กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 491 ความแค้นเก่า
บทที่ 491 ความแค้นเก่า
บทที่ 491 ความแค้นเก่า
เมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้าอันตกตะลึงและสับสนของเซี่ยชิงหยวน เสิ่นอี้โจวอธิบายว่า “เขากำหนดเป้าหมายไปที่ฉีหยวนซานไม่ใช่เพราะเซี่ยจื่ออี้ แต่เป็นเพราะครอบครัวของเขามีความแค้นกับฉีหยวนซานมาก่อนหน้านี้ ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งแรก ครอบครัวของเขาประสบภัยและบุคคลที่ทำหน้าที่พาครอบครัวของเขาหนีคือลูกน้องของฉีหยวนซาน”
“คนในครอบครัวของเขามีอาการป่วยเดิมอยู่แล้ว และอาการทรุดระหว่างทาง อีกทั้งยังไม่ได้รับการรักษาทันเวลาจึงเสียชีวิต เขาจึงคาดโทษให้ฉีหยวนซานเป็นคนรับผิดชอบ”
ฉีหยวนซานเป็นทหารมาทั้งชีวิต ดังนั้นเขาจึงดูถูกพวกบัณฑิตอยู่เสมอ เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น มันก็ไม่แปลกที่ฉีหยวนซานจะไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ในเวลานั้นทุกคนตกอยู่ในอันตรายและใครจะกล้าปกป้องคนที่ชอบมีความคิดเห็นต่างจากคนอื่นกันล่ะ?
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เธอก็รู้สึกเศร้าใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หญิงสาวถอนหายใจ “ฉันหวังว่าความกังวลของฉันจะไม่จำเป็นนะ”
เสิ่นอี้โจวตบแขนของเธอ “เวทีการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่เสมอ ผู้ชนะคือราชาและผู้แพ้คือโจร ชีวิตและความตายถูกกำหนดไว้แล้ว”
ตราบใดที่เขาสูญเสียอำนาจครั้งหนึ่ง กำแพงจะพังทลาย แล้วทุกคนก็จะผลักเขา เมื่อต้นไม้ล้ม ฝูงสัตว์กระจัดกระจาย โดยเฉพาะต้นไม้ที่สร้างศัตรูมากมาย คุณไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาได้เลย
เมื่อคุณเริ่มต้นเส้นทางนี้แล้ว คุณจะมองย้อนกลับไปไม่ได้ ทำได้เพียงปีนขึ้นต่อไปจนกว่าจะกลายเป็นตัวตนที่ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้เท่านั้น
หลังจากฟังคำพูดของเสิ่นอี้โจวแล้ว เซี่ยชิงหยวนรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าเสิ่นอี้โจวที่อยู่ในตำแหน่งนี้ไม่ต่างจากการเดินบนน้ำแข็งบาง ๆ
เซี่ยชิงหยวนกอดเอวของเขาแล้วพูดว่า “แค่ก้าวไปข้างหน้าอย่างสบายใจเถอะ ฉันจะคอยดูข้างหลังของคุณเอง”
ทั้งสองกอดกันและไม่พูดคุยกันเป็นเวลานาน
…
หลังจากจัดงานเลี้ยงครบหนึ่งเดือนให้กับลูก ๆ ของพวกเขาแล้ว เซี่ยโยว่หมิงและหวังผิงก็กลับไปที่หมู่บ้านซิ่งฮวา
เสิ่นอี้โจวขอให้พวกเขาอยู่ต่ออีกสักพัก แต่หวังผิงปฏิเสธ “ไม่ได้หรอก พี่สะใภ้ของเธอเพียงแค่ลาหยุดจากร้านชั่วคราวเอง และเธอยังคงต้องกลับไปทำงานอยู่ ส่วนตอนนี้ชิงหยวนก็ออกจากการอยู่ไฟแล้ว และเด็กก็ดีขึ้นทุกวัน เราไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วล่ะ”
