การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 124
นิยาย การกลับมาของฮีโร่
ตอนที่ 124
ตอนที่ 124
ในหมู่ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ด้วยกัน ทราบเป็นอย่างดีว่าระหว่างหวังหยู่ และสุกิโมโตะเคนย่าเป็นคู่อาฆาตของกันและกัน
ความเป็นมาของจุดแตกหักเริ่มต้นมาจากการทะเลาะเบาะแว้งของสมาชิกกิลด์ 2 แห่ง จนเหตุการณ์ค่อยๆลุกลามบานปลายควบคุมไม่อยู่สมาชิกกิลด์ทั้ง 2 แห่งเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีกิลด์ตนเองต่างฝ่ายต่างโต้เถียงกันไปมาไม่จบไม่สิ้นจนแล้วจนรอดก็มีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S กระโดดมาร่วมแจมด้วย
หลังจากนั้นทั้ง 2 คน ก็เริ่มมีการปะทะคารมเชือดเฉือนอีกฝ่ายด้วยคําพูดผ่านโพสต์บนโซเชียลมีเดีย
แต่ที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยปะทะกันซึ่งๆหน้ามาก่อนเพราะพื้นที่ปฏิบัติงานของพวกเขาอยู่คนละประเทศซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่มีทางบังเอิญเจอกันบนสนามปฏิบัติภารกิจอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ทางการจีนและทางการญี่ปุ่นก็พยายามปรามสุดความสามารถ ไม่ให้พวกเขา 2 คนเจอหน้ากัน..
อย่างไรก็ตามที่นี่ไม่ใช่ประเทศบ้านเกิดของพวกเขาแต่เป็นต่างประเทศ ไม่รู้เพราะบุพเพสันนิวาสหรือไร ถึงได้นําพาให้พวกเขา 2 คนมาเจอกันที่นี่
“ฉันได้ยินมาว่านายเข้าร่วมสงครามแก่งแย่งอันดับด้วยงั้นเหรอ?”
หวังหยู่ต้องการให้สถานการณ์ตึงเคลียดลดน้อยลงเขาจึงกล่าวทักทายกับชาวญี่ปุ่นอย่างเป็นมิตรมากที่สุดเท่าที่ทําได้..
“หึ ทํามาเป็นพูดจาสุภาพ ฉันรู้ว่าใจจริงของแกอยากเรียกตัวฉันว่า [ไอ้ลูกหมา]ใช่ไหมล่ะ?”สุกิโมโตะเคนย่าตอบ
คําตอบของสุกิโมโตะมีเจตนายั่วโมโหหวังหยู่อย่างชัดเจน
เมื่อได้ยินคําตอบสุกิโมโตะ ที่จงใจบิดเบือนความจริงจากคําพูดที่เขาสื่อออกไปหวังหยู่ย่นคิ้วและตอกกลับ“นายรู้ตัวเองก็ดีจะได้ไม่ลําบากคนอื่น”
เขาอุตส่าห์ผ่อนสั้นผ่อนยาวกับอีกฝ่ายแต่ในเมื่ออีกฝ่ายอยากขับเคี่ยว หวังหยู่ ก็ไม่จําเป็นต้องอดกลั้นอีกต่อไป
เมื่อมีศักดิ์ศรีมาเกี่ยวข้องชายหนุ่มทั้ง 2 คนจึงไม่ยอมแพ้พวกเขาปะทะคารมกันมาหลายครั้งหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมเลิกราไปก่อน มีหวังเสียหน้าแย่
“ฉันเห็นโพสต์ของนายผ่านโซเชียลมีเดียนายพาสมาชิกกิลด์ไปขัดเกลาความสามารถสินะแต่คิดเหรอว่าสวะพวกนั้นจะกลายเป็นป้อมปราการที่แข็งแรงมั่นคงได้?พวกมันก็เป็นได้แค่สวะอยู่วันยังค่ํา ความพยายามของนายกเหมือนตนาพริกละลายแม่น้ำ”หวังหยู่ กระแหนะกระแหน
“อะไรกัน นายกลัวว่าลูกกิลด์ของนายจะสู้กิลด์ของฉันไม่ได้ล่ะสิไม่ว่านายเหงื่อออกท่วมตัวหมดแล้วนั่นฉันก็อยากปลอบใจให้นายอยู่หรอกแต่ฉันปลอบใจคนไม่เก่งซะด้วยฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“หลงระเริงไปเถอะ ภาวนาอย่าให้เจอฉันในสงครามแก่งแย่งอันดับก็แล้วกันหากนายและฉันต้องเผชิญหน้ากันวันนั้นจะเป็นวันตายของนาย”
“มีเหตุผลอะไรทําไมต้องรอนานขนาดนั้นด้วยตอนนี้เลยก็ได้กล้าไหมล่ะหรือว่าเกิดปอดแหกขึ้นมา?”
