี่ยวกับเรื่องนั้น”
“ผมขอโทษจริงๆครับ ตอนนี้ผมบอกข้อมูลได้แค่นี้”
ฮวางจุนเผิงปฏิเสธคําถามจากนักข่าวทันควัน โดยไม่ปล่อยให้นักข่าวซักไซ้ลงลึกไปมากกว่านี้ เขาหันไปสบตากับผู้จัดการส่วนตัว
หญิงสาวอายุ 20 กลางๆวิ่งปรี่เข้าไปหาฮวางจุนเผิงอย่างรวดเร็ว
“ฉันรู้สึกละห้อยละเหี่ย รีบเผ่นหนีออกจากตรงนี้เข้าไปพักด้านในดีกว่า”
ฮวางจุนเผิงโบกมือทักทายแฟนคลับ พลางกระซิบบอกข้างหูผู้จัดการ…
ผู้จัดการพยักหน้าเข้าใจและเริ่มควบคุมฝูงชนที่เนืองแน่นขวางถนนให้กระจายตัวเปิดทาง ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่บริษัทความปลอดภัย ในที่สุดฮวางจุนเผิงก็สามารถฝ่าฝูงชนออกมาได้อย่างทุลักทุเล เขารีบตรงดิ่งเข้าไปในอาคาร พูดคุยกับพนักงานต้อนรับหน้าล็อบบี้สักพัก ก็กดลิฟต์ไปเพนต์เฮาส์ส่วนตัวชั้นบนสุด
เมื่อมาถึงห้องพักฮวางจุนเผิงคลายเน็คไทและหย่อนก้นนั่งพักเหนื่อยบนโซฟา ผู้จัดการเดินเข้ามาในห้องเป็นคนสุดท้ายและพูด
“คุณเหนื่อยมาทั้งวัน อย่าลืมนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หากคุณต้องการอะไรเพิ่มเติมโทรมาหาดิฉันได้ตลอดเวลา”
“ฉันอยากได้สาวๆมาผ่อนคลาย ช่วยจัดการให้หน่อย”
ผู้จัดการรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์กับคําขอของฮวางจุนเผิงเป็นที่สุด เธอเพิ่งได้รับตําแหน่งผู้จัดการส่วนตัวฮวางจุนเผิงได้ไม่นาน เธอพยายามปรับตัวให้เข้ากับเขา แต่เหมือนจะคว้าน้ําเหลว
ก่อนหน้าที่เธอจะเป็นผู้จัดการ ในสายตาของเธอฮวางจุนเผิงดูภายนอกเหมือนเป็นสุภาพบุรุษ ที่ไม่อาจทนดูสภาพเวทนาคนยากจน พอเธอรับตําแหน่งผู้จัดการ เธอรู้ได้ทันทีว่าคิดผิด เขาแตกต่างจากจินตนาการลิบลับ ราวกับว่าตัวตนของฮวางจุนเผิงมี 2 บุคลิกในร่างเดียวกัน
เมื่อฮวางจุนเผิงเห็นว่าผู้จัดการไม่ยอมตอบ เขาจึงเผยรอยยิ้มหัวออกมา
“หรือเธออยากทําแทน?”
“ไม่ค่ะ”
ผู้จัดการลุกลี้ลุกลนรีบอ้าวออกจากห้อง
ฮวางจุนเผิงมองแผ่นหลังผู้จัดการจากไปและเดาะลิ้น..
“ชิ เธอเฉยชาเป็นบ้า”
ฮวางจุนเผิงลุกขึ้นจากโซฟา เดินตรงไปหน้าต่างที่ทํามาจากวัสดุกระจกขึ้นรูปทรงยาว ด้านล่างของอาคารฝูงชนยังไม่จากไปไหน พวกเขายังคงรวมตัวอยู่อยู่พร้อมทั้งแหงนหน้ามองขึ้นมาบนเพนต์เฮาส์เป็นระยะๆ
“มองจากมุมสูง พวกคลั่งไคล้ดารา ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกมดปลวก” ฮวางจุนเผิงบ่นพึมพํา
เขาหวนนึกถึงบทสัมภาษณ์กับนักข่าวเมื่อครู่ ทําให้เจ้าตัวเผลอหลุดขํา..
