การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 72
ตอนที่ 72
วันคืนที่เงียบสงบผ่านพ้นไปอีกวัน…
หลังจากซูฮยอนโพสต์กระทู้ไปได้ 1 วัน กระแสของกระทู้ก็พุ่งแรงจนฉุดไม่อยู่ มีผู้คนมากหน้าหลายตามาแสดงความคิดเห็นเต็มไปหมด นอกจากเนื้อหาจะดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้แล้ว
ID ของเจ้าของกระทู้ ยังเป็นคนดังที่พวกเขารู้จักอีกด้วย..
-สัตว์ศักดิ์สิทธิ์? มังกร? โลกนี้เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?
-นายรู้มั้ยว่าซงฮย็องกิคลั่งไคล้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์จนเข้าเส้นเลือด สมมุติเขาอยากได้มังกรของนายขึ้นมา มีหวังนายได้น้ำตาตกแน่
-เจ้าของกระทู้ นายคิดจริงๆเหรอว่าซงฮย็องกิจะติดต่อไปหาจริงๆ? ในอดีตมีคนอยากเจอกับซงฮย็องกิอยู่เหมือนกัน เขาถึงขนาดวางแผนมาเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายก็คว้าน้ําเหลว
-เฮ้เพื่อนอย่าไปทำร้ายจิตของเจ้าของกระทู้สิ แต่ฉันว่าซงฮย็องกิอาจติดต่อไปหาเจ้าของกระทู้ก็ได้ พวกนายลองตรวจสอบ ID ของเจ้าของกระทู้ดูสิ เขาเป็นคิมซูฮยอนไม่ใช่เหรอ
-จริงดิ?
-อืม…น่าจะเป็นตัวจริงนะ
-บ้าไปแล้ว คิมซูฮยอนและซงฮย็องกิจะออกมาเจอกัน? หากมันเป็นความจริง มันเป็นข่าวที่น่าติดตามชิบหาย ถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูของสถานี TV นักข่าวคงวิ่งวุ่นทำข่าวเกี่ยวกับทั้ง 2 คนทั้งวันแน่ๆ
ความคิดเห็นส่วนใหญ่ที่พิมพ์ตอบโต้ เป็นข้อความที่ไร้สาระและไม่มีแก่นสาร
คนที่ค่อยดันกระทู้ให้ซูฮยอนส่วนใหญ่เป็นประชาชนธรรมดาที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เลยสักนิด….นอกจากประชาชน ยังมีผู้ตื่นขึ้นนิรนามและกิลด์บางแห่ง มาแจมตอบบ้างประปราย
ซูฮยอนนั่งพิงเก้าอี้และไล่อ่านคอมเม้นผ่านคอมพิวเตอร์ “มิรุน้อย ดูเหมือนพวกเราคงต้องใช้เวลาสักพัก กว่าคุณน้าที่ตามหาจะโผล่ออกมา”
คิ้ว คิ้ว
มิรุร้องครางออกมาเบาๆเหมือนไม่สนใจ ก่อนที่มิรุหลับอยู่บนหลังคอของซูอยอนเหมือนเดิม…
นับตั้งแต่มิรุลืมตาดูโลก เขาไม่รู้จริงๆว่ามิรุกินอะไรเป็นอาหาร นอกจากน้ำสะอาด มิรุก็ไม่แตะอย่างอื่นเลย ซูฮยอนเคยลองให้อาหารสัตว์เลี้ยงที่หาซื้อได้ง่ายๆตามร้านสะดวกซื้อ เพื่อให้มิรุลองชิน แต่มิรุเหมือนจะไม่สนใจ…ซูฮยอนกังวลว่าหากยังเป็นยังงี้ต่อไปมิรุอาจตายได้เนื่องจากขาดสารอาหาร….
ดิ๊งด่อง!!!!
