การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 54
ตอนที่ 54
หมับ หมับ
โซ่จำนวนนับไม่ถ้วนวิ่งแล่นไปตามสายลมก่อนจะมัดขาของมอนสเตอร์เพื่อปิดผนึกทางหนีของมัน
“เสร็จฉันล่ะ”
โฮกกกก
คังซึงชอลฟาดดาบใหญ่เข้ากลางลำตัวของมอนสเตอร์อย่างจัง จนร่างกายของมันแยกออกจากกัน
เมื่อร่างมอนสเตอร์แยกออกจากกัน…คลื่นพลังเวทย์ที่อัดแน่นในร่างของมอนสเตอร์ก็พลันระเบิดออกมา จนกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปทั่ว
“นายรีบร้อนเกินไปไหม ไม่รอกันเลย”
คิมดูอุยพูดกลับคังซึงชอลด้วยสภาพเปื้อนเลือด
ถึงแม้พวกเขาทั้งคู่จะอยู่ในสำนักงานเดียวกัน…แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่เป็นสองรองใคร
และนั้นคือต้นเหตุที่ทำให้พวกเขาชิงดีชิงเด่นซึ่งกันและกัน
“ช่วยไม่ได้นายมาช้าเอง แล้วนายฆ่ามอนสเตอร์ไปกี่ตัวแล้ว?”คังซึงชอลถาม
“อย่าถามฉันเลย ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน.”
“คิดถูกคิดผิดกันแน่นะ ทำไมฉันถึงต้องมาเหนื่อยแบบนี้ด้วย”
“หึ..ทั้งๆที่นายบุกตะลุยคนแรกแท้ๆ ยังกล้าพูดคิดถูกคิดผิดได้อีกงั้นเหรอ”คิมดูอุยกล่าว
“เฮ้อ…ช่างมันเถอะ ก่อนอื่น..”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังต่อล้อต่อเถียง ทันใดนั้นพื้นดินก็เกิดแรงสั่นสะเทือน พวกเขาสองคนหันหน้าไปมองจุดเกิดเหตุโดยไม่ได้นัดหมาย..
“บอสงั้นเหรอ?”
“เขาปราบมันได้จริงๆเหรอ?”
คังซึงชอลเบิกโพลงดวงตาด้วยความตกใจ
ซูฮยอนอาสาปราบบอสด้วยตัวคนเดียว ซึ่งคังซึงชอลคิดว่าซูฮยอนคงไม่มีทางสำเร็จ เพราะมอนสเตอร์ที่อยู่บนเมฆมีความแข็งแกร่งมากว่ามอนเตอร์ทุกตัวที่โผล่ออกมา…
“ดูเหมือนกำลังเสริมคงไม่จำเป็นอีกแล้ว”
คิมดูอุยพูดออกมาด้วยความโล่งอกหลังจากภัยพิบัติที่น่าเป็นห่วงถูกเคลียร์ลงได้อย่างปลอดภัย
ในที่สุดเรื่องร้ายๆก็ถูกปิดฉากลงสักที
“เขาเป็นคนที่น่าทึ่งจริงๆ”คิมดูอุยคิด
ซูฮยอนชายหนุ่มผู้ปกปิดตัวตนเหมือนเงาที่มืดมิด ในระยะหลายปีที่ผ่านมาซูฮยอนไม่เคยโผล่ออกมาให้ประชาชนพบเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว..