“ที่นี่มีคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่อยู่เยอะเกินไปแถมยัง…”
“ข้ออ้างเยอะกลัวก็บอกมาตรงๆไอ้ลูกหมูสกปรก”
คําพูดถากถางของสุกิโมโตะส่งผลให้เปลวเพลิงแห่งความโกรธเกรี้ยวลุกโชติช่วงขึ้นในแววตาของหวังหยู่
ผู้ตื่นขึ้นชาวจีนส่วนมากมีร่างกายอ้วนทัวนและหวังหยู่ก็เป็นหนึ่งในนั้นเพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ชอบใจหากใครมาเปรียบเขาเหมือหมู..
ความอดทนของหวังหยู่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ“ฉันจะฆ่าแก”
“จะฆ่าฉันเหรอ? นายต้องพยายามหน่อยล่ะนะ
อุป!!
คลื่นลมแรงลอยออกมาจากร่างกายของทั้ง 2 คน พัดกระหน่ําอย่างเชี่ยวกรากออร่าพลังเข้าประทะกันกลางอากาศทําให้พื้นเริ่มเกิดรอยแตกเล็กๆ.
“กรี้ดดดด!!!!”
“พวกเขากําลังทําหั่นกัน หนีเร็ว!!”
ทันทีที่ชาย 2 คนปล่อยออร่าปะทะกันบรรยากาศรอบๆอึมครึมขึ้นทันตา
นักท่องเที่ยวทุกคนที่กําลังเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์มุมสูงจากหอคอยกอร์ดอนต่างแผดเสียงหวีดร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก
การต่อสู้ระหว่างผู้ตื่นขึ้น 2 คนมักก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินไม่มากก็น้อยนักท่องเที่ยวบางคนจําผู้ตื่นขึ้นที่กําลังประชันพลังกลางอากาศได้ จึงไม่ มีใครกล้ายื่นมือแทรกแซงการทะเลาะ ของพวกเขา 2 คนสถานการณ์โดยรอบเลวร้ายลงอย่างฉุดไม่อยู่
การต่อสู้ระหว่างผู้ตื่นขึ้นระดับทั่วไปไม่ค่อยมีผลกระทบอะไรน่าเป็นห่วง
แต่หากเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ที่ขึ้นแรงค์ S จะอยู่เหนือสามัญสํานึกทันทีผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่สามารถประเมินได้
และเมื่อพวกเขาเปิดฉากต่อสู้ หอคอยกอร์ดอนที่สร้างมาอย่างยากเย็นแสนเข็ญอาจกลายเป็นจุณภายในชั่วพริบตาเดียว
“เข้ามาสิ เจ้าหมูอ้วน”สุกิโมโตะยิ้มยียวนและกระดิกนิ้วท้าทายหวังหยู่
แววตาของหวังหยู่เปล่งประกายเผือกเย็นทันใดนั้นเขาก็กระทุ่งเท้าดีดตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ก่อให้เกิดลมกระโชก
ตูม!!!
มือของหวังหยู่ยืดตรงเลื่อมพรายดุจคมมีดขณะมือแล่นฉิวไปตามลมหมายมั่นโจมตีช่วงคอหอยสุกิโมโตะ
จู่ๆก็มีใครบางคนจับข้อมือของหวังหยู่เอาไว้แน่นมือที่กําลังโจมตีเป้าหมายหยุดชะงักงันกลางอากาศ..