ในระหว่างที่ซูฮยอนกำลังคิดอะไรเพลินๆ กริ่งหน้าห้องก็ดังแจ้งเตือนพร้อมกับเสียงที่ฟังดูคุ้ยหู
“พี่ซูฮยอน ผมฮักจุนเอง พวกเรามาแล้ว”เสียงที่สดใสดังออกมาจากด้านหน้าของประตู
เมื่อซูฮยอนเดินไปเปิดประตู สิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตาของเขาคือถุงพลาสติกที่เต็มไปด้วยของกินหลายชนิด…
“พวกเราออกไปทำธุระด้านนอก ก็เลยถือโอกาสแวะมาหาพี่”ฮักจุนพูด
“สวัสดีค่ะ”
ยันซอนและฮักจุนก้มหัวทักทายซูฮยอนพร้อมกัน ในขณะที่ฮักจุนกำลังก้มหัว เขาก็แอบชําเลืองมองไปยังห้องพักของซูฮยอน “โห้!!! ห้องโคตรหรู ห้องพี่กว้างกี่ตารางเมตรกันเนี่ย”
“อย่าไปสนใจเลย เชิญเข้ามาก่อนสิ”
ซูฮยอนเอื้อมมือไปคว้าถุงพลาสติกจากมือของฮักจุน แล้วพาทั้ง 2 คนเข้าไปในห้อง
แรกเริ่มเดิมที แผนที่ซูฮยอนวางเอาไว้คือ เขากะไว้ว่า จะหยุดพักผ่อนอยู่บ้านสัก 1 วันเพื่อตามหาซงฮย็องกิด้วยตัวคนเดียว แต่ยังเอิญที่ฮักจุนโทรมาบอกว่าจะมาหา ทำให้ซูฮยอนยกเลิกแผนที่ว่าไปก่อน…
หลังจากฮักจุนเข้ามาในห้องเป็นที่เรียบร้อย เขาก็ดึงถุงพลาสติกมาจากมือของซูฮยอนกลับคืนมา แล้วค่อยๆแกะถุงพลาสติกอย่างบรรจง ไม่นานโต๊ะอาหารที่เคยว่างเปล่า ก็เต็มไปด้วยของกินนานาชนิดไม่ว่าจะเป็น ต็อกโบกี ไส้กรอกเกาหลี ของทอดต่างๆที่ผู้คนต่างเรียกว่าอาหารขยะหรืออาหารที่ไม่มีประโยชน์ก็มีติดมาด้วย เช่น เฟรนช์ฟรายส์ แฮมเบอร์เกอร์ และ ขนมกินเล่น…
“จริงสิพี่ มิรุที่พี่บอกผม อยู่ไหนกัน? ผมมาหาพี่วันนี้ เพราะอยากมาเห็นมิรุโดยเฉพาะ”ฮักจุนพูด
“อยู่นี้ไง”
“ตรงไหน? ผมไม่เห็นเลย”
ซูฮยอนชี้ไปบริเวณต้นคอของเขา เพื่อบ่งบอกว่ามิรุที่ฮักจุนและยันซอนอยากเห็นอยู่ตรงนี้…
เมื่อทั้ง 2 คนเห็นตัวอะไรบางอย่างนอนขดตัวอยู่รอบๆคอของซูฮยอน พวกเขาก็เบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ..
“เอ๊ะ….มันเป็นผ้าพันคอไม่ใช่เหรอ”ฮักจุนถาม
“ตอนนี้ไม่ใช่หน้าหนาวสักหน่อย ทำไมฉันต้องใส่ผ้าพันคอในบ้านด้วยล่ะจริงไหม? นายเห็นเด็กน้อยตรงคอของฉันไหม มันคือมิรุที่นายอยากเห็นไงล่ะ แต่ตอนนี้มันหลับอยู่”
คิ้ว คิ้ว
แม้รอบข้างจะเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของซูฮยอนและฮักจุน มิรุก็ไม่ตื่น…
มันยังคงหลับลึกเหมือนเดิม…ทุกๆวัน มิรุจะนอนหลับอย่างน้อย 15 ชั่วโมงต่อวัน ทำให้ซูฮยอนไม่ต้องเสียเวลาไปประคบประหงมิรุมากนัก….