แต่ถึงอย่างงั้น ชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังเป็นพลุแตก ถามเด็กอนุบาล เด็กยังรู้จัก
เมื่อถึงเวลาวิกฤต ซูฮยอนกลับเผยตัวออกมา ด้วยการแสดงละครชุดใหญ่ ก่อนที่จะเปลี่ยนบทบาทเป็นฮีโร่เพื่อผดุงความยุติธรรม
ความสามารถที่เขาแสดงออกมามันอยู่ แรงค์ S อย่าไม่ต้องส่งสัย
‘ไม่แน่หลังจากเรื่องราวทุกอย่าง จบลงเขาคง..’คิมดูอุยจิตนาการถึงเรื่องราวในอนาคต
**********************
หลังจากฟอลเคินสิ้นชีพ พายุขนาดย่อมๆ ก็ก่อขึ้นบนร่างของอิโกลัส
ซูฮยอนเดินออกจากวงล้อมของพายุแล้วกระโดดหนีออกมา
เมื่อซูฮยอนเห็นชุดเกราะครั้งแรก เขาต้องพยายามอดกลั้นกิเลสอย่างหนัก
“เกราะศักดิ์สิทธิ์ฟอลเคิน”ซูฮยอนถือมันด้วยความทะนุถนอม
แม้เกราะจะถูกขึ้นรูปมาจากเหล็กกล้า แต่น้ำหนักของมันกลับเบาหวิวเหมือนปุยฝ้าย จากความรู้สึกของซูฮยอน ถ้าเขาออกแรงบีบมัน ชุดเกราะคงแตกละเอียดอย่างไม่ต้องสงสัย
[เกราะศักดิ์สิทธิ์ฟอลเคิน]
ชุดเกราะที่ซูฮยอนถืออยู่ตามประวัติความเป็น ฟอลเคินได้รับมันมาจากกษัตริย์แห่งเทสเซอร์รัม เพื่อใช้ต่อกรกับครึ่งมังกรครึ่งปีศาจ อิโกลัส
ดังนั้นมันจึงถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อต้านท้านเวทย์มนตร์โดยเฉพาะ…
<<ตั้งแต่ซูฮยอนจับชุดเกราะมา [เกราะศักดิ์สิทธิ์ฟอลเคิน] คือเกราะที่เขากล้าการันตีเลยว่ามันดีที่สุด>>
เพราะมันสามารถใส่ทับกับชุดเกราะตัวอื่นได้
แถมน้ำหนักของมันยังเบาเหมือนปุยเมฆอีกต่างหาก…ทำให้ผู้ส่วนใส่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
“ฉันจะใช้มันให้ดูที่สุด”
ซูฮยอนยกชุดเกราะขึ้นมาสวมใส่บนตัว
หลังจากชุดเกราะอยู่ในที่ของมัน ความทรงจำของฟอลเคินก็วิ่งแล่นไปยังโซนสมองของซูฮยอน
“ได้โปรด ท่านช่วยปราบอิโกลัสให้พวกชาวบ้านด้วย”
“ท่านฟอนเคินช่วยพวกข้าด้วยเถอะ”
“ท่านเป็นเพียงคนเดียวที่แข็งแกร่งที่สุด ถ้าเป็นท่าน ต้องเอาชนะมันได้แน่”
ชาวบ้านที่อยู่บริเวณรอบๆตะโกนบอกให้ฟอลเคินทำอะไรสักอย่าง
“ท่านฟอลเคิน ท่านคือความหวังเดียวของพวกเรา”
ฟอลเคินอัศวินผู้มีคุณธรรม ไม่อาจละทิ้งความหวังที่ชาวบ้านตั้งไว้ได้
ในฐานะอัศวินเขาไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำอันตรายต่ออาณาจักรของเขาอย่างแน่นอน
“ชาวบ้านทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ ไม่ต้องห่วงเดียวข้าปราบมันให้”
เมื่อได้ฤกษ์เดินทาง ฟอลเคิน ก็ออกจากอาณาและมุ่งหน้าไปหา อิโกลัส ก่อนที่มันจะเดินทางมาถึงอาณาจักร..
ตามร่างกายของฟอลเคินถูกประดับด้วยชุดเกราะที่สร้างขึ้นมาอย่างประณีต จากช่างตีเหล็กที่มากผีมือ
การต่อสู้ระหว่างอิโกลัสกับฟอลเคินกินเวลาไปหลายค่ำคืน ตั้งแต่เช้าจรดเย็น
และแล้ววงเวทย์ที่อาณาจักรเตรียมไว้ก็ถึงเวลาเปิดใช้งาน….
เลือดเนื้อเชื้อไขและจิตวิญญาณของทั้งคนและมอนสเตอร์เริ่มหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
และนั้นคือจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่ฟอลเคินต้องเผชิญ
ถึงแม้ฟอลเคินจะสละชีวิตตนเอง แต่อิโกลัสกลับไม่ตาย มันยังคงสร้างความหวาดกลัวให้ชาวบ้านเรื่อยมา…
ฟอลเคินก็เปรียบเสมือนแสงสว่าง อิโกลัสก็เปรียบเสมือนความมืด
เมื่อธาตุทั้ง 2 ทั้งสองมาเจอกับทำให้ธาตุทั้ง 2 ไม่อาจอยู่รวมกันได้
การต่อสู่ระหว่างตัวแทนแสงสว่างและความมืด ทำให้สติของอิโกลัสเริ่มถูกแทรมซึม
ในที่สุดมันก็บินหนีออกจากอาณาเทสเซอร์รัม และเลือกโจมตีหมู่บ้านตามชนบท
นานวันเข้า จิตใต้สำนึกของฟอลเคินเริ่มอ่อนล้าจนถูกอิโกลัสกลืนกิน เมื่ออิโกลัสกลับมาควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง..