“ไอ้พวกงั่ง”
“นายดูบันเทิงเหลือเกินนะ”
ฮวางจุนเผิงหันขวับมองต้นตอเสียง บนโซฟาที่เคยว่างเปล่า กลับมีคนแปลกหน้าไม่รู้หัวนอนปลายเท้า นั่งพักกระดิกด้วย ท่าที่ผ่อนคลาย
“นายเป็นใคร?”ฮวางจุนเผิงถามด้วยน้ําเสียงทุ่มต่ํา
ฮวางจุนเผิงหรี่ดวงตาครุ่นคิด สามารถพูดได้เต็มปาก คนแปลกหน้าที่กําลังนั่งสบายๆบนโซฟา ไม่ใช่สตอล์กเกอร์ที่ชอบแอบตามเหยื่อแล้วถ้ํามอง
หากเป็นสตอล์กเกอร์จริงๆ อีกฝ่ายไม่มีทางหนีพ้นประสาทสัมผัสของฮวางจุนเผิงได้
“ฉันเป็นแฟนคลับ” คนแปลกหน้าพูด
“นายกําลังเล่นมุกตลก?”
“แอนตี้แฟน ก็จัดอยู่ในหมวดแฟนคลับเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
อีกฝ่ายไม่ใช่คนจีน ฮวางจุนเผิงคาดคะเนว่าอาจเป็นคนสัญชาติญี่ปุ่นหรือเกาหลี สรีระภายนอกอยู่ในช่วงวัยรุ่น
ฮวางจุนเผิงครุ่นคิดสักพักและถามด้วยรอยยิ้มบางๆ “นายคือคิมซูฮยอน?”
“นายรู้ได้ไง ชื่อเสียงของฉันโด่งดังมาถึงประเทศจีนเลยเหรอเนี่ย”
“ฉันได้ยินคําเล่าขานของนายมานานพอสมควร บังเอิญจัง ฉันก็เป็นแฟนคลับของนายเหมือนกัน”
“นายหมายถึงแอนตี้แฟน?”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า สมแล้วที่เป็นคิมซูฮยอน รู้ทันได้แม้กระทั่งความคิด”ฮวางจุนเผิงหัวเราะด้วยน้ําเสียงเยือกเย็น
ฮวางจุนเผิงเดินข้ามซูฮยอนไปเปิดตู้เย็น ด้านในอัดแน่นไปด้วยเครื่องดื่มหลายชนิด เช่น น้ําดื่ม โซดา เบียร์ขวด
เขาเอื้อมมือหยิบเบียร์มาหนึ่งขวดและโยกไปทางซูฮยอน
ซูฮยอนมองขวดเบียร์ลอยอยู่บนอากาศ ง้างมือคว้าอย่างแม่นยํา
“ดื่มทักทายกันหน่อยดีกว่า”ฮวางจุนเผิงชักชวน
“ฉันถ่อมาถึงที่นี่ ไม่ใช่เพราะอยากดื่มสังสรรค์กับนาย”
“อะลุ่มอล่วยผ่อนคลายอารมณ์หน่อยก็ได้ สาเหตุที่นายมาถึงที่นี่ ฉันเดาว่านายคงรู้เรื่องราวทุกอย่างหมดแล้วสินะ ไม่แน่ ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราได้มีโอกาสลิ้มลองรสชาติเบียร์ เพลิดเพลินซึมซับฤทธิ์แอลกอฮอล์คงไม่แย่เกินไปหรอกมั้ง จริงไหม”
ซูฮยอนพินิจมองฮวางจุนเผิงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงใช้ฝ่ามือเปลือยเปล่าเปิดฝาขวด ก่อนกระดกเบียร์ดื่มหนึ่งอีก
อีก!!!
เพราะอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม ซูฮยอนจึงเพลิดเพลินลุ่มหลงรสชาติของเบียร์มากไม่ได้
“ฉันได้ยินคนอื่นเล่าวีรกรรมของนายหลายอย่าง นายมันโดดเด่นเกินหน้าเกินตาคนอื่นจริงๆ ฉันหวังอยากเจอนายสักครั้งเหมือนกัน” ฮวางจุนเผิงพูด
“แต่นายก็ทําไม่ได้ เพราะใบหน้าของนายรู้จักไปทั่วประเทศจีน ขยับแค่นิดเดียวก็กลายเป็นข่าว ไม่เหมือนกับฉัน”
“นายรู้มากแค่ไหน?”
“ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ” ซูฮยอนเขย่าขวดเบียร์ ภายในยังเหลือน้ําเมาอีกครึ่งขวด
“น่าขันสิ้นดี บริจาคเงินช่วยเหลือให้กับครอบครัวที่ตัวเองลงมือฆ่า แถมยังตีหน้าเศร้าบอกนักข่าวว่าสงสารและโศกเศร้าอีกนะ”
เพล้ง!!
ซูฮยอนเผลอกําหมัดแน่น ขวดเบียร์แตกกระจายเป็นเศษเล็กๆ น้ําเมาหกละเลงเต็มโต๊ะ
“นั่นก็เป็นการเสแสร้งเหมือนกัน?”
ซูฮยอนจ้องมองฮวางจุนเผิงด้วยสายตาถมึงทึง ฮวางจุนเผิงเบ้ริมฝีปาก
เขาเอื้อมมือเปิดฝาขวดเบียร์พลางกล่าวตอบ “เพราะมันสนุกดี”
“คุณหมายถึงอะไร?”
“ตีบทแตกเลยไม่ใช่หรือไง ฉันหมายถึงการแสดงอะนะ”
อีก!
ฮวางจุนเผิงดื่มเบียร์หนึ่งอึกแล้วรีบกล่าวต่อ “สร้างภาพหลอกลวงใครสักคน แสดงภาพลักษณ์สุภาพบุรุษรูปหล่อ เฝ้ามองอาการคลั่งไคล้ของผู้คน สําหรับฉันมันเป็นวิถีชีวิตที่แสนสนุกสนานและน่าหัวเราะ เพราะเหตุผลเช่นนี้ทําให้ฉันอยากเป็นนักแสดง”
“คุณควรเอาดีด้านการแสดงมากกว่า ไม่ใช่อาชญากรรมแบบที่เป็นอยู่”
“ฉันเคยมีความคิดเหมือนนาย แต่เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ฉันมีรู้สึกชินชากับการแสดง แต่ว่า…”
ตุบ!! ตุบ!!
ฮวางจุนเผิงเดินตรงดิ่งไปที่หน้าต่างบานใหญ่อีกรอบ
“ลองมองดูเจ้าพวกงี่เง่ากลุ่มนั้นดูสิ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ําว่าแท้จริงแล้วฉันมีนิสัยใจคอเป็นยังไง พวกเขาชมชอบตัวปลอมๆของฉัน ที่รังสรรค์มาจากจินตนาการ ฉันกล้ารับรองว่าอีกไม่นาน ครอบครัวผู้เสียหายจะต้องวิ่งแจ้นเข้ามาร้องห่มร้องไห้โผกอดฉัน แล้วบอกประมาณว่า…”
ฮวางจุนเผิงหันหน้ากลับมาและพูดด้วยน้ําเสียงกระเส่า “ขอบคุณสําหรับความเกื้อกูลที่ช่วยออกค่าจัดงานศพให้ครอบครัวเรา ลูกชายของฉันเป็นแฟนคลับตัวยงของคุณ เขาต้องดีใจแน่ๆ ดาราที่ชื่นชอบมาเยี่ยมงานศพถึงที่ ในฐานะคนเป็นแม่ ฉัน…ฮือ ฮือ ฮือ”
ซูฮยอนนิ่งเงียบ ไม่ไหวติง
“อย่างที่ฉันเคยพูดไปตอนแรกพวกเขาไม่รู้ตัวตนจริงๆของฉันเลย ฉันก็เลยแสดงละครหน้าไหว้หลังหลอก พวกโง่ก็โง่อยู่วันยังค่ํา ไม่มีทางที่พวกมันจะผันตัวเป็นนักปราชญ์ไปได้ ทุกวันๆฉันต้องเสียเวลาพักผ่อนโดยใช่เหตุ เพราะเฝ้าคอยดูแคลนพวกมัน”
“มันตลกขนาดนั้นเลย?”
“ใช่ สําหรับฉันมันทั้งตลกและสนุกสุดเหวี่ยง”
ฮวางจุนเผิงตอบกลับโดยไม่มีทีท่ากระฝึกกระหยัก
“สาเหตุที่คุณสร้างกิลด์ดัมพ์ขึ้นมา เพราะต้องการปิดบังที่ตัวเองเป็นผู้ตื่นขึ้นใช่หรือป่าว?”
