กลัวผีจะตาย..แล้วไหงถึงได้กลายเป็นผู้อัญเชิญวิญญาณ.. - ตอนที่ 1
ตนที่ 1
มีใครเคยสงสัยกันบ้างหรือเปล่า ทำไมคนเราถึงได้เกิดมา เมื่อเกิดมาแล้วสุดท้ายก็ต้องตาย แล้วจะเกิดมาทำแป๊ะอะไรล่ะ..
ชดใช้กรรม.. แล้วเมื่อไหร่จะหมดล่ะ ตายไปก็จะกลายเป็นดวงวิญญาณ หรือไอ้ที่เรียกว่าผีนั้นแหละ สุดท้ายเมื่อถึงเวลาก็จะได้กลับมาเกิดใหม่ แต่กลับจำอะไรไม่ได้ซะอย่างนั้น
ชีวิตของทุกสรรพสิ่งต้องเวียนวายตายเกิดแล้วก็ต้องเริ่มต้นใหม่ คำนิยามเหล่านี้มันช่างเป็นอะไรที่ยากจะเข้าถึง..
ณ บ้านไม้สองชั้นแห่งนึ่งที่สร้างอยู่ภายในสวนตาล จังหวัด xxxx
“ไอ้ช้าง..!! ทำอะไรอยู่..!!!?”เสียงของชายชราที่ค่อนข้างมีอายุตะโกนดังให้ได้ยินมาจากทางด้านนอกของห้อง..
ต๊อกๆ
แต๊กๆ
“กำลังสวดแผ่เมตตาอยู่ปู่..!!!~”เสียงขานรับของเด็กหนุ่มหน้าตาค่อนข้างบ้านๆ และถึงจะบอกว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่เอาจริงๆแล้วในเวลานี้กลับกำลังกดเกมพกพาในมืออย่างเมามันส์
‘เซงเป็ด..~ ดูเหมือนว่าตาแก่นั่นจะหาเพื่อนออกไปทำอะไรพิลึกๆที่ป่าช้าอีกแหง่มๆ ขอบายล่ะ เพราะข้าพเจ้ากลัวผียิ่งกว่าสิ่งใดในโลก..’ผมที่นั่งครุ่นคิดอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะตั้งสมาธิในการควบคุมเกมพกพาในมือ..
กระผมนั้นเป็นเด็กหนุ่มวัยสะอ้อนมีนามไฉไลว่าช้าง~ ช้าง~ช้าง~ น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า..? ใครมันเป็นคนตั้งชื่อให้เรากันฟร่ะ แต่ก็ช่างมันเถอะ ปัจจุบันผมมีอายุ 16 ปีบริบูรณ์ เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไปที่ชื่นชอบการเล่มเกม ดูอนิเมะ อ่านมังงะ และก็เสพนิยายประหนึ่งว่ามันคือลมหายใจของชีวิต
ผมนั้นเติบโตมาในตระกูลหมอชื่อไม่ค่อยจะดัง หมอในที่นี้หมายถึงหมอผีนะ แถมบ้านก็ยังตั้งอยู่ในสวนตาลที่ห่างไกลจากตัวเมืองอยู่ไกลโข สถานที่ๆดูเหมือนจะใกล้ที่สุดก็คงจะเป็นป่าเร็ว เฮ้ย.!! ป่าปานกลาง..เฮ้ย..!! ป่าช้า..!! เฮ้ย..!! ถูกแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดีที่บ้านไม้สองชั้นหลังนี้ยังมีไฟฟ้า และที่แจ่มแมวที่สุดยิ่งกว่านั้นก็คือมีไวฟายที่ทำให้ผมสามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกส่วนตัวอันแสนสุดวิเศษได้จนมาถึงทุกๆวันนี้
ปัง..!!!
“เฮ้ย..!! ปู่ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เคาะประตูก่อนเข้ามา..?”ผมที่หันไปตะโกนอย่างหัวเสียใส่ชายชราที่เปิดประตูห้องเข้ามาในห้องโดยที่ไม่ได้รับอนุญาติ
“นี่น่ะหรอ..วิธีการสวดแผ่เมตตาของแก..? รีบๆปิดไอ้เครื่องเล่นเฮงซวยนั่น และออกไปป่าช้ากับข้าบัดเดี๋ยวนี้..”