สุกิโมโตะกลงชักดาบที่เหน็บไว้ข้างเอวออกมาแต่เขาก็ต้องหยุดมือลงเพราะการปรากฏตัวของซูฮยอนที่แทรกก ลางวง..
“หยุดทะเลาะกัน แล้วเอาเวลาไปพักผ่อนดีกว่าไหม?”ซูฮยอนถามพลางใช้สายตาราบเรียบมองชายหนุ่ม 2 คน
เขาถอนหายใจออกมาแล้วพูดต่อด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องปาก“หากเกิดความสูญเสียขึ้นมาพวกนายรับผิดชอบ ไหวเหรอ?”
“แกเป็นใคร?”
บางทีคงเป็นเพราะการต่อสู้กําลังเข้าด้ายเข้าเข็มแต่กลับถูกใครบางคนเสนอหน้าขัดจังหวะสุกิโมโตะจึงทําหน้าตาบูดบึงและถามชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ําเสียงขึงขัง
หวังหยู่ที่โดนซูฮยอนจับข้อมือเอาไว้ค่อยๆชักมือออกแล้วถาม “นายคือคิมซูฮยอน?”
“คิมซูฮยอน? ไอ้กรัวกเนี่ยนะเหรอ?”
สายตาประหลาดใจของสุกิโมโตะตรึงไว้ที่ร่างกายซูฮยอนเพราะชื่อเสียงของซูฮยอนเขาก็เคยได้ยินผ่านหูมาเหมือนกัน
ชายตรงหน้าสุกิโมโตะเป็นที่ลือชาในฐานะผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ที่อายุน้อยที่สุดในเกาหลีใต้และตัวตนของเขาต่อมากลายเป็นที่ยอมรับของประชาคมทั่วโลกว่าประเทศเกาหลีใต้คือประเทศที่มีผู้ตื่นทรงพลังมากที่สุดในโลก…
“ไม่ว่าแกจะเป็นคิมซูฮยอนหรือไม่แต่แกกล้าที่จะ…”
ท่าทางสุกิโมโตะจะโกรธแค้นซูฮยอนอย่างไม่ลืมหูลืมตาเพราะซูฮยอนจุนจ้านการต่อสู้ระหว่างเขาและหวังหยู่
สุกิโมโตะอายุมากกว่าซูฮยอนหลายปีเขาสามารถเป็นพ่อของซูฮยอนยังได้ฉะนั้นการสุภาพต่อซูฮยอนจึงไม่จําเป็น..
“คุณอายุอนามก็เยอะ ทําไมถึงไม่รู้ว่าอะไรควรทําอะไรไม่ควรทํารอบๆมีคนอีโหน่อีเหน่อยู่หนาหูหนาตาหากการต่อสู้ ยังคงดําเนินต่อไปจะมีคนโชคร้ายพลอยโดนลูกหลงไปด้วย”
“แกกําลังเทศนาฉันอยู่เรอะ?”
“ไม่ผิด หากมีใจจดจ่ออยู่กับการสู้นัก ทําไมนายไม่ลองหาภูเขารกล้างไร้วี่แวว ของผู้คนสักหนึ่งลูกและต่อสู้กันบนนั้น แก้อาการคันไม้คันมือไปพลางๆก่อน หรือไม่ ก็รอให้ถึงวันจัดงานสงครามแก่ง แย่งอันดับ”
“ไอ้กร็วกกระจ้อยร่อยปากดีนัก เจอนี่หน่อยเป็นไง!!!”
ซูฮยอนที่ก้าวก่ายการต่อสู้ยืนนิ่งอยู่กลางวงสุกิโมโตะเห็นถึงช่องโหว่นั้นรีบชักดาบออกมาจากฝักพลังสีแดงฉานห่อหุ้มตั้งแต่ด้านจับจรดปรายดาบ เขา เหวี่ยงดาบเต็มกําลังแขนดาบคู่ไปตามแรงลมอย่างว่องไว้จุดที่เล็งโจมตีคืบริเวณคอหอยซูฮยอน
[กายาทรหด]
หมับ!!