ดวงตาของยันซอนเปล่งประกายทันที่หลังจากเห็นมังกรน้อย เธอจินตนาการไว้ว่าร่างกายของมิรุต้องใหญ่โตมากกว่านี้ แต่ผิดคาด…ขนาดตัวของมิรุเล็กกว่าสิ่งที่คิดไว้มาก
เธอค่อยๆเดินไปด้านหลังของซูฮยอน จนพบว่าหัวเล็กของมิรุวางพาดอยู่บนหัวไหล่…
“น่ารักจัง”
เมื่อยันซอนเห็นมิรุใกล้ๆ แววตาก็เธอส่องประกายออกมายิ่งกว่าเดิม เธอค่อยๆเอื้อมมือไปหามิรุอย่างช้าเพื่อหวังลูบหัวเล็กๆของมิรุ
“คิ้ว?”
ทันใดนั้นเอง…เหมือนมิรุจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นของคนแปลกหน้า มันถึงตื่นขึ้นมาจากห้วงแห่งความฝัน
เมื่อมังกรน้อยตื่นขึ้นมาในสภาพงัวเงีย มันกระพริบดวงตาเล็กๆหลายครั้ง ก่อนมองกลับไปกลับมาระหว่างยันซอนและซูฮยอน หลังจากสติของมังกรตื่นตัวขึ้นเต็มที่ มันก็บินไปเกาะที่หัวของผู้ให้กำเนิด..
คิ้ว คิ้ว
หลังจากมิรุมาอยู่ในจุดที่รู้สึกอบอุ่นแล้วปลอดภัย มันก็หันหน้าไปมองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความสนอกสนใจ..
แต่มิรุให้ความสนใจกับอาหารได้สักพัก ก่อนพาดหัวเล็กๆของมันไว้บนศีรษะของซูฮยอนด้วยท่าทีเมินเฉยเหมือนอย่างเคย….
“มีของกินเยอะขนาดนี้ เจ้าตัวน้อยก็ยังไม่หิวอีกงั้นเหรอ…”ซูฮยอนพูด
“ปกติมันกินอะไร?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่ผ่านมามันไม่ยอมกินอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่า ถ้ายังเป็นยังงี้ต่อไป มีหวังฉันได้กลายเป็นคุณพ่อที่ล้มเหลวแน่ๆ”
“พ่อ?”ยันซอนพูด
“มีพ่อก็ต้องมีแม่ แล้วแม่ของเจ้าหนูคนนี้เป็นใครล่ะ?”ฮักจุนพูดเสริม
ตุบ
คำถามกวนโอ๊ยของฮักจุนโดนฝ่ามืออรหันต์ของยันซอนเข้าไปกลางหลังแทนคำตอบ ทำให้ฮักจุนร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด ฮักจุนพยายามเอื้อมมือที่สั่นเทาไปหยิบอาหารขึ้นมากินเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด…
บรรยากาศรอบโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยชื่นมื่น พวกเขาทั้ง 3 คนหัวเราะเฮฮากันอย่างสนุกสนาน….
“จุนโฮ กำลังทำอะไรอยู่เหรอ? ทำไมเขาถึงไม่มาร่วมวงกับพวกเรา”ฮักจุนพูด
หลังจากซูฮยอนติดภารกิจสำคัญในการเคลียร์หอคอยชั้นที่ 21 เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างฮักจุนกับลีจุนโฮจะพัฒนาไปเป็น [พี่ใหญ่และน้องเล็ก] ซะแล้ว
ซูฮยอนคิดไม่ถึงจริงๆว่าทั้งสองคนจะสนิทสนมกันได้เร็วขนาดนี้
“ฉันคิดว่า เขาคงกำลังอยู่ในหอคอยแห่งการทดสอบล่ะมั้ง”ซูฮยอนตอบ
“อืม…เขาช่างเป็นชายหนุ่มที่มุมานะจริงๆ”
“แล้วทางนายเป็นไงมั้ง?”
“ผมก็พึ่งเคลียร์ชั้นล่าสุดมาได้สดๆร้อนๆ เลยกะไว้ว่าจะพักสัก 2-3 วัน เพื่อให้จิตใจได้ผ่อนคลายบ้าง”
“งั้นเหรอ…”ซูยฮยอนตอบกลับไปพร้อมกับหยิบไก่ทอดชิ้นสุดท้ายขึ้นมา แต่ก่อนที่จะเอาเข้าปากเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
กึก กึก
อพาร์ทเมนต์ที่ซูฮยอนกำลังสังสรรค์อยู่กับมิตรสหาย อยู่ๆก็สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งตึก เหมือนมันกำลังจะถล่ม แถมบรรยากาศโดยรอบยังรู้สึกแน่นหน้าอกแปลกๆ
ยันซอนที่กำลังใช้ส้อมจิ้มไส้กรอกขึ้นมากิน รีบวางลงไปกับจานและหันไปมาซ้ายมองกว่า ก่อนถามด้วยน้ำเสียงหวาดผวา “เกิดอะไรขึ้น?”
