การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 82
ตอนที่ 82
บรรยากาศโดยรอบๆตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีใครกล้าเปิดปากพูด คนที่ควรก้าวออกไปด้านหน้า ก็ยังไม่แสดงตัว ทำให้ผู้ตื่นขึ้นทุกคนหันหน้าไปมองคนๆนั้น
“สิบ เก้า แปด เจ็ด หก ห้า…”
ตุบ
ความเงียบงันที่ปกคลุม กลับถูกฝีเท้าหนักๆของใครบางคนทำลายลง เวลา 10 วิ ที่ซูฮยอนกำหนดเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ ลีคังฮุยจึงตัดสินใจก้าวออกมาด้านหน้า..
“เอ่อคือ..คนที่นายหมายถึง ใช่ฉันหรือป่าว”ลีคังฮุยถาม
“ที่นายก้าวออกมา นายก็รู้ตัวเองดีไม่ใช่หรือไง?”ซูฮยอนถาม
น้ำเสียงของซูฮยอนเย็นช้ามาก ทำให้สีหน้าลีคังฮุยที่เคยตึงเครียด อาการหนักลงไปอีก…
ลีคังฮุยพยายามปั่นสีหน้ายิ้มแย้มขึ้นมา ก่อนเป็นฝ่ายเริ่มอธิบาย..
“เหตุการณ์ก่อนหน้า ฉันขอโทษด้วยจริงๆ ฉันไม่ได้อยากขัดขืนคำสั่ง แต่ว่า..”
“ไม่มี [แต่] อะไรทั้งนั่น..”
“หืม?..”ลีคังฮุยยกหัวขึ้นไปมองซูฮยอนด้วยสายตาสับสน
“ฉันสงสัยมาตั้งนาน ว่านายจะยกเหตุผลอะไรมาอ้าง จะใช่อย่างที่ฉันคิดไหม สุดท้ายมันก็เป็นอย่างที่ฉันคิดจริงๆ”
หมับ!!
“อ๊ากกกก”
ซูฮยอนยืนมือออกไปด้านหน้าแล้วบิดข้อมือของลีคังฮุย แขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามบิดงอจนเสียรูปทรง
ความเจ็บปวดที่มาโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้ลีคังฮุยก้มหน้าลงไปมองพื้นแล้วร้องโอดครวญ….
ยิ่งลีคังฮุยขยับตัว ความเจ็บปวดที่กระจุกกันอยู่ แผ่ซานไปตามส่วนต่างๆของร่างกายอย่างรวดเร็ว…
“หากคิดขอโทษคนอื่นจริงๆ นายไม่ควรมีคำว่า [แต่] ในประโยค ถ้าหลุดไปในประโยคเมื่อไหร่ ประโยคที่พูด จะกลายเป็นคำแก้ตัวทันที นายเข้าใจสิ่งที่ฉันจะสื่อใช่ไหม?”
กรอบแกรบ
“อ๊ากกกกก”ลีคังฮุยกรีดร้องออกมาสุดเสียง
“ต่อให้ความตั้งใจแรกของนาย จะทำไปเพื่อความหวังดีหรือเพราะความโลภ แต่การกระทำของนาย ทำให้คนอื่นตกอยู่ในที่นั่งลำบาก รวมทั้งฉันด้วย”ซูฮยอนพูด
“ฉะ..ฉันขอโทษ ฉันสำนึกผิดแล้วจริงๆ”
“ขอโทษ? เสียใจด้วย คำขอโทษของนายมันสายเกินไปแล้ว ต่อให้นายร้องห่มร้องไห้ ฉันก็ไม่ให้อภัยนายอยู่ดี”
“แม่ง…ไอ้เวร!!!”
ลีคังฮุยใช้มืออีกข้างที่ปกติหยิบดาบที่เหน็บไว้ข้างเอวขึ้นมา ใบดาบที่แหลมคมวิ่งผ่านสายลมพุ่งตรงไปทางศีรษะของซูฮยอน..