สัญชาตญาณของมอนสเตอร์จึงเริ่มกลืนกินความคิดของฟอลเคิน ในเมื่อไม่อาจขยับร่างกายได้ ทำให้เขาเห็นชาวบ้านตาดำๆถูกอิโกลัสกระชากกลืนกินไปต่อหน้าต่อตา
“ข้า…ข้าฆ่าพวกเขา!!”
เมื่อสติสัมปชัญญะของฟอลเคินหวนคืนมา
เขาก็เริ่มเห็นภาพติดตาขณะกำลังเขมือบชาวบ้านตาดำๆเข้าไป
เสียงกรีดร้องแห่งความกลัวซึมซาบลงสู่จิตวิญญาณของฟอลเคิน จนสลักลึกลงไปภายในห้วงความคิดไม่อาจลบเลือน
จิตสำนึกที่เคยเงียบเหงาพลันมีเสียงแหบดังขึ้นมา….
“เป็นอะไรไปเจ้ามนุษย์ ไม่ชอบรสชาติเนื้อมนุษย์งั้นรึ?”
“หุบปากของแกซะ ไอ้มอนสเตอร์เดรัจฉาน เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่กินพวกเดียวกันเหมือนแกหรอก”
“ฮ่า ฮ่า งั้นรึ ข้าคิดว่าเจ้าควรเตรียมใจไว้หน่อยก็ดี เพราะในอนาคตเจ้าจะได้ลิ้มรสเนื้อมนุษย์อีกหลายคน ข้าคือเจ้า เจ้าคือข้า เรื่องเหล้านี้ไม่มีทางเปลี่ยน เจ้าจงทำไว้”
“ไม่…ข้าจะไม่ทำแบบนั้น”
แต่เมื่อเจอสถานการณ์จริง ฟอลเคินที่ควรต่อต้านกลับเข้าร่วมกับอิโกลัส แล้วเพลิดเพลินไปกับการฉีกกระชากเนื้อมนุษย์
และนั้นคือตัวต้นเหตุที่ทำให้อิโกลัสเริ่มกลืนกินจิตใต้สำนึกฟอลเคินไปที่ละนิด
ทำให้ฟอลเคินวนเวียนอยู่กับการล่ามนุษย์จนเป็นกิจวัตรประจําวัน แม้อยากถอนตัวแต่เขาก็ไม่อาจหักห้ามจิตใจที่หิวกระหายได้
“เรื่องที่เกิดขึ้น เพราะข้าแท้ๆ เพราะข้า…”
ความหลังของฟอลเคินทำให้ซูฮยอนเห็นภาพจำในอดีต
ชุดเกราะของฟอลเคิน คือไอเทมที่ซูฮยอนเคยใช้มาก่อนเมื่อนานมาแล้ว
“เฮ้อ…ขนาดคิดว่าฉันจิตใจเข้มแข็งแล้วนะ แต่พอหวนนึกถึงภาพเมื่อครู่ที่ไร จิตตกทุกที”ซูฮยอนบ่นออกมา
ในตอนที่ซูฮยอนสวมชุดเกราะครั้งแรก เขาก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมฟอลเคินถึงเอาตัวเองไปเดิมพันกับความอยู่รอดของอาณาจักร จนตกสู่ห้วงนรกที่ไม่อาจถอนตัวเช่นนั้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดซูฮยอนก็รู้สักที่ว่าทำไมฟอลเคินถึงตัดสินใจแบบนั้น
เพราะพวกเขา 2 คนเลือกเส้นทางเหมือนกัน ยอมเสียสละตัวเอง เพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์
ด้วยนิสัยที่เหมือนกัน ถ้าซูฮยอนเข้าสิงร่างฟอลเคิน เขาก็คงตัดสินใจเหมือนฟอลเคินอย่างไม่ต้องสงสัย…
ทั้งซูฮยอนและฟอนเคินต่างมีจุดจบที่เหมือนกัน นั้นก็คือความตาย
ไม่สิ ไม่เหมือนเลยสักนิด ฟอลเคินเสียสละตัวเพื่อปกป้องอาณาจักร และเป้าหมายของเขาก็ทำสำเร็จ…
แล้วสำหรับซูฮยอนหล่ะ นี้เป็นโอกาสครั้งที่ 2 ของเขา เพื่อทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้บรรลุ แต่ถ้าไม่สำเร็จจะเกิดอะไรขึ้นกัน?…
“ช่างมันเถอะ…ฉันก็แค่ต้องพยามยามให้มากขึ้นกว่าเดิม”
เมื่อเรื่องทุกอย่างจบลง [กายาทรหด] ที่เปิดใช้งาน ก็เริ่มสิ้นฤทธิ์