คําพูดของซูฮยอน ทําให้ฮวางจุนเผิงเผยรอยยิ้มกริ่มออกมา…
ฮวางจุนเผิงเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักแสดงมากความสามารถ ไม่ใช่ในฐานะผู้ตื่นขึ้น
แต่สําหรับซูฮยอน ฮวางจุนเผิงเป็นผู้ตื่นขึ้นนิสัยหยาบช้าสุดๆคนหนึ่ง เขาเป็นถึงผู้ก่อตั้งกิลด์ดัมพ์ขึ้นมา และในหลืบมีดเขายังเป็นอาชญากรตัวเป้ง ฮวางจุนเผิงที่ซูฮยอนรู้จัก เป็นคนเช่นนี้
“นายเดาแม่นจัง ฉันอุตส่าห์ซ่อนไว้อย่างมิดชิดแล้วเชียว ฉันอยากรู้จริงๆว่านายรู้ได้ยังไง”
ฮวางจุนเผิงจุดบุหรี่สูบและถาม “นายบอกข้อมูลเกี่ยวกับฉันให้รัฐบาลจีนรับรู้แล้วสินะ ไม่งั้นนายไม่มีทางรู้ตําแหน่งที่อยู่ของฉันได้”
“ใครบอกนาย? ฉันรู้ตั้งนานแล้วว่าเป้าหมายการโจมตีของนายคือปักกิ่ง คุณเป็นคนรอบคอบ ตัวตนที่แท้จริง รัฐบาลจีนคงไม่ทางรู้”
ซูฮยอนคิดว่าเขาเป็นเพียงไม่กี่คนที่รู้ประวัติฮวางจุนเผิงมากที่สุด แต่มีบางจุดอยู่เหนือความคาดหมาย
“ฉันไม่คิดมาก่อนว่านายจะกล้าฆ่าหลินจือหมิง”
ฮวางจุนเผิงเป็นคนประเภทยั้งคิดวางแผนอะไรต้องรอบคอบ เขาปกปิดความสามารถที่แท้จริงเอาไว้อย่างมิดชิด แผนการทุกอย่างถูกวางเป็นชั้นเชิงและมีทางหนีทีไล่ ซูฮยอนพิเคราะห์หากทางรัฐบาลจีนรู้เห็นเป็นใจกับฮวางจุนเผิง คงไม่วิ่งอุตลุดปราบปรามกิลด์ดัมพ์ในประเทศจีนอย่างเอาเป็นเอาตายเยี่ยงนี้แน่
ขนาดมีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S 2 คนเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพัน ฮวางจุนเผิงยังคงยืนกรานดําเนินแผนการอย่างไม่กลัวพลั้งพลาด…
“ยัยหลินจือหมิงคนนั้นงั้นเหรอ หึ ฉันเก็บกดอยากฆ่าเธอมานานแล้ว ฉันมีโอกาสเจอเธอครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ เธอทําตัวขวางหูขวางตาเอง ช่วยไม่ได้ ฮ่า ฮ่า”
“เขาเคยมีเรื่องบาดหมางกับเธองั้นเหรอ?”ซูฮยอนคิดในใจ
“ไม่สิ มันไม่สมควรเรียกเรื่องบาดหมาง”
ฮวางจุนเผิงกล่าวว่า ฆ่าเธอเพราะขวางหูขวางตา คนปกติสติสัมปชัญญะครบถ้วนคงไม่มีใครทํากัน
“ฮวางจุนเผิงเป็นโรคจิตตัวพ่อเลยนี่หว่า” ซูฮยอนคิด
ภายในกิลด์ดัมพ์มีคนร้อยพ่อพันแม่หลากหลายนิสัยอยู่รวมกัน นิสัยที่พบเห็นมาที่สุดคงหนีไม่พ้นพวกชอบอวดเบ่งความแข็งแกร่งของตัวเอง แถมยังชอบแสดงท่าทางบิดๆเบี้ยวๆ ราวอาชญากรคลุ้มคลั่ง
อย่างไรก็ตามฮวางจุนเผิงแตกต่างจากพวกเขาเหล่านั้น เขามุทะลุเหลือผู้อื่นหลายเท่า
ก่อนเป็นผู้ตื่นขึ้น เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วในฐานะดารานักแสดงชื่อดัง ภาพลักษณ์สุภาพบุรุษ อ่อนน้อมถ่อมตนต่อสิ่งรอบข้าง คือการเสแสร้งที่ถูกเขียนบทขึ้น
บุคลิกแต่กําเนิดของฮวางจุนเผิงโรคจิตมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาสนุกกับการหยอกเล่นความรู้สึกของผู้คนและลอบแทงข้างหลังพวกเขาตบท้าย…