“เฮ้อ คิดจะมาก็มาเนอะแขกคนนี้ แถมยังทำเสียงดังครึกโครมอีกให้ตายเถอะ”ซูฮยอนพูดขึ้นมา พร้อมกับดันตัวเองให้ลุกจากเกาอี้
“ผมขอไปกลับพี่ด้วยนะ”ฮักจุนพูดและลุกขึ้นมาพร้อมกับซูฮยอน
“ไปด้วย? ทำไมล่ะ?”
“พี่ก็รู้ไม่ใช่เหรอ ว่าคนที่พี่กำลังตามหาเขาดังจะตาย ผมก็อยากเห็นตัวจริงของเขาสักครั้ง ได้ไหมพี่”
ยันซอนรีบคว้าเสื้อของฮักจุนแล้วดันลงให้กลับลงไปนั่งที่เดิม ก่อนถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “จะไม่มีอันตรายแน่เหรอ หากมีเหตุการณ์ร้ายๆเกิดขึ้นละก็…”
“ฉันไม่ได้ไปคนเดียวสักหน่อย เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอ”ฮักจุนพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปทางซูฮยอน
แม้ฮักจุนจะยืนยันเสียงแข็ง แต่ยันซอนก็หยุดความกังวลไม่ได้อยู่ดี
ถึงนิสัยส่วนตัวของยันซอนจะเป็นคนแสดงอารมณ์ไม่ค่อยเก่ง ทว่าคราวนี้การแสดงออกของเธอเต็มไปด้วยความกังวล แค่ฟังจากเสียงลมหายใจก็รู้ได้ทันที เธอจะไม่กังวลได้อย่างไร ในเมื่อแฟนของเธอต้องออกไปพบกับคนแปลกหน้าที่สามารถทำให้อพาร์ทเมนต์สั่นสะเทือนได้ง่ายๆ
“ฉันว่านายไม่ต้องไปด้วยหรอก อยู่ที่นี่แหละดีแล้ว”ซูฮยอนพูด
“เอ๊ะ…ทำไมล่ะครับ?”
“นายไม่ได้ยินเหรอว่า แฟนของนายเป็นห่วงนายมากแค่ไหน? นายคงไม่อยากทำให้แฟนของนายเป็นห่วงหรอกนะ”
“แต่ว่า…พี่ไปคนเดียว จะไม่เป็นอันตรายเหรอ?”
“ฉันคิดว่าไม่ แต่หากนายตามฉันไปด้วย คนที่ได้รับบาดเจ็บคงเป็นนายไม่ใช่ฉัน”
“อืม…”
หลังจากฮักจุนได้ยินคำพูดของซูฮยอน เขาก็คิดใคร่ครวญอยู่สักครู่ ก่อนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของซูฮยอน หากฮักจุนติดตามไปด้วย เขาก็เป็นได้แค่ตัวถ่วง…
เมื่อฮักจุนตกลงว่าจะอยู่ที่นี่ ซูฮยอนเดินไปยังหน้าระเบียงเหมือนกำลังวางแผนจะทำอะไรสักอย่าง
ยันซอนที่เฝ้าดูซูฮยอนจากด้านหลังมองด้วยความสงสัย….แต่เมื่อเธอเห็นว่าซูฮยอนตั้งท่าเตรียมกระโดด เธอก็ร้องออกมาด้วยเสียงตกใจ “พี่คิดจะทำอะไร อย่างบอกนะว่าจะออกไปทางนั้น มันอันตรายนะคะ ประตูทางออกดีๆก็มี ทำไมพี่ถึง…”
ฟรึ่บ!!!!
