กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 68 คุณมาจากตุนหวงเหรอ?
บทที่ 68 คุณมาจากตุนหวงเหรอ?
บทที่ 68 คุณมาจากตุนหวงเหรอ?
เป็นไปได้ไหมว่าเซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องในวันนี้?
แต่ไม่ว่าภายในใจของหลินจื่อเฉียงจะคิดยังไง เขาก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเสิ่นอี้โจวโดยตรงอยู่ดี
ยิ่งกว่านั้น พวกเขาล้วนทำงานอยู่หน่วยงานเดียวกัน ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปจริง ๆ ชื่อเสียงของเขาจะต้องเสียหายแน่นอน อีกทั้งเขายังไม่รู้ว่าจะสามารถรักษางานนี้ไว้ได้ไหม
ใบหน้าของหลินจื่อเฉียงซีดเผือด ก่อนจะหันไปพูดกับเจียงเพ่ยหลานที่ตอนนี้กำลังซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเซี่ยชิงหยวนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มานี่เดี๋ยวนี้!”
เจียงเพ่ยหลานหดตัวลงด้วยความกลัว จากนั้นจึงหันไปพูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงที่อยู่ข้าง ๆ เธอว่า “สหายตำรวจคะ เขาคนนั้นคือหลินจื่อเฉียง”
ตำรวจสาวมองหลินจื่อเฉียงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
รูปร่างของชายคนนี้ทั้งสูงและตัวใหญ่ แต่แทนที่จะปกป้องเขากลับฉวยโอกาสข่มเหงผู้หญิงของตัวเอง
และยิ่งเมื่อเห็นทัศนคติของเขาที่มีต่อเจียงเพ่ยหลานในตอนนี้ ตำรวจหญิงก็ไม่สงสัยในสิ่งที่หญิงสาวพูดอีกต่อไป
เจ้าหน้าที่ตำรวจชายที่นำตัวหลินจื่อเฉียงมาก็กล่าวว่า “หลินจื่อเฉียง ติงเหม่ยเซียน เจียงเพ่ยหลานได้รายงานกับทางเราว่า พวกคุณทุบตีเธอหลายครั้ง และคุณยังยกลูกสาวของเธอให้คนอื่นโดยที่เธอไม่ยินยอม ผมรบกวนให้พวกคุณร่วมมือในการสอบสวนด้วย!”
ติงเหม่ยเซียนระเบิดอารมณ์ออกมาทันที “ใครไปทุบตีเธอกัน? เด็กเพิ่งไปอยู่กับญาติแค่สองวัน เราไม่ได้เอาเธอไปให้คนอื่นซะหน่อย ผู้หญิงคนนี้พูดไร้สาระ คุณอย่าไปเชื่อเธอ!”
สหายตำรวจไม่เปลี่ยนสีหน้า “ก่อนหน้านี้เราได้ส่งคนไปประเมินอาการบาดเจ็บของเจียงเพ่ยหลานแล้ว และยังส่งคนไปที่บ้านญาติของคุณเพื่อตามหาลูกสาวของเธอ ดังนั้นคุณเก็บคำพูดของคุณเอาไว้เป็นข้อแก้ต่างในภายหลังก็แล้วกัน”
หลินจื่อเฉียงกับติงเหม่ยเซียนตื่นตระหนกขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยิน
โดยเฉพาะติงเหม่ยเซียนที่รีบเปลี่ยนท่าทีหยิ่งยโสของตัวเองในทันที “ก็ได้ สหายตำรวจ คือว่าจริง ๆ แล้วมันก็แค่เป็นเรื่องความขัดแย้งภายในครอบครัว มันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นหรอก”