ชายชราท่าทีดูไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง อยู่ในชุดเสื้อกางเกงสีขาวบริสุทธ์ มีลูกประคำห้อยต่องแต่งเต็มคอ และในเวลานี้กำลังยืนเอาแขนพิงอยู่ที่ขอบประตูคนๆนี้ จริงๆแล้วก็คือคุณปู่ของผมเอง ชื่อของเขาคืออัครเดช คชสาร และก็ยังเป็นหมอผีสุดโต้งที่มักจะสรรหาอะไรแปลกๆมาทำได้อยู่ทุกวี่ทุกวัน
“โถ่ๆ นี่มันยุคสมัยไหนแล้วคุณปู่ ยังจะออกไปทำอะไรในสถานที่แบบนั้นอีก..แล้วนี่มันก็สี่ทุ่มแล้วนะ ออกไปตอนนี้ผีหลอกตายฮ้อง..?”
ข้าพเจ้าพูดกับคุณปู่ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนฟูก แต่หัวก็ยังคงชะเง้อมองชายชราที่ยืนอยู่ทางด้านขวามือ พร้อมกับกดจอยเกมในมือไปพลางๆ แต่ยังไม่ทันไรรู้สึกตัวอีกทีก็ถูกตาแก่หิ้วปลีกออกจากห้องไปทั้งอย่างนั้น
“เฮ้ย..!!~ ปู่เอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนเนี้ย..!!!?”
“เงียบเถอะน่า..ถ้าแกยังไม่เลิกพูดมาก ขากลับข้าจะทิ้งแกเอาไว้ที่ป่าช้าคนเดียว..”
“ฮึก..!!”
นั่นแหละครับ..คำขู่ที่มักจะทำให้ผมเงียบและยอมทำตามในสิ่งที่ท่านเจ้าพระคุณคนนี้ต้องการ เอะอะเป็นทิ้งในป่าช้า ซึ่งตัวผมถึงแม้ว่าจะดำรงชีวิตอยู่ในตระกูลหมอผี แต่ก็ใช้ว่าจะไม่กลัวผี
ผีถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 3 สิ่งที่ผมนั้นกลัวจนอยากจะร้องไห้ ซึ่งมันมีความหน้ากลัวอยู่ในระดับที่ 2
“ปู่จะไปทำอะไรอีกล่ะวันนี้..?”ผมที่ถามครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของตัวเอง ส่วนพ่อแม่น่ะหรอ..ของแบบนั้นไม่มีหรอก เพราะตั้งแต่จำความได้ก็ถูกเอามาทิ้งเอาไว้ที่ป่าช้าแล้ว แต่ก็ได้นายอัครเดชนี่แหละที่เก็บมาเลี้ยงและอุ้มชูจนเติบใหญ่กลายมาเป็นเทพบุตร..
“วันนี้งานเบาๆ..จะไปหาน้ำมันพราย..”
เมื่อได้รับคำตอบ สีหน้าของผมก็คงที่จะไม่ต้องอธิบายหรอกว่ามันจะเป็นยังไง ส่วนความรู้สึกน่ะหรอ กลัวจนเยี่ยวแทบพุ่ง ล่าสุดที่ได้เห็นศพของผู้หญิงตายท้องกลม ผมก็นอนหมดสติน้ำลายฟูมปากชักกระแด้วๆอยู่ตรงนั้น พอรู้สึกตัวอีกทีก็ถูกทิ้งเอาไว้อยู่ที่ป่าช้า กว่าจะหาทางกลับออกมาได้ทำเอาเลือดตาแทบกระเด็น
และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงกลัวผีจนขี้ขึ้นสมอง ขอบอกเลยถ้าได้เจอเป็นตัวเป็นตนล่ะก็ หัวใจก็พร้อมที่จะกระดุ๊กกระดิ๊กได้ทุกเมื่อ..
ครึ่งชั่วโมงต่อมา..~
นายอัครเดชที่ได้หิ้วปลีกร่างของผมมายังสถานที่แห่งนึ่ง มันเป็นป่าที่มีบรรยากาศค่อนข้างวังเวง ถึงจะเคยมาสถานที่แห่งนี้อยู่หลายครั้งแล้วก็เถอะ ก็ค่อนข้างที่จะรู้สึกชินอยู่พอสมควร ซ่ะที่ไหนกันล่ะ ให้มาเป็นล้านครั้งก็ชินไม่ลงโว้ย..
“ปู่~ ปล่อยผมลงได้แล้วมั้ง..”
ตุบ..!!!
“โอ้ย..!!~ ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ก็ไม่เห็นจะต้องปล่อยพรวดพราดแบบนี้เลย..”ผมที่ทำหน้าบึ้ง พลางลูบก้นของตัวเองอย่างอ่อนโยน หลังจากที่มันกระแทกพื้นเข้าอย่างจังๆ..