แต่ก่อนที่เธอจะพูดจบประโยค ร่างกายของซูฮยอนก็หายไปจากระเบียงเสียแล้ว ยันซอนรีบวิ่งไปดูหน้าระเบียงเพื่อตรวจดูว่าเขาไปไหน เธอชะโงกหัวไปนอกระเบียงแต่ก็ไม่พบเงาของซูฮยอนเลยแม้แต่น้อย…
“หายไปเร็วมาก….ฉันกำลังฝันอยู่หรือป่าว?”ยันซอนบ่นพึมพำออกมา
“เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พี่ซูฮยอนเหมือนเป็นซูเปอร์ฮีโร่ในโลกแห่งความจริง ต่อให้เขาตกลงไปข้างล่าง เขาก็ไม่ตาย” ฮักจุนพูดออกไปพร้อมกับยักไหล่
******************
ร่างกายของซูฮยอนไม่ได้ดิ่งลงไปยังพื้นเบื้องล่าง แต่ร่างกายของเขากำลังพุ่งขึ้นไปด้านบนของอพาร์ตเมนต์
ตำแหน่งพลังเวทย์ที่ซูฮยอนสัมผัสได้ถูกปล่อยออกมาจากบนดาดฟ้า…
บนดาดฟ้าของของอพาร์ตเมนต์ไม่อนุญาตให้คนไม่เกี่ยวข้องเข้าไปโดยพลการ แต่ตอนนี้กลับมีคนแปลกหน้าลักรอบเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต คนที่รอซูฮยอนอยู่เป็นชายวัยกลางคนที่มีอายุ 30 กลางๆ แม้อายุจะขึ้นเลข 3 แต่ใบหน้าของเขากลับไม่มีรอยเหี่ยวย่น ขนาดทรงผมก็ยังแสกกลางเหมือนดาราเกาหลีที่กำลังนิยมไว้กัน..เขากำลังนั่งรอใครบ้างคนพร้อมกับเล่นมือถือเพื่อฆ่าเวลา
“มาหาผมถึงที่ ไม่เห็นต้องทำเสียงดังขนาดนี้เลย”ซูฮยอนพูด
“ช่วยไม่ได้ มันเป็นสไตล์ของฉัน”
ชายวัยกลางคนที่นั่งรออยู่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ซงฮย็องกิ
เมื่อซงฮย็องกิเห็นว่าคนที่กำลังรอมาถึง เขาก็ลุกจากที่นั่งและเก็บมือถือไว้ในกระเป๋าเสื้อ
ซูฮยอนหันไปมองซ้ายมองขวาเพื่อตรวจสอบว่าซงฮย็องกิมาคนเดียวหรือป่าว….หลังจากตรวจสอบอยู่นานดูเหมือนซงฮย็องกิจะมาคนเดียวจริงๆ เขาจึงเป็นฝ่ายแรกที่ชวนพูด..
“ว่าแต่ คุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่?”
ซูฮยอนเคยคิดไว้ว่าซงฮย็องกิอาจติดต่อผ่านทางหลังไมค์หรือฝากข้อความในกับใครสักคนเพื่อนัดหมายให้ไปเจอตัวต่อตัว ใครจะไปคิดผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งวัน เจ้าตัวกลับโผล่มาแบบปุ๊บปั๊บด่วนจี๋ขนาดนี้..