ปัง!!!
ในเมื่ออีกฝ่ายถูกจาไม่เข้าหู ลีคังฮุยจึงงัดแผนการร้ายที่วางไว้ขึ้นมาใช้…
สกิลที่ลีคังฮุยถือครอง คือการออกดาบเพียงครั้งเดียว สามารถเพิ่มจำนวนดาบได้ถึง 10 เล่ม…
คมดาบ 10 เล่ม ลอยอยู่กลางอากาศเหมือนอสรพิษกระหายเลือด..
ผู้ตื่นขึ้นที่ยืนชมอยู่ห่างๆ คิดไปในทางเดียวกัน ซูฮยอนที่ไม่ทันตั้งตัว คงหนีคมดาบไม่พ้น
“ตายซะเถอะ ไอ้เด็กเมื่อวานซีน”ลีคังฮุยตะโกนออกมาด้วยความยินดี
ในระหว่างที่ลีคังฮุยกำลังดีใจ
กรอบแกรบ
เขาสัมผัสได้ว่าแขนซ้ายที่พึ่งออกกระบวนท่าดาบ เหมือนฟันโดนของแข็งอะไรบางอย่าง จนดาเมจสะท้อนกลับมา ทำให้กระดูกแขนซ้ายร้าวไปหมด..
“นายมีสกิลที่ใช่ได้เหมือนกันนี่ แต่น่าเสียดายที่นายใช้แขนซ้าย หากเปลี่ยนไปเป็นข้างที่ถนัด นายอาจฟันโดนเส้นผมของฉันได้บ้าง”
แขนทั้งสองข้างของลีคังฮุยถูกทำลายจนป่นปี้ แม้เป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ A กว่ากระดูกที่แตกหักจะสมานกัน ต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน…
ลีคังฮุยตอนนี้ก็เปรียบเสมือนคนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง เพราะเขาไม่สามารถต่อสู้ได้อีกแล้ว..
“ไม่..เป็นไปไม่ได้ แกรอดไปได้ยังไง”ลีคังฮุยกัดฟันพูด…เขาพยายามควบคุมสติให้อยู่ในกรอบ เพื่อไม่ให้คำพูดที่พูดออกไปเกิดอาการติดอ่าง
“แกจะทำอะไรฉัน? มีผู้คนจำนวนมากจับตาดูพวกเราอยู่ไม่ห่าง ก่อนทำอะไรคิดให้ดีๆ ถ้าหากออกไปจากดันเจี้ยนแห่งนี้แล้วละก็…”
“พูดมากน่ารำคาญ อยากตายมากหรือไง”ซูฮยอนพูด
ลีคังฮุยหนาวสั่นไปทั้งตัว ปากที่กำลังพูดต่อ ถูกรูดซิบปิดผนึกเอาไว้ ถ้าเกิดเผลอพูดไปอีกคำเดียว มีหวังโดนอีกฝ่ายเชือดแน่
ซูฮยอนยกมือยมทูตขึ้นมา ก่อนบิดข้อต่อบริเวณหัวไหล่ของลีคังฮุย
กรอบแกรบ
“อ๊ากกก”
“รู้อะไรไหม คำพูดของแกมีบางเรื่อง ที่แกเข้าใจผิดอยู่”
นอกจากร้องครวญคราง ลีคังฮุยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายพูดอะไร…
“การโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขี้ยวทุกที่ นอกจากผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ยังมีสมาชิกจากกิลด์ชั้นนำ มาเป็นลูกมือ กฎข้อบังขับที่ทุกคนต้องยืดมั่น คือ คำสั่งของหัวหน้าทีมถือเป็นที่สุด”
คำพูดของซูฮยอน ทำให้ดวงตาของลีคังฮุยสั่นระริกด้วยความกลัว…
“หากคนในทีมถูกความโลภเข้าครอบงำ เพื่ออยากสร้างผลงานจนเกิดการสูญเสีย หัวหน้าทีมสามารถลงโทษคนผู้นั้นได้ทันที ในบางกรณียังสามารถสังหารคนผู้นั้นได้อีกด้วย”ซูฮยอนหยุดพูด ก่อนก้มลงมองลีคังฮุย ที่นั่งร้องร้องครวญครางอยู่กับพื้น..