ดาบของสุกิโมโตะ ถูกฝ่ามือเปล่าๆของซูฮยอนยึดจับเอาไว้เหนียวแน่น เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าดวงตาชาวญี่ปุ่นเบิกโพล่ง
<<เฮ้อ…พูดอะไรไปเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาหมดปุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือ>>
หวังหยู่เริ่มควบคุมจิตใจให้สงบลงได้บ้างผิดกลับสุกิโมโตะที่ยังคงแสดงอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง
สุกิโมโตะเป็นคนนิสัยเลือดร้อนหากเผลอระเบิดอารมณ์ออกมาเมื่อไหร่รับรองว่าไม่มีใครหยุดได้นอกจากใช้โซ่เส้นหนาๆล่ามเขาไว้
“อีก….”
“ทําบ้าอะไรของแก ปล่อยมือสิวะ?”สุกิโมโตะแผดเสียงออกมา
เช้ง!!
ภายนอกชายชาวญี่ปุ่นอาจทําตัวเข้มแข็ง แต่แท้จริงแล้วภายในเต็มไปด้วยความกระวนกระวายอัดแน่นอยู่เต็มอก
สุกิโมโตะดึงดาบออกจากมือซูฮยอนได้สําเร็จและตัดสินใจฟาดฟันใหม่อีกรอบ เมื่อดาบกระทบลงบนมือของซูฮยอนจะเกิดเสียงสะท้อนราวกับเหล็กปะทะกันดังก้องออกมา
“ดูเหมือนฉันคงไม่จําเป็นต้องออกโรงเองสินะนายต้องขอบคุณน้องชายคนนั้นถ้าไม่ได้เขานายจะถูกตัดสิทธิ์และไม่สามารถเข้าร่วมสงครามแก่งแย่งอันดับได้อีกต่อไป”
“ว่าอะไรนะ?”
ทันใดนั้นสุกิโมโตะก็สัมผัสได้ถึงสายตาของใครบางคน มองมายังกลุ่มพวกเขาจากระยะไกลๆ
และเจ้าของสายตาที่ว่า ก็กําลังก้าวเดินมาหาพวกเขาไม่ใช่แค่ซูฮยอนแต่ทั้งหวังหยู่และสุกิโมโตะต่างหันหน้าไปมองอีกฝ่ายพร้อมกัน…
“มายต้วงการต่าช้าที่เริงตาย่าแอ
“ผู้มาใหม่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงมาหาพวกเขา 3 คนบนหัวมีแว่นกันแดดกรอบทองคาดผมเอาไว้แสงสีเหลืองสะท้อนแสงแดดวิบวับ
ถึงแม้คุณจะไม่รู้ว่าชายแว่นกันแดดกรอบทองเป็นใครแต่ถ้าสังเกตให้ดีจะรู้คําตอบได้ไม่ยากเพราะชายที่มาใหม่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับรูปปั้นกลางจุดชมวิวทุกระเบียบนิ้ว
“กอร์ดอน โรฮัน…”
“กอร์ดอนโรฮันตัวจริงเสียงจริง…”
การปรากฏตัวของเขาทําให้เสียงกรีดร้องของนักท่องเที่ยวค่อยๆเงียบลง..
สุกิโมโตะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากอะไรบางอย่างการหายใจเริ่มติดขัดการต่อสู้ที่ผ่านมาเขาไม่เชื่อฟังใครและไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินหรือผู้คนที่กําลังวิ่งหนีอย่างจ้าละหวั่น
แต่การปรากฏตัวของกอร์ดอนโรฮันทําให้สุกิโมโตะยอมลดดาบแต่โดยดี
“ทําไมถึงมีการต่อสู้เกิดขึ้น? อย่าบอกนะว่ามีเรื่องผิดใจกัน?”