“เอาล่ะ..ถึงแล้ว”คุณปู่อัครเดชที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าของหลุม และก็ดูเหมือนว่ามันจะถูกขุดเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งภายในหลุมก็มีโลงไม้ใหม่เอี่ยมอยู่โลงนึ่ง เหมือนจะถูกเอามาฝั่งเอาไว้เมื่อไม่กี่วันนี้เอง
“เปิดโล่ง..~ จะได้เริ่มทำพิธี..”ตาอัครเดชที่ไม่ชักช้า หันหน้ากลับมาออกคำสั่งกับผม อีกทั้งยังแสยะรอยยิ้มอย่างเย้ยหยันเหมือนคิดที่จะแกล้ง เพราะรู้ดีว่าผมนั้นกลัวผียิ่งกว่าสิ่งใด แต่มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าลูกผู้ชายอกสามศอกอย่างผมมีหรือที่จะกลัว.
ฟุบ..!!!
ข้าพเจ้าที่ทำการหมุนตัวหันหลังกลับ สายตาพลางจ้องมองและสาดส่องเพื่อหาทิศทางที่จะออกจากป่าแห่งนี้ให้เร็วที่สุด ร่างกายนั้นกำลังย่อตัวลงต่ำเตรียมพร้อมที่จะออกตัววิ่งสตาร์ดราวกับนักวิ่งเหรียญทองโอลิมปิก
ฟุบ..!!~
“จะไปไหน..?”
“จ๊ากกก..!!! ปล่อยนะปู่..”เสียงร้องของผมที่ดังออกมา หลังจากที่ถูกนายอัครเดชดึงคอเสื้อจนตัวลอยอีกครั้ง
“เฮ้อ..อย่าทำเป็นสำออย ตระกูลหมอผีของข้าจะมีผู้สืบทอดปวกเปียกแบบนี้ไม่ได้..”
“ไม่อยากจะสืบทอดสักหน่อย ผมก็มีความฝันของผมนะ เมื่อไหร่ปู่จะเลิกยัดเยียดและปลูกฝังเรื่องพวกนี้ให้กับผมสักที..?!!”ผมที่เผลอตวาดออกไปอย่างหัวเสีย จนไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของผู้ฟัง อะ..เอ๊ะ แล้วทำไมจู่ๆปู่ถึงทำสีหน้าแบบนั้นกันล่ะ
ใบหน้าของปู่ในเวลานี้ที่แสดงออกมาให้เห็น ผมพึ่งจะเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก มันเป็นแววตาเศร้าๆที่ยากเกินจะอธิบาย..
“แบบนั้นเองสินะ..”
ตุบ..
ปู่ที่หลับตาลงพลางก้มหน้า พร้อมกับยื่นมือเข้ามาแตะที่บ่าทั้งสองข้างของผม ในลักษณะที่ผมและปู่หันหน้าเข้าหากัน
“สมมุติเฉยๆนะช้าง..แค่สมมุติ ถ้าสมมุติว่าปู่ไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว แกจะมีชีวิตอยู่และหยัดยืนด้วยตัวเองได้หรือเปล่า..?”
“อะไรกัน จู่ๆก็..?”ผมที่แปลกใจ และรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่คำพูด แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อย
“ฮ่าๆ ๆ แค่ถามเฉยๆ..”
ตุบๆ ๆ ๆ
ปู่อัครเดชที่ตบลงมาที่บ่าของผมอยู่สองสามครั้ง แล้วแสร้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนในสิ่งที่พึ่งจะพูดออกมาเมื่อกี้
“ถ้าเป็นแก ปู่เชื่อว่าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยล้ำแข้งของตัวเองได้แน่ๆ ความฝันของแกอยากที่จะเป็นอะไรปู่ก็ไม่รู้หรอก แต่ปู่ก็ขออวยพรให้แกเป็นได้อย่างที่หวัง..”ปู่ที่หันหลังกลับ และพูดทิ้งท้ายกับผมเอาไว้ หลังจากนั้นปู่ก็เดินตรงไปหยุดอยู่ที่ตรงบริเวณปลายหลุมศพ
ความฝันของผมถึงแม้ว่าจะไม่เคยบอกให้ปู่รับรู้ แต่ผมนั้นอยากที่จะเป็นหมอ ไม่ใช่หมอผีนะแต่เป็นหมอจริงๆที่รักษาคน เห็นผมใช้ชีวิตแบบนี้แต่เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าช้างอย่างผม กลับเรียนดีจนรุกหน้าเป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด ที่หนึ่งในความหมายไม่ใช่ระดับโรงเรียนแต่อย่างใด แต่เป็นอันดับหนึ่งของจังหวัด
ผมได้เกียรตินิยมมากมาย แถมยังได้ทุนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่ใครมันจะไปทิ้งคนแก่ที่อายุปาเข้าไป 70 กว่าปีได้ลงคอกันล่ะ เงินส่วนหนึ่งที่ผมเอามาใช้ซื้อของซื้อสื่อต่างๆก็มาจากการแข่งขัน เข้าประกวดความรู้จากหลายสาขาวิชา
พูดง่ายๆทุกๆวันนี้ เงินในบัญชีที่ผมมีติดตัวสามาถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องรบกวนคุณปู่ ส่วนเหตุผลที่ทำให้ผมอยากที่จะเป็นหมอ ก็คงเป็นเพราะปู่..
ในตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ผมมักจะถูกปู่พาไปที่โรงพยาบาลในกรุงอยู่บ่อยครั้ง แต่คนที่ไปรักษาไม่ใช่ผมแต่กลับเป็นปู่
ซึ่งปู่ของผมเป็นโรคอะไรอันนี้ผมก็ไม่รู้ แต่ทุกๆครั้งที่เห็นปู่ไม่สบาย ผมนั้นก็พลอยรู้สึกใจไม่ดีไปด้วย มันจึงทำให้ผมคิดที่อยากจะเป็นหมอขึ้นมานับตั้งแต่ตอนนั้น เพื่อที่จะมารักษาคุณปู่
“เปิดโลงสิ..”
ผมที่ยืนเหม่อลอย พลันต้องหลุดออกจากภวังค์ เมื่อปู่สั่งให้ลงไปเปิดโลงศพภายในหลุม ถึงแม้ว่าจะกลัว ผมก็เลือกที่จะยอมทำตามคำสั่ง
ฟุบ..~
ครืด..!!!
ผมที่สไลด์ตัวลงไปภายในหลุมที่มีความลึกไม่มากนัก ก่อนจะค่อยๆยกมือขึ้นมาพนม เพื่อขออนุญาติศพก่อนที่จะเริ่มทำการประกอบพิธี..
ครืด..~
“เอ๊ะ..”
ทันทีที่ผมเลื่อนเปิดฝาโลง จู่ๆน้ำตาของผมก็ไหลรินออกมาโดยอัตโนมัติ ขนทั่วทั้งเกิดการลุกซูและรู้สึกเสียวสั่นหลังวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก สิ่งแรกที่ผมทำคือหันหลังกลับไปมองหาปู่ แต่ทว่า..ไม่มี
ปู่ของผมได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อเห็นเช่นนั้นผมจึงหันกลับมาพินิจร่างที่กำลังนอนอยู่ภายในโลง ซึ่งร่างๆนั้นมันไม่ใช่หญิงที่ตายท้องกลมอย่างที่ผมเข้าใจแต่อย่างใด แต่มันกลับเป็นร่างของชายชราที่มีใบหน้าอันแสนคุ้นเคยและเห็นกันอยู่ทุกๆวัน
“นะ..นี่ มันเรื่องอะไรกัน ปะ..ปู่ ฮึก..!!!”
ความหวาดกลัวที่เข้ามาแทรกภายในจิตใจ แต่มันคงไม่เทียบเท่าความเสียใจที่มากกว่า ผมที่ช้อนร่างของชายชราภายในโลงขึ้นมาสวมกอดเอาไว้อย่างแนบแน่น ซึ่งมันก็แน่นอนว่าร่างๆนั้นคือปู่ของผมเอง
ในเวลานี้ผมเข้าใจในทุกๆสิ่งที่ได้สนทนากับปู่ แต่เรื่องพวกนั้นมันไม่ใช่ที่เรื่องที่ผมจะต้องมาใส่ใจในตอนนี้
ผมที่ทรุดตัวนั่งร้องไห้กอดร่างของปู่ด้วยความเสียใจอยู่นานแค่ไหนก็จำไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในความรู้สึก ณ ขณะนี้ มันยากเกินกว่าที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
“ฮื้อ..ปู่..!!!!!!!!”
1 วันผ่านไป..
“กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา..”เสียงบทสวดอภิธรรมศพของพระสงฆ์ที่ดังกังวาลไปทั้งศาลา
“ฮึกๆ..”ผมที่นั่งร้องไห้ หัวใจเหมือนกับกำลังถูกบีบเค้นจนหายใจลำบาก เบื้องหน้าของผมคือโลงศพ โดยมีรูปของชายที่ชื่อว่า นาย อัครเดช คชสาร ตั้งวางเอาไว้อยู่ข้างๆ แต่กลับไม่มีพวงหรีดเลยสักพวง
ในวันที่เจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องมาถึง จากการชันสูติเบื้องต้น ผมจึงได้รู้ภายหลังว่าปู่นั้นเสียชีวิตมาได้เพียงแค่หนึ่งวัน ด้วยโรคหัวใจกำเริบ และก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรู้อยู่แล้ว ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เลยทำการขุดหลุมและซื้อโลงมาวางเอาไว้
ความรู้สึกของผมในตอนนั้น มันไม่ต่างอะไรกับเหมือนถูกไม้หน้าสามหวดเข้ามาที่กลางใบหน้า มันชาไปทั่วทั้งร่างจนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะสามารถเดินต่อได้
ในงานศพของวันนี้ ไม่มีใครสักคนที่มาเข้าร่วมงานมีเพียงแค่ผมตัวคนเดียวเท่านั้น ถ้าจากที่ผมเคยถามปู่
ปู่ของผมใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด และด้วยการที่ปู่ยังคงงมงายอยู่กับไสยศาสตร์ จึงทำให้เหล่าบรรดาญาติๆต่างปลีกตัวออกห่าง และขาดการติดต่อไป..
7 เจ็ดวันผ่านไป..
และเวลาก็ล่วงเลยผ่านพ้นมาถึงเจ็ดวันเต็มๆ ในวันนี้คือวันที่ผมจะต้องมาส่งปู่
“ฮึกๆ..ปู่ไม่ต้องห่วงนะ..ผมจะยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเอง และจะเติบโตเป็นคนดีไม่ทำให้ปู่ต้องผิดหวัง..”ผมที่พูดกับร่างอันไร้วิญญาณภายในโรงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่สัปประเหร่อจะนำร่างของปู่เข้าเตาเผา และทำการสวดบทคาถาอะไรบางอย่าง
หลังจากที่ผมส่งปู่เป็นที่เรียบร้อย ผมยังคงยืนมองควันไฟจากปล้องเมรุ ผมนั้นอยากที่จะให้เรื่องทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่มันกลับกลายเป็นความจริงอันแสนเจ็บปวด..
“ฮึก..ปู่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ..”ผมที่พูดทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะหันหลังกลับและเดินจากไป และจากเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนี้ มันก็ได้เปลี่ยนชีวิตต่อจากนี้ของผมไปตลอดกาล
สามปีผ่านไป..
หลังจากวันที่ปู่นั้นจากไป นี่ก็ผ่านมาถึงสามปีแล้ว..ผมที่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็ไม่ได้คิดที่จะเรียนต่อ เงินสะสมที่เคยเก็บเอาไว้ก็ใกล้ที่จะหมดลงไปทุกที
ส่วนความฝันที่อยากจะเป็นหมอก็ได้ล้มเลิกไป เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของผมในตลอดสามปีที่ผ่านมาคือสานต่อเจตจำนงค์ของผู้มีพระคุณ ซึ่งนั่นก็คือการสืบทอดเจตจำนงค์ของตระกูลหมอผีคชสาร
ในช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา ผมนั้นใช้เวลาศึกษาตำราไสยศาตราภายในบ้านจนแตกฉาน ถึงแม้ว่าบางเล่มจะเป็นภาษาโบราณ แต่ผมก็ดันทุรันแปลมันออกมาจนสำเร็จ
ไม่ว่าจะเป็นคาถาใดๆ จวบจนพิธีกรรมต่างๆ ผมได้ศึกษาและทำความเข้าใจในพวกมันทั้งหมด ถึงขนาดลองทดลองด้วยตนเอง
แม้ว่าความเป็นจริงมันจะขัดต่อหลักวิทยาศาสตร์ แม้ว่าผมจะรู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกว่ามันเป็นเพียงแค่ความเชื่องมงาย แต่ในทุกๆวันผมนั้นกลับจดจ่ออยู่กับมัน จนทิ้งงานอดิเรกทั้งหมดไป..
“ฟู่..~ อ่านครบหมดทุกเล่มเลยแห๊ะ..เอาล่ะต่อไปก็..”
ผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ภายในห้องของตัวเอง บนโต๊ะตรงหน้าเต็มไปด้วยกองหนังสือ ในวันนี้มันเป็นวันที่ผมตั้งใจจะเข้าไปในป่าช้าด้วยตัวเพียงคนเดียว
เป็นเพราะว่าโรคกลัวผีของผมมันยังไม่จางหายไป ผมยังคงหวาดกลัวกับสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ในวันนี้มันไม่ใช่ ความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะเป็นหมอผี จำเป็นจะต้องขจัดสิ่งสำคัญที่เป็นอุปสรรค์ซึ่งนั้นก็คือความกลัว
ตุบ..