“ไม่ทราบว่ากิลด์มาสเตอร์ปาปิยอง อยากตายหรือป่าว?”
“ไม่…ฉันยังไม่อยากตาย”
“ถ้ายังไม่อยากตา ปิดปากเน่าๆของแกซะ”
ซูฮยอนปล่อยมือออกจากไหล่ลีคังฮุย ก่อนเปลี่ยนไปจับบริเวณลำคอ แล้วยกร่างกายของลีคังฮุยจขึ้นมา…
“ฉันยังไม่หายโมโห ถ้างั้นขอเล่นสนุกกับแกต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน”
นี่เป็นครั้งแรกที่ลีจุนโฮมีโอกาสได้เห็นซูฮยอนทรมานคนอื่นกับตา ที่ผ่านมา นอกจากจัดการนอกรอบ เจ้าตัวไม่เคยทรมานคนอื่นในเขาเห็นเลยสักครั้ง..ลีจุนโฮคิดไม่ถึงว่าซูฮยอนจะมีด้านซาดิสม์เหมือนกัน
“ตอนฉันได้ยินข่าวว่าซูฮยอนสังหารจองดงย็อง ฉันแอบคิดในใจเสมอ ว่าเจ้าตัวมีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น”
แต่พอมาเห็นด้วยตาของตัวเองกลับพบว่าไม่ใช้ความจริง หากไม่โดยยั่วยุก่อน ซูฮยอนคงไม่เสียเวลาไปทะเลาะกับเศษขยะข้างถนน
ความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าทีม เป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัย ลูกกิลด์ปาปิยอง เมื่อเห็นกิลด์มาสเตอร์ตกอยู่สภาพอเนจอนาถ กลับไม่มีใครกล้ายินมือเข้าไปช่วย.. ขนาดแรงค์ A ยังร้องเป็นลูกหมา แล้วตัวตนเล็กจ้อยอย่างพวกเขาจะไปช่วยอะไรได้?
“อยากรู้จริงๆจะไม่ไอ้งั่งคนไหนกล้ายินมือเข้าไปช่วยลีคังฮุย เป็นถึงกิลด์มาสเตอร์กลับหนีเอาตัวรอดมาคนเดียวและทิ้งลูกกิลด์เอาไว้เบื้องหลัง”ลีจุนโฮคิดและถอนหายใจ
สุดท้ายซูฮยอนก็ไม่ได้ฆ่าลีคังฮุย อย่างไรก็ตามเขากลับเลือกทิ้งบาดแผลเอาไว้บนร่างกายของอีกฝ่ายแทน ต่อให้ลีคังฮุยยังมีลมหายใจ เจ้าตัวก็เหมือนกับตายทั้งเป็น..