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้พยายามชักชวนหวังผิง เธอพยักหน้าและพูดว่า “หนูจะให้อี้โจวไปเตรียมของบางอย่างให้นะ แขกได้นำของมาให้มากมาย พ่อกับแม่ควรนำกลับไปใช้บ้าง”
พูดจบเธอก็ลุกขึ้นบอกกับป้าอู๋ให้ช่วยเก็บของ แล้วเธอก็ขึ้นไปชั้นบนคนเดียว
เซี่ยโยว่หมิงและหวังผิงมองหน้ากัน จนในที่สุดเซี่ยโยว่หมิงก็ตามไป
เซี่ยโยว่หมิงมาที่ประตูห้องของเซี่ยชิงหยวน เมื่อเห็นว่าประตูแง้มไว้ เขาจึงเคาะประตู ผลักประตูให้เปิดแล้วเดินเข้าไป
เซี่ยชิงหยวนหันกลับมา พอเห็นเขาจึงเอ่ยเรียกว่า “พ่อคะ มานั่งด้วยกันสิคะ”
เซี่ยชิงหยวนก้มศีรษะลงและกอดลูกสาวของเธอ
เซี่ยโยว่หมิงรู้ว่าเซี่ยชิงหยวนรู้สึกดื้อดึงขึ้นมา เพราะเขาและภรรยากำลังจะกลับไป
เขานั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ ลูกสาวครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดี แล้วจึงเอ่ยออกมา “ข้าวที่บ้านกำลังจะถึงช่วงเก็บเกี่ยวแล้ว และยังมีที่ดินให้ปลูกอีกมาก พ่อเกรงว่าพี่ชายและพี่สะใภ้ของลูกคงไม่สามารถจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมดได้”
เซี่ยชิงหยวนฝืนยิ้มและพูดออกมา “พ่อคะหนูรู้ พ่อไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ให้หนูฟังหรอก แค่พ่อและแม่มาช่วยดูแลหนูในช่วงนี้ หนูก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว หนูจะรั้งให้พ่อกับแม่อยู่ด้วยตลอดได้ยังไง”
เธอแค่รู้สึกเสียใจที่พ่อแม่ที่แก่เฒ่าของเธอยังต้องกลับไปทำงาน
เซี่ยโยว่หมิงรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนไม่ได้โกรธจริง ๆ
เขาพูดว่า “ในฐานะพ่อแม่ แม่และพ่ออยากให้ลูกสบายดีที่สุด ลูกอย่าได้คิดลำบากใจเรื่องรั้งเราไว้หรืออะไรเลย”
เขาถอนหายใจ “ตั้งแต่ลูกยังเป็นเด็ก ลูกเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุดแล้ว เมื่อก่อนลูกยอมเลิกเรียนเพราะเรื่องของพี่รองและหลังจากแต่งงาน ลูกก็มักจะส่งเงินมาให้ครอบครัวเรา ใครในหมู่บ้านกล้าพูดบ้างว่าพ่อและแม่ของลูกไม่ได้ให้กำเนิดลูกสาวที่ดี ในอดีตที่ครอบครัวไม่มีความสุข นั่นก็เป็นความผิดของตระกูลจางทั้งนั้น พอตอนนี้พี่รองของลูกได้ตัดความสัมพันธ์กับตระกูลจางแล้ว เราก็ไม่ต้องปวดหัวกับพวกเขาอีก”
ชายชราจับมือของเซี่ยชิงหยวนและพบว่ามือของลูกสาวตัวน้อยของเขาไม่อบอุ่นเหมือนเมื่อก่อน มีเพียงความเย็นเยียบและดวงตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเปียกชื้น
เขาพูดอย่างจริงใจ “ลูกรัก มันเป็นพ่อเองที่ไร้ความสามารถในชีวิตนี้และพ่อก็ไม่สามารถสอนลูกชายให้มีความสามารถได้เช่นกัน นี่จึงทำให้ลูกซึ่งเป็นลูกสาวคนเล็กต้องลำบากมาตลอด ไม่ต้องห่วงนะ นับจากนี้ในอนาคตพ่อจะควบคุมครอบครัวให้ดี จะไม่ปล่อยให้ลูกต้องมาเป็นกังวลด้วยอีก”