เธอเดินไปหาเจียงเพ่ยหลานและพยายามดึงอีกฝ่ายเข้ามา “มันก็แค่เรื่องเข้าใจผิด มานี่ เรากลับบ้านไปแก้ไขกันเองก่อน ทำไมแกต้องทำให้เรื่องมันใหญ่โตขนาดนี้ด้วย แกเห็นไหม แกสร้างปัญหาให้กับคู่สามีภรรยาอย่างหัวหน้าแผนกเสิ่นกับภรรยาของเขามากแค่ไหน”
ติงเหม่ยเซียนอาศัยอยู่ในพื้นที่ของสถาบันวิจัยมาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นเธอย่อมรู้จักเสิ่นอี้โจวแน่นอน
ทว่าครั้งนี้ เจียงเพ่ยหลานไม่คิดจะให้แม่สามีลวงเธอด้วยคำพูดพรรค์นั้นอีกแล้ว
หญิงสาวจึงพูดตอบกลับด้วยสีหน้าไม่ยินยอม “มันไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดอะไรทั้งนั้น ฉันต้องการลูกสาวของฉันคืน! ส่วนเรื่องอื่น ๆ คุณไปให้การกับตำรวจเอาเองเถอะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้นของลูกสะใภ้ ติงเหม่ยเซียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันไปมองหลินจื่อเฉียงเพื่อบีบบังให้เขาพูด
หลินจื่อเฉียงเลิกคิ้วก่อนจะระงับความโกรธในใจของเขาเอาไว้ ขณะกำลังคิดจะเกลี้ยกล่อมเจียงเพ่ยหลานให้กลับบ้านด้วยกันเสียก่อน แล้วค่อยสอนบทเรียนให้เธอทีหลัง
ทว่าแค่เพียงปากของเขาเปิดออกและยังไม่ทันได้พูดอะไร
เจียงเพ่ยหลานก็ขัดจังหวะเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “หลินจื่อเฉียง คุณไม่จำเป็นต้องเสแสร้งพูดอะไรต่อหน้าฉันอีก อีกเรื่องที่ฉันต้องการคือหย่ากับคุณ!”
คำขอหย่าร้างนี้เปรียบเสมือนพายุสายฟ้าที่กระหน่ำซัดอยู่ในใจของหลินจื่อเฉียงกับติงเหม่ยเซียน
นี่คือคำที่พวกเขาพูดเสมอเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้อีกฝ่าย ทว่าทำไมตอนนี้เหตุการณ์กลับตาลปัตรไปหมดแล้ว?
เจียงเพ่ยหลานเพิกเฉยต่อปฏิกิริยาของพวกเขาและพูดกับตำรวจว่า “สหายตำรวจ ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับพวกเขาอีกแล้วและจะไม่ยินยอมไกล่เกลี่ยหรือประนีประนอมใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนจะจัดการกับพวกเขายังไง รบกวนพวกคุณดำเนินการต่อแล้วกันนะคะ”
เมื่อได้ยินผู้เป็นภรรยาพูดแบบนี้ หลินจื่อเฉียงจะทนต่อไปได้ยังไง
เขาถกแขนเสื้อขึ้นและกำลังจะคว้าร่างของเจียงเพ่ยหลานเข้ามาหาตัว
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงขวางเอาไว้ได้ทัน “สหาย! ที่นี่คือสถานีตำรวจ คุณยังกล้าจะทุบตีผู้หญิงอีกเหรอ!”
เมื่อได้ฟังคำพูดของตำรวจหญิง หลินจื่อเฉียงก็ได้สติขึ้นมาทันที
จากนั้นเขาก็เพิ่งตระหนักได้ว่าเจียงเพ่ยหลานแตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก
ทำไมจู่ ๆ เธอถึงดื้อรั้นได้แบบนี้กัน?