“เป็นไงมั่ง สบายใจแล้วหรือยัง?”ลีจุนถาม
ซูฮยอนพยักหัวด้วยสีหน้าสดชื่นก่อนตอบ “หายโมโหไปบ้าง”
“ดีแล้วที่นายหายโมโห ถ้านายฆ่าลีคังฮุย งานหยาบแน่”
“มีคนบางประเภทวางแผนฆ่าเพื่อนร่วมทีมเพื่อหวังส่วนแบ่ง ลีคังฮุยไม่ได้ถึงแย่ถึงขั้นนั้น เขาแค่โง่มากเกินจนไม่เหมาะกับการเป็นกิลด์มาสเตอร์ จากนี้ไปเส้นทางการทำงานระหว่างดันเจี้ยนและกิลด์ปาปิยอง คงทำอะไรได้ยุ่งยากขึ้น เพราะเรื่องเกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้ชื่อเสียงด้านการทำงานของลีคังฮุยย่อยยับ นายเองก็รู้ดี”
“นายคิดอย่างจริงๆเหรอ สำหรับฉัน มั่นใจว่าลีคังฮุยกล้าสังหารคนอื่นเป็นผักเป็นปลาได้ ถ้าหากกิลด์ของเขาได้รับผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้น”ลีจุนโฮพูด
“หมั่นหน้าใคร ไม่ใช่ว่าจะเดินดุ่มๆเข้าไปฆ่าได้เลย ผู้ตื่นขึ้นจากกิลด์อื่นๆ ไม่ได้ตาบอดสักหน่อย แม้จะข่มขู่ให้พวกเขาปิดปากเงียบ แต่ความลับไม่มีในโลก…”
หลังจากได้ยินคำพูดของซูฮยอน ลีจุนโฮจึงถามออกไปด้วยความประหลาดใจ “ถ้าไม่มีคนดูอยู่หล่ะ?”
“จะเหลืออะไรล่ะ ถ้าเป็นฉันลีคังฮุย เพื่อผลงานและผลตอบแทนของกิลด์ คงปาดดังแปรดไปแล้ว”
“โห..นายเป็นยมทูตหรือไง น่ากลัวเป็นบ้า”
“น่ากลัวที่ไหน ฉันแค่พูดความจริง”ซูฮยอนยักไหล่
คำพูดของซูฮยอนดูน่ากลัว แต่สำหรับลีจุนโฮ ซูฮยอนเป็นคนที่มีคุณธรรมและใจดีต่อมิตรสหาย…เขาไม่มีทางทำเรื่องโหดร้ายต่อพวกร่วมทีม ยกเว้นมีงูเห่าแว้งกัด…
“เอาล่ะ หวังว่าต่อไปนี้ลีคังฮุยคงลดทิฐิของตัวเองลงบ้าง”ซูฮยอนพูดทิ้งท้าย เอาไว้ก่อนเดินไปอีกด้านหนึ่ง
“คุณกำลังจะไปไหนอีก?”คิมแทคฮยอนถาม
“พวกนายพักเหนื่อยอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ ดันเจี้ยนแห่งนี้ไม่มีอันตรายหลงเหลืออีกแล้ว”
“คุณซูฮยอนไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา พวกเราต่างหากที่เป็นห่วงคุณ คุณจะไปไหนกันแน่?”
“ฉันว่าจะไปเช็คความสงสัยให้แน่ใจสักหน่อย เดียวฉันกลับมา พวกนายไม่ต้องเป็นห่วง”
คิมแทคฮยอนและผู้ตื่นขึ้นคนอื่นๆอยากถามว่าที่ๆซูฮยอนกำลังจะไปถือที่ใด แต่เจ้าตัวกลับกระโดดหายไปจากกรอบสายตาอย่างรวดเร็ว
เมื่อคิมแทคฮยอนเห็นซูฮยอนหายลับไป เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วหันหน้าไปมองลีคังฮุย
“อ๊ากกกกกกก”
ร่างกายของลีคังฮุยนอนราบลงไปกับพื้น พร้อมชักกระตุกเป็นระยะๆ เหมือนปลาใต้น้ำขึ้นมาอยู่บนบก…ต่อให้ซูฮยอนไม่สั่งการให้พวกเขาพักหายใจหายคออยู่ที่นี่ ดูจากสภาพของลีคังฮุย คงยากที่จะพาเขาไปไหนมาไหนด้วย ทางเลือกที่ดีที่สุด ควรปล่อยให้อีกฝ่ายนอนอยู่กับพื้นนิ่งๆ
*****************
ฟรึ่บ ฟรึ่บ
ซูฮยอนกระโดดไปทั่วบริเวณดันเจี้ยนสีเขียวเพื่อสำรวจอะไรเพิ่มเติม แสงสว่างจากดวงอาทิตย์สาดส่องลงมาเบื้องล่างเล็กน้อย ทำให้บรรยากาศรอบๆเหมือนกำลังชมดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า
เขาเดินสำรวจไปเรื่อยๆ ก่อนไปหยุดอยู่ที่หมู่บ้านร้างแห่งหนึ่ง..