“พิธีกรรมเบิกเนตร..”ผมที่หยิบขวดแก้วขนาดเล็กขึ้นมาวางบนโต๊ะ พร้อมยกแขนขึ้นมาพนมมือและท่องคาถา ภายในขวดแก้วถูกบรรจุเอาไว้ด้วยดินจากป่าช้าที่ปู่เคยเก็บกลับมาอยู่บ่อยๆ พิธีกรรมเบิกเนตรคือพิธีกรรมที่ทำแล้ว คนที่ไม่เคยเห็นผีหรือเห็นวิญญาณก็จะสามารถทำให้มองเห็นได้
เมื่อท่องคาถาจนจบ ผมก็หยิบขวดแก้วขึ้นมาเทดินลงในฝ่ามือ และใช้มันป้ายเปลือกตาทั้งสองข้าง ทันทีที่ทามันผมก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติขึ้นมาได้ในทันที ซึ่งสิ่งที่ว่านั้นก็คือ..
“เวรเอ๊ย..เศษดินเข้าตา..”พูดจบก็วิ่งไปหาน้ำล้างตาโดยทันที และเมื่อแก้ปัญหาจนเสร็จ มันก็ถึงเวลาที่ผมจะออกไปยังสถานที่แห่งนั้นแล้ว
ฟุบ..!!!
ผมที่หยิบเสื้อและกางเกงสีขาวของปู่ขึ้นมาสวมใส่อย่างฮึกเหิม ต่อด้วยห้อยลูกประคำ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการหยิบย่ามขึ้นมาสะพาย และเดินมุ่งหน้าออกจากบ้านไปในทันที
ต้องขอบอกก่อนว่าภายในยามนั้นเต็มไปด้วยวัตถุคุณไสยกว่าหลายสิบชิ้น มีทั้งมีดหมอ สายสิญจน์ ควายธนู ตะปู หนังควาย ลากยาวไปถึงพายันต์นานาชนิดที่ปู่เป็นคนปลุกเสกขึ้นมาเองกับมือ
ส่วนวิธีการใช้ผมนั้นย่อมรู้ดี เพราะศึกษาพวกมันมาทั้งหมดแล้ว อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์นั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป..ล่ะมั้ง
“ว่าแล้วก็เช็คอินที่ป่าช้าสักหน่อยดีกว่า เอ๊ะ..เหมือนจะลืมหยิบไฟฉายมาด้วยแห๊ะ..”ผมที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คอินในเฟสบุ๊ค ถึงแม้จะไม่มีคนมาตามกดไลค์ให้เหมือนสมัยก่อนก็ตาม ส่วนมืออีกข้างก็พลางล้วงเข้าไปในยามเพื่อควานหาไฟฉาย
“เจอล่ะ..”เมื่อผมล้วงหาสิ่งที่ต้องการจนเจอ ก็จัดการเปิดมันในทันที
แป๊ะ..
“ถ้าอย่างนั้น..ก็มุ่งหน้าสู้ป่าช้ากัน..”
โบร๋ว..!!!!!!!!!!!
เสียงเห่าหอนของหมาที่ไหนก็ไม่รู้ ทั้งที่จริงแล้วแถวนี้มันน่าจะไม่มีหมาด้วยซ้ำ เล่นเอาขนทั่วทั้งร่างของผมลุกซู่ แต่ด้วยการที่ผมตั้งใจว่าจะไป อะไรก็ไม่สามารถที่จะมาฉุดรั้งได้
“วันนี้วันพระซะด้วยสิ..”ผมที่สบถพึมพำกับตัวเอง บนใบหน้าปรากฏเหงื่อนับหลายเม็ดให้ได้เห็น ก่อนจะตัดสินใจก้าวขาและเดินมุ่งหน้าสู่สถานที่ๆต้องการจะไป..
ครึ่งชั่วโมงต่อมา..
ณ ป่าช้า..
บรู๋ว..~
บรรยากาศในเวลานี้มันช่างวังเวงเป็นอย่างมาก แถมรอบๆบริเวณมองไปทางไหนก็มีแต่ป่า เอฟเฟ็คที่เสริมก็คงจะเป็นหมอกจางๆที่ปกติแล้วมันจะไม่มี..
“เอาล่ะ..คืนนี้นอนที่นี่..ไอ้โรคกลัวผีจะได้หายเสียที..”ผมที่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ หลังจากที่ได้ทำเลดีๆ ผมก็จัดการวงสายสิญจน์ให้เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสและเข้าไปนั่งสมาธิอยู่ภายในนั้น
บรรยากาศโดยรอบยังคงเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงนกหรือแมลงใดๆให้ได้ยิน เวลาในตอนนี้ประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงดูปกติดี
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยเข้าสู่ตีสอง จู่ๆลมพายุที่ไหนก็ไม่รู้ก็โหมกระหน่ำกรรโชกอย่างรุนแรง ความเงียบสงัดได้ถูกเสียงของลมที่พัดเข้าแทรก แต่ผมนั้นยังคงข่มใจนั่งสมาธิอยู่ไม่ไหวติ่ง แต่หัวใจในเวลานี้กับกำลังเต้นโครมครามและไม่กล้าแม้แต่ที่จะลืมตา
“กรี๊ด..!!!!!!!!”