จากนั้นเขาก็เบนมองไปทางเซี่ยชิงหยวนด้วยนัยน์ตาสีเข้ม
ทว่าเซี่ยชิงหยวนกลับไม่เกรงกลัวสายตานั้นเลย แถมยังมองเขากลับอย่างตรงไปตรงมาอีกด้วย
เสิ่นอี้โจวดึงเซี่ยชิงหยวนไปทางด้านหลังอย่างใจเย็น จากนั้นจ้องมองหลินจื่อเฉียงราวกับเป็นการเตือน
เจียงเพ่ยหลานพูดกับเซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวว่า “เรื่องราวในวันนี้ต้องรบกวนพวกคุณแล้ว หลังจากนี้ครอบครัวฝั่งแม่ของฉันคงจะตามมา ฉันรบกวนพวกคุณทั้งคืนแล้ว พวกคุณกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
เซี่ยชิงหยวนไม่ถือสา “เธอเองก็ต้องระวังตัวเองไว้ด้วย ที่นี่เป็นโรงพักพวกเขาคงไม่กล้าทำอะไรหรอก แต่ถ้าออกไปก็ไม่แน่เหมือนกัน”
การหย่าร้างในยุคนี้มักเป็นเรื่องที่น่าละอายสำหรับผู้หญิงและครอบครัวทางฝั่งแม่
เธอไม่รู้ว่าครอบครัวของเจียงเพ่ยหลานจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง
ถ้าเธอช่วยเจียงเพ่ยหลานมากกว่านี้มันจะยิ่งดูแปลก เพราะถึงยังไงเธอก็เป็นคนนอกอยู่ดี
เจียงเพ่ยหลานต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง
หญิงสาวได้แต่หวังว่าเจียงเพ่ยหลานจะเข้มแข็งขึ้นเพื่อลูกสาว
หลังจากร่ำลากันสักพัก เซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวก็ขอตัวกลับบ้าน
ระหว่างทาง เซี่ยชิงหยวนรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก “อี้โจวบอกฉันที การมีลูกชายมันเป็นสิ่งสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
แม้แต่ตอนที่เธอเสียชีวิตไปแล้ว แนวคิดก็ดูจะยังคงฝังรากลึกอยู่ในใจของบางครอบครัว
หญิงสาวได้ยินเสิ่นอี้โจวตอบว่า “ผมไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไง แต่ในความคิดผม ชีวิตคนเรามีแต่ความไม่แน่นอน การมีลูกพูดได้แค่ว่ามันจะทำให้ชีวิตเราแตกต่างไป แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นขนาดนั้น บางสิ่งอาจกลายเป็นผลร้ายหากเราหมกมุ่นกับมันมากเกินไป”
อันที่จริง ทุกคนล้วนเข้าใจเรื่องของคนอื่นดี แต่พอพูดถึงเรื่องของตัวเองกลับกลายเป็นเหมือนคนคลั่งอำนาจเอาแต่ใจไปเสียอย่างนั้น
เขากำลังพูดคำนี้กับทั้งเซี่ยชิงหยวนและตัวเองด้วยเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนครุ่นคิดถึงตัวเอง
คงจะน่าเสียดายถ้าเธอกับเสิ่นอี้โจวไม่สามารถมีลูกได้ในชีวิตนี้
ดังนั้นเบื้องหลังการทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินนั้น จริง ๆ แล้วยังมีอีกเหตุผลหนึ่งคือการไปหาหมอรักษาตัวเอง
แม้ว่าอารมณ์ของเธอจะถูกหวังผิงดับสิ้น แต่เธอก็เป็นคนที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
อีกอย่างหมอก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า มีเคสที่ประสบความสำเร็จ?
…
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ทั้งคู่ก็เหนื่อยกันมามาก ดังนั้นหลังจากอาบน้ำเสร็จ พวกเขาก็เข้านอนกันทันที
จนกระทั่งเสิ่นอี้โจวไปทำงานในวันรุ่งขึ้น เซี่ยชิงหยวนก็จำได้ว่าเธอลืมถามเกี่ยวกับงานของเขาไปเสียสนิท
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากสนับสนุนเขา แต่มันกะทันหันเกินไป
หญิงสาวมักจะรู้สึกว่าเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่างจากเธอ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตั้งแต่เกิดใหม่มา เธอค้นพบว่าเสิ่นอี้โจวคนนี้แตกต่างจากคนที่เขาเคยเป็นในความทรงจำของเธอในหลาย ๆ ด้าน