“หมู่บ้านแห่งนี้เป็นของจริง ที่สำคัญยังมีร่องลอยการอาศัยของผู้คนเหลืออยู่ด้วย”
จากร่องลอยที่ซูฮยอนพบเห็น เป็นหลักฐานบ่งชี้แน่ชัดว่าเคยมีคนอาศัยอยู่ที่นี้จริงๆ
ไม่ต้องบอกซูฮยอนก็พอเดาได้ว่าใครเคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้..
ทหารกล้าผู้สูญเสียร่างหลักเหลือเพียงจิตวิญญาณและชุดเกราะประจำตัว หรือสรุปในสั่นๆ อัศวินเกราะเหล็กที่ซูฮยอนต่อกรด้วย ตอนมีชีวิต พวกเขาน่าจะอาศัยอยู่หมู่บ้านแห่งนี้…
ในระหว่างเดินสำรวจหมู่บ้านซูฮยอนหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน ภาพด้านหน้าที่เขาเห็นคือ บ้านหลังใหญ่กว่าทุกหลังและยังมีสภาพสมบูรณ์มากที่สุด
หลังจากยืนมองอยู่นาน เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจด้านใน..
เอี๊ยด!
เสียงเปิดประตูบานเก่า ทำลายบรรยากาศที่เคยเงียบสงบ สภาพห้องด้านในเต็มไปด้วยเศษฝุ่นเกาะอยู่ตามพื้นและผนังหนาเตอะ บ้านที่ถูกปิดผนึกมานาน อุปกรณ์ให้แสงที่เคยใช้งานได้ ก็เสื่อมสภาพลงจนไม่สามารถซ่อมได้ โชคดีที่ยังมีแสงสว่างเล็ดลอดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา..
ฮัดชิ้ว!!
มิรุนอนขดอยู่บนหลังคอของซูฮยอนสูดฝุ่นเข้าไปเต็มปอด ทำให้เจ้าตัวน้อยจามออกมาด้วยเสียงเล็กๆอันน่ารัก
ซูฮยอนหันหน้าไปมองมิรุ ก่อนถาม “ไหวไหม? นายออกไปรอข้างนอกก็ได้นะ”
มิรุน้อยสายหัวปฏิเสธอย่างรีบร้อน พร้อมทำท่าทางสื่อประมาณว่า [ไม่มีอะไรต้องกังวล ผมสบายดี]
ซูฮยอนลูบหัวมิรุ 2 ที ก่อนละสายตาไปมองห้องนั่งเล่น
“กาลเวลาผ่าน สิ่งของก็เสื่อมสภาพตามไป”
ฝุ่นผงที่เกาะอยู่ตามพื้นหรือข้าวของเครื่องใช้ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าบ้านหลังนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้นานมาก
ซูฮยอนรับรู้ได้เลยว่าชาวบ้านทุกคนต้องตกอยู่ในความทุกข์ทรมานจากการโดนดุลลาฮานควบคุม..
เขาเดินผ่านห้องนั่งเล่นและเลือกสำรวจน้อยที่อยู่ใกล้มากที่สุด ภายในห้อง มีเตียงนอนและมุมทำงานโดยเฉพาะ..
ซูฮยอนรีบเดินลึกเข้าไปด้านใน ก่อนพบว่าบนโต๊ะทำงานมีสมุดเล็กว่างทิ้งไว้อยู่ เขาจึงถือวิสาสะหยิบขึ้นมาดู สมุดที่วางทิ้งไว้ เป็น ไดอารี่บันทึกกิจวัตรประจำวัน.