“ที่ผ่านมานายคงคิดประมาณว่า ตัวเองอยู่สูงกว่าพวกเขาสินะ”ซูฮยอนพูดพลางชี้นิ้วไปด้านล่าง มองลอดผ่านหน้าต่างลงไป ยังเห็นแฟนคลับจํานวนหนึ่งรวมตัวกันยังไม่ยอมจากไปไหน
“บางทีคุณอาจคิดถูก ฮวางจุนเผิงถือว่านายสวมบทบาทเป็นนักแสดงได้แยบยลมาก ไม่แปลกที่นายจะยกหางตัวเอง”
“นายกําลังชมเชยฉันอยู่เหรอ แหม่รู้สึกขัดเขินนิดๆเหมือนกันแฮะ”
“อย่าคิดเองเออเอง มันไม่ใช่คําชม” ซูฮยอนหันเผชิญหน้า
“ฉันหมายความว่าจะฉุดกระชากนายลงมาจากจุดสูงสุดต่างหาก”
“งั้นเหรอ แล้วนายจะใช้เล่ห์กลแนวไหน… ฉุดกระชากฉันลงไปหล่ะ?”
“ฉันส่งผู้จัดการของนายให้เข้าสู่ห้วงนิทรา อย่างน้อย 1 ชั่วโมงต่อจากนี้ คนของนายไม่สามารถยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของนายและฉัน ที่สําคัญฉันกางม่านเก็บเสียงเอาไว้ในห้องแล้วด้วย”
“นายตระเตรียมตัวมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”
คําพูดของฮวางจุนเผิง ซูฮยอนพยักหน้าขึ้นลงเพื่อเป็นการยืนยัน
“เพนต์เฮาส์ของนายสวยดี ห้องนั่งเล่นที่กว้างขวาง ฉันสามารถเล่นฟุตบอลที่นี่ได้ใช่มั้ย?”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ฮวางจุนเผิงหัวเราะด้วยน้ําเสียงแหบพร่า เขาโยนขวดเบียร์และหักนิ้วมือ
“สมบูรณ์ไร้ที่ติ ฉันคงรู้สึกกลัดกลุ้มหากต้องเปิดเผยความสามารถตัวเองระหว่างการต่อสู้ให้คนนอกรับรู้ มีใครรู้เรื่องของฉันอีกบ้าง?”
“ไม่มีแม้แต่คนเดียว ถ้าคุณฆ่าฉันได้ รับรองว่าไม่มีใครสาวความถึง”
“นายมีจิตใจแน่วแน่จังเลยนะ”
“เพราะถ้านายเลือกหนี ฉันจะตกอยู่ในที่นั่งลําบาก”
“หนี? ฉันเนี่ยนะ?”
“เลิกแสร้งทําท่าทางมั่นอกมั่นใจสักทีเถอะ ฉันรู้จักนายดี และรู้ว่านายเป็นคนแบบไหน”
นับเป็นครั้งแรกที่ซูฮยอนเห็นว่ารอยยิ้มของฮวางจุนเผิงเริ่มเกิดรอยปริแตก
“ว่าแต่คนอื่นแสร้ง แล้วแกล่ะ? ทําเป็นรู้จักฉันดี? ไม่เรียกว่าแสร้งเหมือนกันเหรอ ใครเชื่อก็บ้าแล้ว”
“จะคิดยังไงก็เรื่องของนาย แต่ผมรู้จักนายดี”
ซูฮยอนไม่ได้พูดแต่ลมปาก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาและฮวางจุนเผิงเผชิญหน้ากัน
“เป็นเพราะฉัน…”ซูฮยอนคิดในใจ
ในชีวิตก่อนซูฮยอนสํานึกผิดที่ปล่อยให้ฮวางจุนเผิงลอยนวลหลบหนีไปได้ เพราะความชะลาใจและไตร่ตรองไม่รอบคอบของตัวเอง
ฮวางจุนเผิงหลบหนีไปกบดาลที่ไหนไม่มีใครทราบ เขาแอบสร้างกิลด์ขึ้นใหม่อย่างลับๆ ต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีในการกวาดล้างกิลด์ดัมพ์ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ให้สิ้นซาก
เวลาไหนก็ตามที่ซูอยอนจินตนาการถึงผู้คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ตกเป็นเหยื่ออารมณ์ของกิลด์ดัมพ์ ทรวงอกรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก..