กอร์ดอนโรฮันเดินไปหยุดตรงรูปปั้นและใช้แผ่นหลังพิงเขาทํามือส่งสัญญาณ “เอาสิเริ่มต่อได้เลย”
ท่าทางของกอร์ดอนโรฮันที่แสดงออกมาเหมือนผู้ใหญ่กําลังดัดนิสัยเด็กอมมือให้รู้จักคําว่ามารยาทเขาเขม็งมองสุกิโมโตะและพูดว่า“ถ้านายแน่จริงกล้าประมือต่อหน้าฉันไหมล่ะ?”
ความถือดีของสุกิโมโตะโดนทัศนคติของชาวอเมริกาทําลายย่อยยับเขาเช่นเขี้ยวกรอดมือที่จับดาบบีบแน่นขึ้นอย่างไรก็ตามสุกิโมโตะไม่หุนหันพลันแล่นโจมตีอีกฝ่ายตามคําพูดของกอร์ดอนโรฮัน
ต่อให้เขาอยากอาละวาดใจจะขาดแต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงเพราะราพณาสูรที่ชื่อกอร์ดอนโรฮันกีดทางเขาไว้อยู่
<<อะไรของผู้ชายคนนี้ จู่ๆก็โผล่ออก มาน่าหงุดหงิดจริงๆ>>
ชายชาวอเมริกันตรงหน้ายืนล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าที่ผ่อนคลายสีหน้าแข็งที่อราวท่อนไม้
แถมสายตานิ่งเรียบของกอร์ดอนโรฮันที่มองมายังกลุ่มสุกิโมโตะ ให้ความรู้สึกเหมือนกําลังมองดูการต่อสู้ของโจรกระจอกตามตรอกซอกซอยเสียมากกว่า…
ที่สําคัญคลื่นพลังเวทย์ที่ปล่อยออกมาจากตัวของกอร์ดอนโรฮันเข้มข้นเหลือล้นเสมือนก้าวข้ามขีดจํากันแรงค์ S ด้วยกันไปเรียบร้อยสุกิโมโตะที่มั่นใจในคลื่นพลังเวทย์ของตัวเองก็เทียบกับ กอร์ดอนโรฮันไม่ติดเรียกได้ว่าทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น
<<เขามีความสามารถมากแค่ไหนกันแน่?>>
ทันใดนั้นภาพพร่ามัวและใหญ่โตมโหระทึกมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของกอร์ดอนโรฮันซึ่งมันเป็นเหมือนภาพลวงตา
ภาพที่ส่องประกายเลือนลางด้านหลังคือ[ลักษณะนิสัย]ภาคภูมิใจที่ชาวอเมริกามีอยู่ติดตัวแทบทุกคน
ลักษณะนิสัยภาคภูมิใจ ที่สามารถข่มคนอื่นให้รู้สึกต่ำต้อยแม้แต่หวังหยู่และสุกิโมโตะก็รู้สึกใจคอไม่ดีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมัน…
เมื่อก่อนพวกเขาเคยได้ฟังแต่เสียงเล่าลือจากปากคนอื่นความรู้สึกแรกที่เด้ง ขึ้นมาในหัวคือ [ไม่เชื่อ]คนบ้าอะไรแค่มองก็สามารถทําให้คนอื่นรู้สึกต่ำต้อยได้?
แต่พอมาประสบด้วยตัวตนเองสมดั่งคําเล่าลือไม่มีผิดผู้ตื่นขึ้นชาวอเมริการะดับบนๆเต็มไปด้วยม่านหมอกสีขาวอันลี้ลับปกคลุมร่างกายเอาไว้
ทั้ง หวังหยู่ และ สุกิโมโตะต่างมั่นใจสมมุติพวกเขารวมพลังโจมตีกอร์ดอนโรฮันพร้อมกันพยายามเลือดตาแทบกระเด็นก็ไม่สามารถสะกิดอีกฝ่ายได้แม้แต่ปลายเล็บ..
“ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวก่อนก็แล้วกัน” ซูฮยอนพูด
ช่วงเวลาที่กอร์ดอนโรฮันปรากฏตัวซูฮยอนยกมือ 2 ข้างขึ้นเล็กน้อยเพื่อเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมดเขาไม่ใช่ตัวต้นเหตุเขาเป็นเพียงพลเมืองดีที่พยายาม ควบคุมสถานการณ์เท่านั้นหากอยากเอาความก็ไปหา 2 คนนั้นแทน
ระหว่างซูฮยอนกําลังเดินขึ้นลิฟต์จู่ๆก็ฉุกคิดปัญหาขึ้นมาได้ เขาหันหน้ากับไปมองชายชาวอเมริกาที่ยังคงยืนพิงรูปปั้น เหมือนเดิม
“อ่าจริงสิ เกือบลืมไป ฉันทําเพดานลิฟต์เสียหายคงไม่เป็นปัญหาใหญ่หรอกนะหากอยากได้เงินชดเชยความเสียหาย ติดต่อมาหาฉันได้เสมอ
“ไม่ต้องห่วง บ้านฉันรวยเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา”
“ฉันกะไว้แล้วว่าคุณต้องพูดอย่างนั้น”
ซูฮยอนยักไหล่และก้าวเข้าไปในลิฟต์ที่กําลังจอดรออยู่ด้านหน้า
สายตาไร้ความรู้สึกของกอร์ดอนโรฮันมองแผ่นหลังซูฮยอนเมื่อเห็นซูฮยอนเดินหายเข้าลิฟต์ไปเขาจึงปริปากพูด “นี่ทั้ง 2 คน”
กอร์ดอนโรฮันหันหน้าไปพูดกับหวังหยู่และสุกิโมโตะซึ่งทั้ง 2 คนเป็นตัวการริเริ่มต่อสู้และสร้างความวุ่นวายบนชั้นที่ 200 ของหอคอยกอร์ดอน
“พวกนายรู้มั้ยว่าคนเมื่อกี้เป็นใคร?”
หวังหยู่และสุกิโมโตะลืมเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่ทั้งหมดแล้วหันมองหน้ากันและกัน…
“พวกนายไม่รู้เหรอ?”
“ไม่ใช่หรอก คนเมื่อกี้ ชื่อ คิมซูฮยอน”
“คิมซูฮยอน? พูดจริงพูดเล่นเนี่ย?”
กอร์ดอนโรฮันต้องเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของซูฮยอนมาจากที่ไหนสักแห่งแน่นอนเพราะสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
<<เด็กหนุ่มที่ได้รับตําแหน่งแรงค์ S ได้ไม่นานกลับมาถึงจุดเกิดเหตุก่อนฉันอย่างงั้นเหรอ?>>
ทันทีที่กอร์ดอนโรฮันสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาการต่อสู้บนชั้นที่ 200 เขารีบรุดหน้ามายังจุดเกิดเหตุโดยเร็วที่สุดอย่างไรก็ตามกลับมีคนอื่นมาถึงก่อนเขาแถมเวลาที่มาถึงก่อนก็ไม่ใช่น้อยๆอีกต่าง
หาก
ซึ่งหมายความว่ามีความเป็นไปได้อยู่ 2 อย่าง..
<<ความเป็นไปได้ที่ 1 เขาบังเอิญอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุพอดิบพอดีหรือ..>>
แม้กอร์ดอนโรฮันจะคิดว่าความเป็นไปได้ข้อที่ 2 มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยที่สุดแต่โอกาสเกิดขึ้นก็ไม่ได้เป็น 0 ซะที่เดียว..
<<ความเป็นไปได้ข้อที่ 2 เขาสัมผัสปฏิกิริยาการต่อสู้ได้เร็วกว่าฉัน…>>
หากเป็นจริงอย่างความเป็นไปได้ข้อที่ 1 เขายังทําใจยอมรับได้ แต่ถ้าเป็นข้อที่ 2 ล่ะก็เขาไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ แน่..