ภาษาที่บรรจงเขียนลงไปในไดอารี่ ไม่ใช้ภาษาเกาหลีหรือภาษาสากล มันภาษาโบราณ แต่เขาก็พออ่านมันได้คร่าวๆ
ซูฮยอนพยายามแปลภาษาจากยุคโบราณให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ บางคำเขาก็ไม่รู้ความหมาย แต่เนื้อหาในไดอารี่ก็พอจับใจความได้
หลังจากแกะภาษาเสร็จ เขาก็อ่านมันอย่างช้าๆ
“วันที่ 13 มกราคม ข้าตัดสินใจเขียนข้อความขึ้น เป็นครั้งแรกที่ข้าต้องมาเขียนบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง เพราะข้าไม่อยากในช่วงเวลาแห่งความสุขจางหายไป ข้า…”
เนื้อหาส่วนแรกของไดอารี่เป็นชีวิตประจำวันที่แสนเรียบง่ายและเต็มไปด้วยความสุข ซูฮยอนไม่รู้เจ้าของไดอารี่เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เพราะผู้เขียนไม่ได้ระบุว่าเป็นเพศไหน
ตัวตนภายในไดอารี่มีหลักๆอยู่ 2 คน ซึ่งทั่งสองคน น่าจะเป็นสามีภรรยากัน…เนื้อหาส่วนใหญ่จึงกลายเป็นเรื่องเล่าชีวิตประจำวันของทั้ง 2 แต่ซูฮฺยอนก็ไม่รู้อยู่ดี ว่า ระหว่าง สามี กับ ภรรยา ใครเป็นคนเขียนไดอารี่กันแน่
สามหน้าแรกของไดอารี่เป็นกิจวัตรประจำวันที่เรียบง่ายและน่าอิจฉา แต่เนื้อหาส่วนหลัง….
“แต่แล้ววันหนึ่ง วันคืนที่สงบสุขกลับถูกทำลาย มีบุรุษนิรนามมาเยือนหมู่บ้านของพวกข้า รูปร่างของคนผู้นั้น ร่างกายทุกส่วนเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่หัวของคนผู้นั้นกลับมีแต่กระดูกไม่มีเนื้อหนังห่อหุ้ม ผู้มาเยือนนิรนามไม่ได้มาตัวคนเดียว ยังมีหนึกยักษ์เป็นบริวาร เขาใช้กำลังเข้าควบคุมหมู่บ้านของพวกข้า คำเตือนของเขายังดังก้องอยู่ในหัวของข้าทุกวัน ผู้มาเยือนข่มขู่ชาวบ้านทุกคน [ใครบังอาจคิดหนี มันผู้นั้นจะตายทั้งเป็น] มันไม่ใช้คำพูดข่มขู่ แต่ผู้มาเยือนกล้าทำจริงๆ”
“ชาวบ้านที่โดนสารไปกลับเรือลำยักษ์กลับมาถึงหมู่บ้าน ไม่สิพวกเขาไม่ได้กลับมา นิสัยใจคอของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไป แต่ปุถุชนสามัญอย่างข้า จะช่วยอะไรพวกเขาได้?”
ขณะซูฮยอนอ่านไดอารี่ เขาก็จินตนาการถึงเหตุการณ์ที่เจ้าของไดอารี่พบเจอ ทำให้เขี้ยวของเขาขบกันเสียงดัง เหตุการณ์ที่เจ้าของไดอารี่บอกเล่า เหมือนกับเหตุการณ์ที่ ราชันลิชชี่ ทำไม่มีผิด…
“หมู่บ้านของพวกข้าต้องมนต์คำสาปหรืออย่างไร ทำไม? ทำไมบุรุษนิรนามถึงทำเรื่องโหดร้ายกับหมู่บ้านแสนสุขของพวกข้าด้วย? นี่ก็ผ่านมานานแล้ว ที่บุรุษหายไปอย่างไร้ร่องลอย เขากำลังวางแผนชั่วร้ายอยู่ใช่รึไม่ มันทำให้ข้ากลัวขึ้นไปอีก…”
หมับ!!