“เฮือก..!!!”จู่ๆก็มีเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนที่ดังสนั่นไปทั่วทั้งป่าช้า ทำให้ผมที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ พลันต้องสะดุ้งสุดตัว ด้วยความตกใจกลัวอย่างสุดขีด
แต่ทันทีที่ผมลืมตาขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างกับปกติ ความรู้สึกที่มีลมกรรโชกแรงในตอนแรกก็ได้มลายหายไป ความเงียบสงัดย้อนกลับเข้ามาแทรกแทรงอีกครั้ง
ฟ้าว..!!!!!
“เฮือก..!!!”
แต่แล้วหัวใจของผมก็ต้องกระตุกวูบอีกครั้ง เมื่อมีวัตถุเรืองแสงสีเขียวลอยผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว และจากการที่สายตาของผมหันมองตามไปยังวัตถุดังกล่าว มันก็ทำให้ผมนั้นช็อคจนเกือบที่จะหมดสติ
เพราะไอ้วัตถุที่ว่า ถ้าเพ่งสายตามองดูดีๆแล้ว มันคือศรีษะของมนุษย์ที่ไม่มีตัว มีเพียงแค่หัวกับไส้และอวัยวะบางส่วนที่ปรากฏให้ได้เห็น ประกอบกับแสงสีเขียวที่กำลังวูบๆติดๆดับๆ มันจึงทำให้ผมเข้าใจและบรรลุได้ในทันทีว่าเจ้าสิ่งนั้นมันคืออะไร
“กะ..กระสือ..”ผมที่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นระรัว หัวใจเต้นเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่หลังจากที่เจ้าสิ่งๆนั้นลอยจากไปแล้ว ผมก็ค่อยๆตั้งสติและข่มใจตัวให้ไม่กลัว แต่ว่า..มันทำได้ที่ไหนกันล่ะฟ่ะ..!! ไอ้ตัวที่ลอยผ่านไปเมื่อตะกี้มันผิดหลักวิทยศาสตร์แบบเห็นๆ
“ดะ..โดรนสินะ ไอ้บ้าตัวไหน มันเอามาเล่นในป่าช้าตอนตีสอง..”ผมที่คิดในแง่ดีเพื่อปลอมใจตัวเอง ถึงแม้รู้ว่ามันจะไม่ใช่โดรนก็เหอะ..
ฟ้าว..!!!
ทันใดนั้นก็ผมก็สัมผัสได้ว่า มันมีอะไรบางอย่างที่บินผ่านเหนือจุดตรงที่ผมกำลังนั่งอยู่
“คะ..คราวนี้อะไรอีกล่ะ..?”ผมที่ค่อยๆรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า แต่สิ่งที่พบมีเพียงแค่ความว่างเปล่า
“เฮ้อ..~”เสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ฟ้าว..!!!
“เฮือก..!!!”ยังไม่ทันที่ผมจะก้มหน้ากลับลงมา จู่ๆไอ้ตัวที่ผมกำลังมองหาก็บินผ่านสายตาผมไป
ถึงจะเป็นเวลาเพียงแค่ในชั่วพริบตา แต่ผมก็สามารถจดจำลักษณะของไอ้ตัวนั้นได้ ลักษณะของมันเป็นชายรูปร่างกำลังยำ ผมยาวปะบ่าโดยที่แขนของมันกำลังกระพืบสิ่งที่คล้ายคลึงกับกระดงและขี่สากตำข้าว แค่นี้ก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋แล้วว่ามันคือ..
“กะ..กระหัง..อึก”ข้าพเจ้าที่กลืนน้ำลายอึกโตลงคอ พยายามควบคุมร่างกายให้หยุดสั่น..
“นี่..พ่อหนุ่ม มาทำอะไรในสถานที่แบบนี้กันรึ..?”เสียงของใครบางคนที่ก็ไม่รู้ว่าปรากฏตัวออกมาอยู่ต่อหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ เรียกสติของผมให้พลันต้องก้มหน้ากลับลงมา
“เฮือก..!!!”สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าของผมในขณะนี้คือชายร่างใหญ่ ผิวกายดำคล้ำ ทรงผมออกแนวเหมือนคนโบราณ แต่ไอ้สิ่งที่ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัดก็คือ คนๆนั้นกำลังถือหัวของตัวเองเหน็บเอาไว้อยู่ที่เอว ฟังไม่ผิดหรอกครับ หัวมันถูกเหน็บอยู่ที่ตรงบริเวณเอว..!!!