“นายไม่รู้จักความน่ากลัวของเงินตราเลยเหรอ? แค่มีเงินอะไรๆก็ง่ายขึ้น”
ซงฮย็องกิ เป็นลูกชายคนสุดท้องของ บริษัท ซงอิลกรุ๊ป ซึ่งบริษัทที่ว่ามา ถูกส่งต่อมารุ่นต่อรุ่น
หลังจาก ซงฮย็องกิ รับหน้าที่เป็นผู้บริหารรุ่นที่ 3 บริษัท ซงอินกรุ๊ปก็เติบโตอย่างก้าวกระโดดจนกลายมาเป็นหนึ่งในบริษัทของประเทศเกาหลีที่มีอิทธิพลมากๆ
คำว่า “ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้” ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของซงฮย็องกิ
“พลังของเงินตราสินะ”ซูฮยอนพูด
เหมือนว่าซงฮย็องกิจะใช้อำนาจของเงินตรา เพื่อตามหาตำแหน่งของซูฮยอน แต่สิ่งที่ซงฮย็องกทำลงไป มันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หากซูฮยอนอยากฟ้องร้องเขาก็สามารถทำได้…การเจอกันครั้งแรกระหว่างซูฮยอนและซงฮย็องกิเหมือนจะไม่น่าประทับใจเท่าที่ควร…
ซงฮย็องกิเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เพียงไม่กี่คนที่ไม่ได้สังกัดอยู่ในกิลด์ ที่สำคัญเขายังเกิดมาพร้อมกับกองเงินกองทอง ทำให้ซงฮย็องกิไม่ลำบากเรื่องเงิน ทหารรับจ้างที่แรงค์ S ส่วนใหญ่มักชอบทำกัน สำหรับซงฮย็องกิมันก็เป็นเรื่องไร้สาระ ดังนั้นในบรรดาแรงค์ S ซงฮย็องกิจึงมีอิสรภาพมากกว่าทุกคน…
<<อย่าบอกนะว่า เขาแกะรอยฉันจากไอพีแอดเดรส? ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงหาที่อยู่ของฉันได้ สมแล้วที่เป็นเจ้าของบริษัท ซงอิลกรุ๊ป >>
ไม่ต้องพูดมากให้เปลืองน้ำลายก็รู้ได้ทันทีว่าพลังของเงินตรามันน่ากลัวมากขนาดไหน….ต่อให้ผู้ตื่นขึ้นจะมีความแข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็ต้องยอมศิโรราบในกับเงินตราอยู่ดี เพราะเงินตราสามารถบันดาลอะไรก็ได้ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังป้องกันหรือความสุข..
เหตุผลเดียวที่ซงฮย็องกิยอมทำสิ่งผิดกฎหมายเพราะเรื่องสัตว์ศักดิ์สิทธิ์…
“ผมมั่นใจเลยว่าพรุ่งนี้ สำนักข่าวต่างๆคงผาดหัวข่าวประมาณว่า [เกิดการต่อเป็นตายระหว่างผู้ตื่นขึ้น จนทำให้อพาร์ทเมนต์กลางเมืองสั่นสะเทือน] รู้อะไรไหมการเปิดตัวของคุณ แม้แต่คนธรรมดาก็รู้สึกได้ถึงออร่าพลังเวทย์…”
ซูฮยอนทราบเป็นอย่างดีว่าพลังเวทย์ของซงฮย็องกิที่ปล่อยออกมา ทำให้ยันซอนหายใจไม่ทั่วท้อง
เธอไม่เป็นอะไรก็จริง แต่พลังของซงฮย็องกิก็ทำให้เธอใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว..
อย่างไรก็ตามเหมือนซงฮย็องกิจะไม่มีความกังวล เพราะเขายังทำหน้าไม่สนโลกเหมือนเดิม..
“ช่างหัวนักข่าวสิ ฉันไม่สนหรอก แล้วไหนมังกร?”
เมื่อซงฮย็องกิถามหาถึงมิรุ ซูฮยอนก็ชี้ไปบริเวณลำคอของเขา จนพบกับมังกรน้อยกำลังนอนขดอยู่…
มิรุที่กำลังนอนขด เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของซงฮย็องกิ มันก็เงยหัวเล็กๆขึ้นไปมอง..
คิ้ว!!!!!!!!
มิรุส่งเสียงกรีดร้องออกมาเหมือนกลัวฝ่ายตรงข้าม นับเป็นครั้งแรกที่ซูฮยอนเห็นมิรุมีความกลัวอะไรบ้างอย่าง…
หลังจากซงฮย็องกิเห็นมิรุชัดๆ แววตาที่แสนเฉยเมยก็เปล่งประกายออกมา “มันเป็นมังกรจริงๆใช่ไหม?”
“คุณคิดว่า ผมเป็นคนขี้โกหกหรือไง”
“นายไปเจอเด็กน้อยคนนี้ที่ไหนเนี้ย…อ่าจริงสิ ตามที่นายโพสต์ มันฟักออกมาจากไข่เทวะสินะ”
ทัศนคติของซงฮย็องกิที่เคยหยิ่งยโสและถือดี ถูกแทนที่ด้วยมาดสุภาพบุรุษผู้แสนอ่อนโยน เขาค่อยๆเดินไปหามิรุด้วยความระมัดระวัง…
“เด็กน้อยตัวนี้ ชื่ออะไร?”