โดยไม่รู้สึกตัว ซูฮยอนกำไดอารี่ไว้แน่น ทำให้ไดอารี่ที่แห่งราวใบ้ไม้ แหลกสลายกลายเป็นผุยผง
เขาไม่จำเป็นต้องอ่านเนื้อหาภายในอีกต่อไป เพราะหมู่บ้านแห่งนี้คงหนีโศกนาฏกรรมไม่พ้น
ในชีวิตก่อน ซูฮยอนเคยเจอเหตุการณ์คล้ายๆหมู่บ้านแห่งนี้มาเยอะจนนับไม่ไหว
“ในบ้านไม่เหลืออะไรให้สำรวจอีกแล้ว ออกไปสำรวจด้านนอกต่อดีกว่า”
ซูฮยอนออกมาด้านนอก มองทอดสายตาไปเบื้องหน้าจนเห็นทะเลสีเขียวมรกตส่องประกายระยิบระยับ หมู่บ้านหลายแห่งๆที่อยู่ที่นี่ เดิมที่ไม่ได้อยู่ใต้น้ำตั้งแต่แรก แต่เพราะกาลเวลาผ่านไป ทำให้หมู่บ้านที่เปรียบเสมือนเมืองใหญ่ๆถูกทะเลกลืนกิน สุดท้ายมันก็กลายมาเป็นดันเจี้ยนระดับสีเขียวในปัจจุบัน..
“เดินสำรวจต่อ อีกหน่อยก็แล้วกัน”
เมื่อซูฮยอนพูดจบ ก็เริ่มเดินสำรวจหาที่ใหม่ๆ เพื่อค้นหาเบาะแสเพิ่มเติม..
*********************
การสำรวจของซูฮยอนกินเวลาไปหลายชั่วโมง แต่เขากลับไม่พบเบาะแสอย่างอื่น เบาะแสที่ซูฮยอนค้นพบ ส่วนใหญ่เป็นไดอารี่บันทึกกิจวัตรประวันของผู้คนในหมู่บ้านมากว่า…
หลังจากเสร็จการโจมตีดันเจี้ยน ผู้ตื้นขึ้นที่ตั้งหน้าตั้งตาอยากออกสูดอากาศโลกภายนอก ส่งเสียงร้องตะโกนเหมือนคนเสียสติ…ใช้เวลาเดินได้ไม่นาน ประตูออกจากดันเจี้ยนระดับสีเขียว ก็ตั้งเด่นตระหง่านตรงหน้า…
การโจมตีดันเจี้ยนใช้เวลาไปทั้งสิ้น 1 วันเต็ม สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือปล่อยให้หน่วยงานเก็บเกี่ยวหินอีเธอร์ ทำงานในเสร็จ แล้วค่อยมาแจกจ่ายหินอีเธอร์ที่หลัง
เมื่อฮักจุนทราบข่าว ว่าซูฮยอนเสร็จสิ้นภารกิจเรียบร้อย เขาจึงรีบตรงดิ่งมาหาซูฮยอนทันที
เปิดประตูเข้ามา ภาพที่ฮักจุนเห็นคือ อีกฝ่ายกำลังนอนกระดิกเท้าบนเตียง ในมือ ถือหนังสือไปด้วย…
“พี่ซูฮยอน พี่กำลังทำอะไรอยู่?”
“อ่อ ฉันอยากตรวจสอบข้อมูลอะไรบางอย่าง”ซูฮยอนตอบกลับ
“ตรวจสอบ? พี่อยากตรวจสอบเรื่องอะไรอีก?”ฮักจุนรู้สึกสงสัย จึงพยายามเพ่งสายตามองไปยังหนังสือที่ซูฮยอนกำลังอ่านอยู่ จะพูดว่าหนังสือก็ไม่ถูกต้องเรียกว่า บุ๊คเลทหรือหนังสือเล่มเล็ก
บุ๊คเลทที่อยู่ในมือของซูฮยอน เป็นข่าวสารเกี่ยวกับดันเจี้ยน..