“ผลของสกิลมันอยู่ได้ไม่นานจริงๆด้วย”
“แต่อย่างน้อย มันก็ได้ผลละนะ”
ตุบ
ซูฮยอนนอนลงกับพื้นแล้วค่อยๆหลับตา ไม่นานเขาก็จมลงสู่ห้วงนิทรา…
*****************
วันที่ 31 มกราคม 2021
คือวันกำหนดโชคชะตาในเมือง อันซัน จังหวัด คย็องกี ดันเจี้ยนระดับสีเขียวที่โผล่ออกมาเนิ่นนาน
ในที่สุดก็ได้เวลาเคลียร์มันออกไปสักที…
นักข่าวสำนักต่างๆรวมตัวกันอยู่ที่นี้กันหมด เหตุเป็นเพราะ ‘ผู้ตื่นขึ้น’ จำนวนมหาศาลมารวมกระจุกกันอยู่ที่นี่
จำนวน ‘ผู้ตื่นขึ้น’ มากถึงขนาด 2 ใน 3 มารวมอยู่ที่นี้กันหมด
ที่จำนวนเยอะขนาดนี้เป็นเพราะ พวกเขาได้รับหน้าที่มาจัดการกับดันเจี้ยนระดับสีเขียว
แต่แล้ว สำนักข่าวต่างๆของเกาหลี..ไม่สิ ทั้งโลกต่างหาก เริ่มเลิกสนใจอันซัน แต่กลับไปโฟกัสที่อันยังแทน
การระบาดของดันเจี้ยน คือคำศัพท์ที่บัญญัติขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นถึง ดันเจี้ยนที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ จนมันพัฒนาตัวเอง
แต่วันที่ 31 มกราคม เมือง อันยัง จังหวัด คย็องกี กลับมีดันเจี้ยนรูปแบบใหม่ปรากฏขึ้น..
มันคือดันเจี้ยนระดับสีเขียวที่ไม่มีการแจ้งเตือน ในการจัดการกับมัน จำเป็นต้องใช้ ‘ผู้ตื่นขึ้น’ หลายคน
‘ผู้ตื่นขึ้น’ ที่มีปริศนาเต็มไปหมดกลับโผล่ออกมาให้ฐานะผู้ก่อการร้ายแห่งกิลด์ดัมพ์
เขาสวนบทบาทเป็นผู้ก่อการร้าย เพื่ออพยพประชาชน ให้ออกมาจากพื้นที่สีแดง เป็นผลให้เมืองอันยังไม่มีประชาชนเสียชีวิตเลยสักคน มีแต่บ้านเรือนของประชาชนเท่านั้นที่เสียหาย
ในเว็บไซต์อเวจีออนไลน์เกินการพูดคุยกันอย่างแพร่หลายเกี่ยวกับเรื่องของซูอยอน จนเว็บไซต์เกิดความขัดข้อง
ซูฮยอนยกรีโมทขึ้นมาแล้วปิดทีวี
ปิ๊ป
“ฉันทนดูตัวเองในทีวีไม่ได้เลยจริงๆ” ซูฮยอนกล่าว
ไม่รู้ว่าซูฮยอนควรดีใจหรือเสียใจดี ที่อย่างน้อย ข่าวในทีวีก็เซ็นเซอร์หน้าของเขา
ดูเหมือนข่าวจากสำนักต่างๆ จะกลัวการฟ้องร้องจากซูฮยอน เลยทำให้พวกเขาเซ็นเซอร์หน้าเอาไว้ขณะออกอากาศ
“ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องอายหรอกน่า มันเรื่องจริงไม่ใช่หรือไง”
ลีจุนโฮพูดออกมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ เขายกมือขึ้นมาเพื่อปกปากของตัวเอง
ลีจุนโฮไม่อยากหัวเราะเสียดัง เพราะมันเสียมารยาทมากเกินไป
“นายไม่ต้องกลั้นขำก็ได้นะ ปล่อยมันออกมาเถอะ พวกเราอยู่ในห้องส่วนตัว ไม่มีใครว่านายหรอก”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูฮยอนเสียงหัวเราะที่พยายามอั้นเอาไว้ กลับดังออกมาจากปากของลีจุนโฮขนาดซูฮยอนยังตกใจ
ตั้งแต่ซูฮยอนรู้จักกับลีจุนโฮมา เขาก็พึ่งเคยเห็นลีจุนโฮหัวเราะหนักขนาดนี้
“มันน่าหัวเราะขนาดนั้นเลย?”