“ผมเรียกมันว่า มิรุ”
“สวัสดีมิรุ ฉันชื่อซงฮย็องกิ และ…”
งับ
ในขณะที่ซงฮย็องกิกำลังเอื้อมมือขึ้นไปเพื่อพยายามลูบหัวมิรุ
มิรุที่ผาดหัวอยู่บนไหล่ของซูฮยอนก็ยกหัวเล็กๆขึ้นมา ก่อนกัดลงไปบนฝ่ามือของซงฮย็องกิอย่างจัง
แม้เขี้ยวของมิรุจะยังไม่ขึ้น แต่มันเป็นถึงมังกรและยังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เลือดสีแดงสดเริ่มไหลออกมาจากฝ่ามือของซงฮย็องกิ..
“เหมือนเขาจะไม่ค่อยถูกกับคุณนะ”ซูฮยอนพูด
“น่าจะใช่ แต่ช่างมันเถอะ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ…”
แม้ปากของซงฮย็องกิจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่แววตาของเขากลับมีความตรึงเครียดขึ้น ดูท่าทางการที่มิรุแสดงความรังเกียจออกมา จะทำร้ายความรู้สึกของซงฮย็องกิ..
ก่อนที่พวกเขาจะเข้าประเด็นสำคัญ…ซูฮยอนเป็นฝ่ายแรกที่เริ่มประกาศจุดยืนให้ชัดเจน..
“เอาล่ะ ก่อนที่พวกเราจะเข้าประเด็นสำคัญ ผมขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ผมไม่ยอมยกมิรุให้คุณแน่ๆ แม้ว่าคุณจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม…”
“ไม่ต้องห่วง แม้นายจะยกมิรุให้ ฉันก็ไม่รับอยู่ดี”
“หืม? เพราะอะไรล่ะครับ?”
คำตอบที่อีกฝ่ายตอบกลับมา ทำให้ซูฮยอนประหลาดใจ…
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ หลังจากพวกมันลืมตาดูโลกคนแรกที่มันเห็น มันจะถือว่าคนผู้นั้นเป็นพ่อและแม่ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะไปไหน มันจะติดตามคนผู้นั้นไปทุกที่ สำหรับเด็กคนนี้ เขามองนายเป็นพ่อและแม่ของมัน หากฉันพรากมันไปจากนาย เด็กคนนี้อาจถึงขั้นตรอมใจตายเลยก็ได้”
สิ่งที่ซงฮย็องกิพูดถูกต้องทุกประการ…
เหตุผลที่ซูฮยอนกังวลว่ามิรุจะถูกพรากไป เพราะเขาได้ยินมาว่าความรักที่ซงฮย็องกิมีให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ หากจะอธิบายให้ชัดคงใกล้เคียงกับคำว่าคลั่งไคล้….ดังนั้นซูฮยอนจึงกังวลหากซงฮย็องกิคิดพิเรนอยากได้มิรุขึ้นมา พวกเขาทั้ง 2 คน คงหนีไม่พ้นการประมือ…แต่เหมือนซูฮยอนจะกังวลเกินหตุไปหน่อย
“ผมเชื่อใจคุณได้ใช่ไหม?” ซูฮยอนถาม
“แน่นอน นายไม่ต้องกังวล ฉันไม่พรากมังกรน้อยไปจากนายหรอก ว่าแต่ นายไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เลยใช่ไหม?”
“ใช่ครับ ถูกต้องตามที่คุณพูด ถ้าผมรู้ ผมคงไม่ออกประกาศตามหาตัวของคุณหรอก…”
“งั้น…นายก็คงอยากรู้วิธีการเลี้ยงเจ้าตัวเล็กสินะ”
“ใช่ครับ”
“จะว่าไปหน้าตาของนาย ก็ไม่ได้แย่นะ…”อยู่ๆซงฮย็องกิก็เปลี่ยนหัวข้อไปเป็นหน้าของของซูฮยอนซะงั้น? ซูฮยอนไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเขาถึงพูดเรื่องหน้าตาออกมาตอนนี้?