“คราวนี้ฉันจะไม่ปล่อยให้นายหนีไป” ซูฮยอนพูด
“นายเป็นพวกชอบหาเหาใส่หัวสินะ เห็นแล้วขัดหูขัดตาเป็นบ้า”
“พอกันที่สําหรับเรื่องไร้สาระ เข้ามาเลย”
ซูฮยอนชักดาบออกมาจากฝัก..
“อย่าวิ่งหนีก็แล้วกัน”
“หึ!!”
ทันใดนั้นคลื่นพลังเวทย์หนาแน่นและเหลือล้นลอยตัวเต็มห้องนั่งเล่น สัมผัสครั้งแรกช่างเป็นพลังเวทย์ที่บั่นทอนสภาพจิตใจสุดที่จะทนได้..
“ดูจากรูปทรง ฉันจําเป็นต้องสังหารเขาให้เร็วที่สุด”
ความเข้มข้นของพลังเวทย์ทําให้ซูฮยอนรู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูก ซูฮยอนเคยปราบฮวางจุนเผิงอยู่หมัดมาแล้วในอดีต
แต่ตอนนั้นกับตอนนี้มันคนละเรื่อง การจัดการกับฮวางจุนเผิงอาจไม่ง่ายเหมือนในอดีต เพราะความแข็งแกร่งพวกเขาทั้งคู่ไล่เลี่ยกัน
“ผ่านมาประมาณ 10 ปีได้แล้วมั้ง นับตั้งแต่เขาเป็นผู้ตื่นขึ้น”ซูฮยอนคิด
หลังจากการถือกําเนิดดันเจี้ยนและมีคนครอบครองพลังเหนือธรรมชาติ ฮวางจุนเผิงจัดเป็นกลุ่มแรกๆที่ได้ถือครองพลังนั้น
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฮวางจุนเผิง ก็ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในหอคอยแห่งการทดสอบหามรุ่งหามค่ํา ใน 1 ปี สละเวลา 23 เดือนออกมารับแสงอรุณเพื่อจัดการธุระส่วนตัว
ผู้ตื่นขึ้นคนอื่นเลือกโจมตีดันเจี้ยน แต่ฮวางจุนเผิงเลือกเดินทางสายอาชีพนักแสดง พร้อมยกระดับความแข็งแกร่งในหอคอยแห่งการทดสอบ
ฮวางจุนเผิงนับว่าเป็นผู้ตื่นขึ้นที่มีฝีไม้ลายมือมากๆคนหนึ่ง จะบอกว่าเขาคือผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ก็ไม่ใช่คําพูดเกินจริง
หากถามว่า ในเมื่อรู้ตัวตนของฮวางจุนเผิงอยู่แล้ว ทําไมถึงยังปล่อยให้เขาเดินลอยชายในสังคม
มีด้วยกัน 2 เหตุผล
เหตุผลที่ 1 ฮวางจุนเผิงปิดบังซ่อนเร้นความสามารถของตัวเอง ถ้ารู้ตัวว่ามีคนมองการแสดงละครออก เขาจะรีบซ่อนตัวทันที หากฮวางจุนเผิงตัดสินใจซ่อนตัวในมุมมืดเมื่อใด การควานหาร่องลอยของเขาแทบเป็นไปไม่ได้ เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร
เหตุผลที่ 2 ซูฮยอนไม่อยากประมาทและไม่ต้องการให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ต้องมีความมั่นใจว่าจะสามารถจัดการเป้าหมายได้อยู่หมัด ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาขัดเกลายกระดับความสามารถของตัวเอง เพื่อเป็นหลักค้ําประกันไม่ให้ฮวางจุนเผิงหนีรอดไปจากเงื้อมมือ