กอร์ดอนโรฮันคลี่ยิ้มให้กับข้อสันนิษฐานของตนเองคําตอบสุดท้ายหรับเขาก็เป็นได้แค่เรื่องตลกโปกฮาไม่มีทางเป็นไปได้ที่ซูฮยอนจะสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาต่อสู้ก่อนเขา
เมื่อคิดได้ดังนั้นกอร์ดอนโรฮันก็หมุน ตัวเตรียมเดินจากไปแต่แล้วเขาก็หันหน้ามองสํารวจสภาพแวดล้อมของชั้นที่ 200 และสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่หวังหยู่และสุกิโมโตะ
“อ่าจริงสิ ฉันแค่จะบอกว่าไม่มีอะไรต้องกังวลพวกนายสามารถประมือกันต่อได้เลยแต่อย่าลืมชดใช้ค่าเสียหาย ต่อผลกระทบที่ตามมาด้วยล่ะโอเคไหม?”
พูดทิ้งท้ายเสร็จ ชายชาวอเมริกันก็เดินจอ้าวออกจากจุดเกินเหตุ
คลื่นนักท่องเที่ยวที่ยังคงติดค้างอยู่บนชั้นที่ 200 เพราะการทํานั่นกันระหว่างหวังหยู่ และสุกิโมโตะ
เมื่อเห็นว่ากอร์ดอนโรฮันเดินจากไปท่ามกลางฝูงชนจํานวนมากทั้งๆที่ตัวเองยังสะสางสถานการณ์โดยรอบไม่เรีย บร้อยทําให้พวกเขาอดสายหัวออกมาพร้อมกันไม่ได้…
“บ้าบอคอแตกสิ้นดี สงครามแก่งแย่งอันดับกําหนดผู้ชนะได้ตั้งแต่งานยังไม่เริ่มเสือนอนกินชัดๆ”
สุกิโมโตะเปล่งเสียงร้องครวญครางออกมาจากลําคอ ความฝันที่วาดเอาไว้ถูกขัดขวางโดยใครบางคน
ที่ผ่านมาสุกิโมโตะจินตนาการมาเสมอว่าความแข็งเกร่งของเขาสามารถเทียบเคียงกอร์ดอนโรฮันได้อย่างไม่ยากเย็นแต่พอได้เจอกอร์ดอนโรฮันตัวจริงเขารู้แจ้งทันทีอะไรที่เรียกว่าฟ้าอะไรที่เรียกว่าดิน…
“ฉันเห็นด้วยกับคําพูดนาย แต่ฉันมีข้อสงสัยบางอย่าง…”
แม้ว่าคําโอดครวญของสุกิโมโตะจะมีความน่าเชื่อถือและมีโอกาสเกิดขึ้นจริงมากที่สุดแต่สําหรับหวังหยู่เขาเชื่อแค่ ครึ่งหนึ่งเท่านั้น
ตามความคิดของหวังหยู่กอร์ดอนโรฮันเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งในหมู่ผู้ลงสมัครเข้าแข่งขันด้วยกันที่มีโอกาสคว้าชัยชนะมาครอบครองได้สําเร็จสูงสุดแต่การปรากฏตัวของซูฮยอนทําให้ความคิดของหวังหยู่ผกผันไม่แน่บางที่ซูฮยอนอาจเป็นม้ามืดของงานครั้งนี้ก็ได้…
<<อีก…>>
ชายชาวจีนลูบคลําข้อมือตนเองที่โดนซูฮยอนจับไว้ก่อนหน้า เมื่อสถานการณ์ความวุ่นวายยุติลงความเจ็บปวดบริเวณข้อมือกระตุ้นการรับรู้ของเขา
<<ถึงกับกระดูกหักเลยเหรอ>>
ใครจะไปคิดว่าการหยุดท่าโจมตีของหวังหยู่ในคราวนั้นจะส่งผลกระทบทําให้กระดูกบริเวณข้อมือหักแบบนี้ยิ่งไปกว่านั้นชายหนุ่มเกาหลีใต้ยังสามารถหยุดคมดาบของสุกิโมโตะด้วยมือเปล่าได้อีก ต่างหาก…
<<จะเกิดอะไรขึ้น หากกอร์ดอนโรฮันและซูฮยอนต้องมาเผชิญหน้ากัน?>>