“งั้นช่วยอธิบายขยายความให้หน่อยว่า หน้าตาของผมเป็นยังไงบ้าง?”
“อืม…หน้าตาของนายเหมือนพวกผู้ชายแมงดาที่เกาะผู้หญิงกิน…”
คิ้ว!!!! คิ้ว!!!!
มิรุโบกสะบัดปีกไปมาเหมือนกำลังโกรธแทนซูฮยอน….
“มิรุน้อยใจเย็นๆ อย่าพึ่งอารมณ์เสีย ฉันแค่หยอกเล่น พ่อนายหล่อจะตาย”ซงฮย็องกิตอบกลับไปเพื่อดับอารมณ์ของมิรุที่กำลังพลุ่งพล่าน แม้น้ำเสียงของซงฮย็องกิเหมือนจะพูดความจริง แต่ซูฮยอนก็รู้ว่าเขากำลังเสแสร้งอยู่…
หลังจากมิรุเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามยอมแพ้ มันก็เชิดหัวขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจและหันไปมองซูฮยอน เหมือนกำลังจะพูดว่า “เป็นยังไงหล่ะ ผมเก่งไหม?”
ซูฮยอนยกมือขึ้นมาลูบหัวของมิรุด้วยความเอ็นดูก่อนหันไปพูดกับซงฮย็องกิ “จริงสิ ก่อนอื่นคุณรู้หรือป่าวว่าความสามารถของมิรุเป็นอะไร และอาหารที่มิรุกินเป็นอะไรกัน”
“รอเดี๋ยว ฉันขอเรียกเด็กน้อยที่คล้ายๆมิรุออกมาก่อน”
ซงฮย็องกิยื่นมือออกไปด้านหน้า ก่อนวาดวงเวทย์กลางอากาศ..
ไม่นานวงเวทย์กลางอากาศก็เกิดการตอบสนอง อากาศที่อยู่รอบๆตัวของซูฮยอนถูกวงเวทย์ดูดกลืนเข้าไปจนสายลมอ่อนๆจางหายไป
ทันใดนั้นอากาศที่เคยว่างเปล่าก็ถูกฉีกกระฉากออกจากกัน…
มังกรที่ใหญ่และยาวก็ก้าวออกมาจากวงเวทย์ มันกระพือปีกไปมา จนก่อในเกิดลมหมุนที่รุนแรง…
“โฮกกกก”
สิ่งที่ซูฮยอนเห็นด้านหน้าเป็นมังกรสีฟ้าขนาดยักษ์ เส้นผ่านศูนย์กลางของมันหนาเกือบเมตร….
ความสง่างามของมันทำให้ซูฮยอนตกอยู่ในภวังค์แห่งมนต์เสน่ห์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น..
<<สักวันหนึ่ง เมื่อมิรุโตขึ้น มันจะเหมือนกับมังกรฟ้าตัวนี้ไหมนะ?>>
ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่โตมโหฬารของเจ้ามังกร หากคนทั่วไปมาเห็นเข้าอาจคิดว่ามันเป็นมอนสเตอร์ก็ได้ ซงฮย็องกิจึงตัดสินใจร่ายสกิลล่องหนออกมาเพื่ออําพรางร่างกายของมังกรฟ้า..
“เป็นไงล่ะ ทึ่งไปเลยใช่ไหม นี้แหละคือมังกรของฉัน…”
ซงฮย็องกิอวดเบ่งสรรพคุณของมังกรยังไม่เต็มที เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซงฮย็องกิที่พึ่งอัญเชิญมา อยู่ๆก็บินเข้าไปใกล้ๆมิรุ แล้วก้มหัวทำความเคารพ..
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ซงฮย็องกิตกใจเพียงคนเดียว แม้แต่เจ้าของอย่างซูฮยอนก็พลอยตกใจไปด้วย..
“เกิดอะไรขึ้น?” ซงฮย็องกิมองกลับไปกลับมาระหว่างมังกรฟ้ากับมิรุ ก่อนหันถามซูฮยอนด้วยความสงสัย “นายไปเจอเด็กคนนี้จากที่ไหนกันแน่?”