อาเซียงกับน้องชายนำผักมาให้เซี่ยชิงหยวนในตอนเช้าอีกครั้ง และในขณะที่กำลังทำความสะอาดผัก เธอก็กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างจนไม่ทันสังเกตเห็นเซวียไฉ่เฟิ่งที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอจากด้านหลัง
เซวียไฉ่เฟิ่งกินเมล็ดแตงโมขณะเอ่ยถามพร้อมกันว่า “ชิงหยวน เธอได้ยินเรื่องนี้มาบ้างไหม เรื่องที่เจียงเพ่ยหลานกับหลินจื่อเฉียงกำลังหย่าร้างกันน่ะ”
มือของเซี่ยชิงหยวนหยุดชะงักไปชั่วครู่และไม่คิดจะหันไปมองอีกฝ่าย “ฉันไม่รู้”
หลังจากพูดจบ หญิงสาวก็ยังคงล้างผักต่อไป
ต้องยอมรับว่าครอบครัวของอาเซียงเป็นผู้ขายผักที่ซื่อสัตย์จริง ๆ ทุกครั้งที่มาส่งผัก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องล้างให้สะอาด เธอไม่จำเป็นต้องตัดส่วนต้นและส่วนปลายออกเลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันไม่เพียงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเท่านั้น แต่ยังช่วยลดปัญหาได้อีกมากเลยทีเดียว
เมื่อเห็นท่าทางนิ่งทื่อของอีกฝ่าย เซวียไฉ่เฟิ่งก็ยิ่งไม่อยากเชื่อ “เป็นไปไม่ได้สิ เธอสนิทกับเจียงเพ่ยหลานขนาดนั้น เธอจะไม่รู้ได้ยังไง”
เซี่ยชิงหยวนไม่ต้องการพูดเรื่องนี้กับเซวียไฉ่เฟิ่งอีก เธอจึงยืนขึ้นและนำถังน้ำอีกใบมาจากทางด้านข้าง “คุณกับฉันเป็นเพื่อนบ้านที่รั้วติดกัน ฉันยังไม่รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับครอบครัวของคุณเลยไม่ใช่เหรอคะ”
ด้วยประโยคเดียวนี้ เซวียไฉ่เฟิ่งก็ถูกปิดกั้นจนไม่อาจถามอะไรได้อีก
เซวียไฉ่เฟิ่งไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดกับตัวเอง “ฉันไม่รู้ว่าเจียงเพ่ยหลานกำลังคิดอะไรอยู่ การที่เธอเอ่ยปากขอหย่าแบบนี้ เธอไม่รู้หรือยังไงว่าคนอื่น ๆ จะนินทาลับหลังอย่างน่าเกลียดขนาดไหน โดยเฉพาะเป็นผู้หญิงที่มีลูกติดด้วยแล้ว เธอจะแต่งงานใหม่ได้อยู่อีกเหรอ ฉันคิดว่าเธอควรยอมรับชะตากรรมและไม่ควรเอะอะ…”
เซี่ยชิงหยวนขัดจังหวะอีกฝ่ายทันที “งั้นฉันจะบอกอะไรคุณสักอย่างแล้วกันนะคะ หากมีเหตุการณ์เดียวกันเกิดขึ้นกับฉัน ฉันก็คงจะไม่พูดปาว ๆ อย่างที่กำลังทำอยู่หรอก ฉะนั้นคนเราควรจัดการเรื่องของตัวเองให้ดีก็พอ คุณคิดว่ายังไงคะ”
เซี่ยชิงหยวนไม่ต้องการร่วมวงนินทากับเซวียไฉ่เฟิ่ง มันไม่ใช่สิ่งที่เธอชื่นชอบเลยสักนิด
เซวียไฉ่เฟิ่งรู้สึกว่า วันนี้เซี่ยชิงหยวนน่าจะกินยาผิดขวด เธอจึงได้แสดงกิริยาก้าวร้าวแบบนี้ออกมา
ทันใดนั้นเธอก็จำสิ่งที่หลี่กวงหัวเล่าให้เธอฟังเมื่อคืนได้ แต่เขาย้ำกับเธอไว้ว่าไม่ควรพูดมันออกไป แต่เธอก็ยังพูดอย่างประชดประชันว่า “อ๋อ ฉันเข้าใจแล้ว เพราะมีคนบางคนกำลังจะได้เป็นภรรยาของเจ้าหน้าที่สำนักงานจังหวัด ดังนั้นก็เลยรู้สึกดูถูกเพื่อนบ้านที่ต่ำต้อยกว่าตัวเองสินะ!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็โยนผักในมือของเธอลงจนเสียงดัง ‘ตุบ!’
เธอยืนขึ้นและมองไปที่เซวียไฉ่เฟิ่งอย่างเย็นชา “คุณมาจากตุนหวง*[1]หรือไง”
เซวียไฉ่เฟิ่งตกตะลึงกับท่าทางของอีกฝ่าย ก่อนจะสำลักน้ำลายออกมา “เปล่า”
เซี่ยชิงหยวนแค่นเสียงเย็น “แล้วทำไมมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเยอะขนาดนี้?”
[1] มาจากหุนตวง เป็นคำด่า หมายถึง พูดจาไร้สาระ