หวังหยู่ประคองข้อมือที่หักและบ่นพึมพํากับตัวเองแผ่วเบา
“วันพรุ่งนี้ ชักเริ่มน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆแล้วสิ
-พี่หายตัวไปไหนเนี่ย? ผมเดินตามหาพี่ตั้งนานสองนานก็ไม่เจอช่วยไม่ได้ผมจะตามหาพี่อีกสักพักถ้าไม่ได้เรื่องผม ขอกลับที่พักก่อนนะไว้เจอกันที่โรงแรมบ้ายบาย
ซูฮยอนอ่านข้อความที่ฮักจนพิมพ์ส่งมาแล้วเกาหัวแกรกๆ หลังจากซูฮยอนวิ่งหนีจากฮักจนออกมาอีกฝ่ายไม่ได้กลับ ไปที่โรงแรมแต่เลือกที่จะเดินตามหาเขาหากสักจุนโกรธกะบึงกะบอนใส่เขาจะไม่แปลกใจเลย
<<อีกครั้งแล้วสินะที่ฉันจากไปโดยไม่แจ้งเรื่องราวให้เขาทราบ…>>
ซูฮยอนย่างเท้าออกมาจากหอคอยกอร์ดอน ระหว่างทางกับโรงแรม เขาไตร่ตรองว่าควรซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับไปด้วยดีไหม…
ขากลับ ซูฮยอนไม่ได้เลือกนั่งแท็กซี่แต่เลือกเดินเท้ากลับโรงแรมแทนเหตุเป็นเพราะการจราจรบนท้องถนนเริ่มติดขัดการเลือกเดินเท้า จึงรวดเร็วกว่านั่งแท็กซี่หลายเท่า
ขณะซูฮยอนกําลังเดินลัดเลาะไปตาม
ทางเท้า อยู่ดีๆเขาก็หันหัวเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน
จุดหมายที่เขากําลังมุ่งหน้าไปค่อนข้างเปล่าเปลี่ยวห่างไกลจากผู้คนแม้จะเป็นตอนกลางวันแสงแดดเจิดจ้าแต่ภายในตรอกแคบแห่งนี้แสงแดดกลับทอแสงมาไม่ถึง บรรยากาศรอบๆมืดตึดถือ
ซูฮยอนเดินไปหยุดอยู่กลางตรอกและพูดออกมาว่า“ที่แห่งนี้เป็นไงบ้างพอใช้ได้ไหม?”
ฟรี่บ!!
คลื่นพลังชีวิตเริ่มกะพริบชัดเจนมากยิ่ง ขึ้น…
ชายที่ลอบสะกดรอยตามซูฮยอนมาอย่างลับๆเมื่อทราบว่าเป้าหมายรู้ตัวจึงยอมเปิดเผยตัวออกมาจากมุมมืด..
“ก่อนหน้านี้นายทําฉันไว้เจ็บแสบมากจําได้ไหม?”
ซึ้ง!!!
สุกิโมโตะ เคนย่าชักดาบออกมาจากฝึกด้วยท่วงท่าโหดเหี้ยมเขาขยับเขยื้อนไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อย่นระยะให้ใกล้กับซูฮยอนมากขึ้น
“นายเลือกสถานที่ได้เหมาะเจาะจริงๆที่นี่ไม่มีพยานบุคคลและ ไม่มีแม้กระทั่งกล้องวงจรปิด
สังเกตจากอากัปกิริยาเหมือนกับว่าสุกิโมโตะยังคงขุ่นเคืองใจเหตุการณ์ที่ซูฮยอนทะเล่อทะล่าเข้าไปขัดขวางการต่อสู้ช่วงก่อนหน้านี้สาเหตุที่เขายอมรามือจากการต่อสู้ระหว่างเขากับหวังหยู่ เป็นเพราะการแทรกแซงของกอร์ดอนโรฮันโดยเฉพาะไม่เกี่ยวกับการแทรกแซงของซูฮยอนเลยแม้แต่น้อย…
“นายพูดถูก”
ซูฮยอนซึ่งตามองสุกิโมโตะและชักดาบของตัวเองออกมาเตรียมพร้อม…
“เพราะสถานที่แห่งนี้ลับตาคนฉันถึงตัดสินใจลากนายมาที่นี่ยังไงล่ะ”