“รวบรวมดันเจี้ยนทั้งหมดที่โผล่มาขึ้นในปี 2020 เรียงลำดับความยากจากต่ำสุดไปมากสุด พี่คิดอะไรอยู่? ถึงได้หยิบขึ้นมาอ่าน?”
“ฉันแค่อยากรู้”
“อย่าบอกนะว่า พี่จะบุกตะลุยดันเจี้ยนต่อ?”
“ใช่ที่ไหน…พึ่งเคลียร์ดันเจี้ยนระดับสีเขียวเสร็จ จะไม่ได้สักผ่อนร่างกายมั้งเลยหรือไง ฉันกะว่าจะพักเรื่องดันเจี้ยนไปก่อน แล้วไปโฟกัสการปีนหอคอยแห่งการทดสอบแทน”
“ผมรู้อยู่แล้วว่าพี่ต้องตอบแบบนั้น แต่ทำไมพี่ถึงอ่านบุ๊คเลทเกี่ยวกับดันเจี้ยน”
“ก็เหมือนคำตอบรอบแรก ฉันแค่อยากรู้เท่านั่นเอง”
ฮักจุนไม่เชื่อคำพูดของซูฮยอน เพราะใบหน้าของซูฮยอนดูซีเรียสเกินกว่าความอยากรู้…
“เฮ้อ..ยังดีที่อนาคตไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนสถานการณ์กู่ไม่กลับ”ซูฮยอนคิด
บุ๊คเลทที่ซูฮยอนกำลังอ่านอยู่ เป็นข้อมูลรวบรวมดันเจี้ยนทั้งหมดที่โผล่ขึ้นมาในประเทศเกาหลี บุ๊คเลทมีรายละเอียดยิบย่อยเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นความยากหรือมอนสเตอร์ที่อยู่ภายใน.. จะบอกว่าบุ๊คเลทเล่มนี้ บันทึกข้อมูลดันเจี้ยนในปี 2020 ครบถ้วนก็ว่าได้
และจากข้อมูลที่ซูฮยอนอ่าน จำนวนดันเจี้ยนที่โผล่ขึ้นมาในปี 2020 ส่วนใหญ่มีความยากอยู่ที่ระดับสีเหลือง…
“ดันเจี้ยนสีเหลือง เป็นดันเจี้ยนที่ฉันคุ้นเคยมากที่สุดในชีวิตก่อนหน้า ทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับดันเจี้ยนสีเหลือ ยังตราตรึงอยู่ในจิตใต้สำนึก”
ในอดีตซูฮยอนเคยทำงานร่วมกับหน่วงงานรัฐบาลมาก่อน ทำให้เขามีข้อมูลเกี่ยวกับดันเจี้ยนระดับสีเหลืองและระดับสีเขียวเยอะพอสมควร
เนื้อหาจากบุ๊คเลท ดันเจี้ยนระดับสีเหลืองโผล่ออกมาตรงตามเวลาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต…
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดันเจี้ยนระดับสีเขียวที่มีอัตราการเกิดต่ำกว่าระดับอื่นๆ ไม่มีทางที่ซูฮยอนจะนึกไม่ออก…แต่ดันเจี้ยนระดับสีเขียวที่ชายหาดควันกัลลิ กลับไม่อยู่ในเศษเสี่ยวความทรงจำ
ขนาดดันเจี้ยนระดับสีเหลืองหลายร้อยหลายพันแห่ง ซูฮยอนจำได้ทุกแห่ง แต่ทำไมดันเจี้ยนระดับสีเขียวที่นานๆเกิดทีหนึ่ง เขากลับลืมไปซะได้?
เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เป็นไปได้ไหมว่าดันเจี้ยนที่เกิดขึ้นบนชายหาดควันกัลลิ พึ่งถือกำเนิดในยุคปัจจุบันเป็นหนแรก….