“ฮ่า ฮ่า ฉันหัวเราะเพราะการแสดงของนายต่างหาก มันเป็นอะไรที่แบบว่า..”
“การแสดงของฉัน มันแย่ขนาดนั้นเลย?”
“เอ่อ…มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก แต่นายควรไปเทรนนิ่งการแสดงสักหน่อยก็ดีนะ การแสดงของนายมันแข็งกระดากเกินไป จนฉันนึกว่าดูท่อนไม้รับบทเป็นคนซะอีก อ๊ากกก นายต่อยฉันทำไมเนี้ย”
หมัดตรงของซูฮยอนวิ่งเข้าสู้หน้าอกของลีจุนโฮอย่างจัง จนเจ้าตัวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
หลังจากปล่อยหมัดออกไป ซูฮยอนก็ระงับอาการเสียหน้าของตัวเองได้
เขาเหนื่อยมามากแล้วในการต่อก็กับอิโกลัส ทำให้เขาไม่อยากเสียแรงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องมากเกินไป
“แต่คิดไม่ถึงๆจริงๆนะ ว่านายจะทำมันสำเร็จได้”ลีจุนโฮพูด
“งั้นเหรอ..ฉันเป็นคนพูดจริงทำจริง ฉะนั้นเรื่องแค่นี้ไม่คณามือฉันหรอก”
“นั่นสินะ สมกับเป็นนายดี รู้อะไรไหม ตอนเห็นนายทำตามแผนของนายจริงๆ ฉันเกือบ-อกแตกตาย ความคิดที่วิ่งแล่นเข้ามาให้หัวคือการกระโจมเข้าใส่เพื่อหยุดแผนบ้าๆนายให้ได้.”
“นายจริงจัง?”
“จริงจังสิ ปลอมตัวเป็นผู้ก่อการร้ายเพื่อดึงดูด ‘ผู้ตื่นขึ้น’ นายรู้หรือป่าวมันเป็นเรื่องที่โคตรบ้าเลย ถ้าพลาดพลั้งขึ้นมา นายเตรียมไปเยือนยมบาลได้เลย”
“ช่วยไม่ได้ มันเป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุดนี่นา”
“มันได้ผลก็จริง แต่นายก็ควรระมัดระวังด้วย”
1 คน VS 100 คน
มันเป็นตัวเลขที่ดูแค่แวบเดียวก็รู้ได้ทันที ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง
แต่มันใช่ไม่ได้ผลกับซูฮยอน เพราะความสารารถของเขาล้ําหน้าไปเกินกว่ามนุษย์มนาทั่วไป
ถ้าเปลี่ยนจากซูฮยอนไปเป็นคนอื่น พวกเขาคงโดน กลุ่ม ‘ผู้ตื่นขึ้น’ นับร้อยคนรุมสกรัมไปนานแล้ว
“พูดตามตรง จะมี ‘ผู้ตื่นขึ้น’ คนไหนมั้งที่สามารถต้านทานคนนับร้อยได้ ถ้านายพลาดไปแม้แต่วิเดียว ฉันคิดว่านายคงไม่มีโอกาสกลับออกมาอย่างมีชีวิตแล้วละนะ”ลีจุนโฮกล่าว
ลีจุนโฮตำหนิซูฮยอนเล็กน้อย เพราะเขาเข้าปะทะกับ ‘ผู้ตื่นขึ้น’ นับ 100 คน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยจริงๆ
“แต่อย่างน้อย นายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”ลีจุนโฮกล่าว
ในปัจจุบันมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ที่ต่อกรกับ ‘ผู้ตื่นขึ้น’ นับร้อยได้
นั่นก็คือ ‘ผู้ตื่นขึ้น’ แรงค์ S ผู้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
ลีจุนโฮจมลงสู่ห้วงความคิดสักครู่ก่อนถามออกไป
“จริงสิ..นายก้าวไปอยู่ตำแหน่ง แรงค์ S แล้วใช่ไหม?”