พูดตรง ๆ ลูกสาวคนนี้ไม่เพียงแต่ส่งเงินเลี้ยงดูพ่อแม่เท่านั้น แต่ยังสนับสนุนครอบครัวใหญ่ที่มีพี่ชายสองคน พี่สะใภ้รวมถึงหลานสาวและหลานชาย
หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยโยว่หมิงแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้
เธอจับมือที่หยาบกร้านของพ่อและสะอื้นไห้ “พ่อคะ นี่คือสิ่งที่หนูควรทำ ในขณะที่หนูสามารถสวมทองและเงินได้ หนูจะปล่อยให้พ่อแม่กินแกลบได้ยังไง? แต่เพราะหนูอยู่ไกลถึงมณฑลอวิ๋น หนูจึงไม่สามารถที่จะกตัญญูต่อพ่อและแม่ได้อย่างสมบูรณ์ได้ ทำเพียงแค่ส่งเงินบางส่วนให้เท่านั้น”
เซี่ยโยว่หมิงพยักหน้าและร้องไห้ “ลูกเป็นเด็กกตัญญูมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนหยิบถุงผ้าใบเล็กออกมาจากลิ้นชัก แล้วยัดมันเข้าไปในมือของเซี่ยโยว่หมิง “มีเงินอยู่หลายร้อยหยวนในนี้ พ่อสามารถเอามันไปแบ่งให้พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ของหนู เพื่อให้พวกเขาเริ่มธุรกิจของตัวเองได้นะคะ”
เซี่ยโยว่หมิงปฏิเสธทันที “พ่อจะรับมันไว้ได้ยังไง?”
หากพี่ชายและพี่สะใภ้ของเธอต้องการทำธุรกิจ ก็ปล่อยให้พวกเขาหาเงินมาทำเองสิ จะให้พวกเขาใช้เงินของลูกสาวเขาได้ยังไง?
หากลูกชายของเขาต้องการทำธุรกิจ แต่ให้เซี่ยชิงหยวนเป็นคนจ่ายเงิน แม้ว่าคนอื่นจะไม่รู้ เขาก็รู้สึกละอายใจเกินกว่าจะทนได้
ทัศนคติของเซี่ยชิงหยวนแน่วแน่ “พี่สะใภ้เป็นคนมีความคิด ด้วยการช่วยเหลือเล็กน้อยนี้ของหนู ธุรกิจของพวกเขาจะเริ่มต้นได้อย่างแน่นอนค่ะ”
“ถ้าพี่ชายของหนูไปได้ดี พ่อและแม่ก็จะสุขสบายด้วยเช่นกัน”
“เงินจำนวนนี้ถือเสียว่าเป็นเงินที่หนูกับอี้โจวมอบให้พ่อและแม่เพื่อให้เกียรติ ตกลงนะคะ?”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยโยว่หมิงก็น้ำตาไหลอีกครั้ง
เดิมทีเขาอยากเข้ามาเกลี้ยกล่อมลูกสาวไม่ให้เสียใจ แต่ทำไมถึงกลับกลายเป็นลูกสาวให้เงินเขาแทนเนี่ย?
เซี่ยชิงหยวนใส่เงินในกระเป๋าของชายชราแล้วพูดว่า “ลูกสาวของพ่อพยายามหาเงินให้ได้มากมายเพื่อทำให้ชีวิตในครอบครัวทุกคนดีขึ้นไม่ใช่เหรอ? พ่อและปู่รักหนูมากเท่ากับที่รักพี่ชายสองคนของหนูตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แล้วมันจะมีอะไรผิดแปลกกับการที่หนูจะตอบแทนบุญคุณล่ะ?”
เห็นได้ชัดว่าเซี่ยชิงหยวนแสร้งทำเป็นพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและแผ่วเบา เพราะเธอไม่อยากให้เซี่ยโยว่หมิงรู้สึกถึงภาระทางจิตใจใด ๆ
ในที่สุดเซี่ยโยว่หมิงก็รับเงินไป “ก็ได้ พ่อจะรับเงินนี้ไว้เพื่อพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ของลูก แต่ถ้าหากลูกขอความช่วยเหลือจากพี่ชายและพี่สะใภ้ของลูกก็ให้บอกมาได้เลยนะ”
จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ถึงประเด็นที่ต้องการพูด จึงตามเซี่ยชิงหยวนขึ้นมาถึงห้อง แล้วพูดว่า “อันที่จริงพ่อมีเรื่องบางอย่างที่จะคุยกับลูกน่ะ”