“จ๊ากกกกกก..!!!!!!!!”ผมที่หงายหลังลงไปนอนขดตัว พร้อมกับส่งเสียงร้องมาด้วยความตื่นกลัวที่สุดในชีวิต กางเกงสีขาวของคุณปู่ที่เคารพรักบัดนี้กำลังนองแฉะไปด้วยฉี่ของกระผม
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรต่อ หัวใจของผมก็กระตุกวูบอย่างรุนแรง มันเหมือนกับว่ามีใครเอามีดมาทิ่มแทงยังไงอย่างนั้น สติของผมเริ่มที่เลือนลาง ลมหายแผ่วเบาลงไปในทุกขณะ
“ถอยห่างออกไปจากเด็กคนนี้ซ่ะ..!!!”
แต่แล้วน้ำเสียงอันแสนคุ้นเคยก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงที่ผมจดจำได้อย่างไม่มีวันลืม
“คะ..คุณปู่..”ผมที่พยายามฝืนลืมตาขึ้นมามองดูสิ่งที่ปรากฏอยู่ แต่ภาพตรงหน้ากลับพร่าเบลอจนเกือบที่จะมองไม่เห็นอะไร สิ่งที่ผมรู้และแน่ใจคือปู่ยังไม่ไปไหน ปู่ยังอยู่ข้างๆและออกมาช่วยปกป้องผม
“คะ..คุณ ปะ..ปู่”
ตุบ..!!!
ร่างของช้างที่หมดสติแน่นิ่งลงไป และภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็นคือคุณปู่ที่ได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว ลมหายใจของชายหนุ่มในเวลานี้เริ่มที่จะจางลง การเต้นของหัวใจก็ช้าลงไปด้วย จนกระทั่งในท้ายที่สุดมันก็ได้หยุดเต้น เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขานั้น..ได้ตายจากโลกแห่งนี้ไปแล้ว..
✢✢✢✢✢✢
“ทำยังไงดี ทำยังไงดี แบบนี้แย่แน่ๆ เรื่องแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน..!!!”เสียงของหญิงสาวที่กำลังมีท่าทีกระวนวายใจ
‘ใครกันนะ..? เราอยู่ในป่าช้า..ทำไมถึงได้มีเสียงของผู้หญิงกันล่ะ..?’
ผมที่ครุ่นคิดด้วยความแปลกใจ ดวงตาค่อยๆถูกเบิกลืมขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะพบว่าตัวเองนั้นกำลังอยู่ในสถานที่ๆรอบบริเวณนั้นว่างเปล่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นสีขาว อย่าบอกนะว่าผมตายไปแล้ว..? ที่นี่คือสวรรค์อย่างงั้นหรอกหรอ..?
“ทำยังไงดี..!!”
เสียงของผู้หญิงปริศนาที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผมเริ่มที่จะสอดส่องสายตามองไปยังต้นเสียง ก่อนจะพบเข้ากับร่างของหญิงสาวผมสีทองแปลกตาในชุดเสื้อคลุมกระโปรงยาวสีขาว ในตอนนี้เธอคนนั้นกำลังยืนหันหลังให้ผมอยู่ แถมท่าทีของเธอยังดูเหมือนกับว่ากำลังสติแตกกับเรื่องอะไรบางอย่าง
“คะ..คุณเป็นใครกัน..?”ผมที่ค่อยๆชันตัวลุกขึ้นมานั่ง ทำให้หญิงสาวตรงหน้าหยุดชะงัก ก่อนที่เธอจะค่อยๆหมุนตัวหันกลับมาหาผม
‘สะ..สวย..จัง..’หลังจากที่ผมได้เห็นใบหน้าของเธอ ผมก็อุทานอยู่ภายในใจด้วยความตกตะลึง นางฟ้าสินะ..? ที่นี้คือสวรรค์ไม่ผิดแน่..
“ยินดีตอนรับสู่โลกหลังความตาย..จะ..เจ้าจะต้องถูกส่งไปเกิดใหม่ที่ต่างโลกโปรดจงรับรู้เอาไว้ด้วย..”หญิงสาวที่ปริศนาที่พูดอย่างตะกุกตะกัก เมื่อผมจับใจความในสิ่งที่เธอพูดได้ ผมก็ได้แต่คิดอยู่ภายในใจเพียงคนเดียวว่า..
‘เอ๊ะ..? หรือว่าจะเป็นนรกกันนะ..สวรรค์มันไม่น่าจะแฟนตาซีสิ..?”