กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 347 ผมชอบมันมาก
บทที่ 347 ผมชอบมันมาก
บทที่ 347 ผมชอบมันมาก
ถ้าฉีจิ่นจือไม่ได้คิดจะอยู่ในเส้นทางรับราชการ เขาก็จะไม่มีความหมายกับเซี่ยจื่ออี้
เซี่ยจื่ออี้อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง
ริมฝีปากของเธอสั่นเครือ “จิ่นจือ คุณหมายความว่าอะไร?”
ตอนนี้ความอดทนของฉีจิ่นจือได้หมดลงแล้ว “อันที่จริงผมรู้นะว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นผมอยากจะบอกคุณว่าสิ่งที่คุณกำลังคิดอยู่นั้นมันใช้ไม่ได้ผลกับผม เพราะผมจะไม่ให้ในสิ่งที่คุณต้องการ!”
เซี่ยจื่ออี้ซ่อนความปรารถนาในอำนาจของตัวเองไว้เป็นอย่างดี
แต่ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนก็ยังเป็นแค่ผู้หญิงในวัยยี่สิบ เธอสามารถหลอกลวงคนอื่นได้ แต่เธอไม่สามารถหลอกลวงเขาได้
ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีชีวิตรอดอยู่ในปีนรกเหล่านั้นได้มาจนป่านนี้หรอก
เซี่ยชิงหยวนไม่คาดคิดว่าเธอจะได้ยินสิ่งนี้
มันสายเกินไปไหมที่เธอจะจากไปตอนนี้?
เธอเบือนหน้ามองไปที่หน้าต่างด้านข้างทันที
หรือว่าเธอควรออกไปตอนนี้ดี?
เซี่ยจื่ออี้ไม่สามารถรักษาสีหน้าของตัวเองได้อีกต่อไป
บนใบหน้าของเธอ เต็มไปด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนไปหลายครั้ง ทั้งตกใจและโกรธเคือง จนในที่สุดก็กลายเป็นน้ำตา และพยายามกระตุ้นความสงสารของฉีจิ่นจือ “จิ่นจือ คุณเข้าใจฉันผิดแล้วนะคะ”
ฉีจิ่นจือยกมือขึ้นขัด “คุณไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ผมฟังอีก เพราะผมไม่เคยคิดหรือสัญญาว่าจะแต่งงานกับคุณ เมื่อผมออกจากโรงพยาบาล ผมจะไปที่ประตูบ้านคุณพร้อมกับพ่อด้วยตัวเอง และชี้แจงให้คุณลุงทราบ”
เซี่ยจื่ออี้ยืนขึ้นด้วยความตื่นตระหนก “ฉันรู้ตัวว่าช่วงนี้ที่ฉันมาที่นี่ มันทำให้คุณไม่พอใจ แต่ถ้าหากคุณไม่ต้องการพบฉัน ฉันจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าคุณอีก แต่คุณควรคิดให้รอบคอบเกี่ยวกับเรื่องการหมั้นของเรา เพราะมันอาจจะทำให้ทั้งสองครอบครัวมองหน้ากันไม่ติด แถมเรื่องนี้จะทำให้เราเสียหน้าไปถึงอนาคตด้วยนะคะ”
หลังจากพูดจบ เซี่ยจื่ออี้ก็หันหลังกลับไปโดยไม่หยิบกล่องข้าวไปด้วย
เมื่อเดินผ่านเซี่ยชิงหยวน เธอก็มองอย่างเกลียดชัง
เอาน่า ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องมาส่งสายตาเกลียดชังหรอก เพราะความเกลียดของเรามันเต็มจนล้นไปหมดแล้ว
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนมองไปที่ฉีจิ่นจืออย่างกระอักกระอ่วน “เอ่อ…คุณยังอยากกินอยู่ไหม?”
สีหน้าเย็นชาของฉีจิ่นจือสลายหายไปทันทีเมื่อเขามองเธอ “กินสิ”
เซี่ยชิงหยวนชี้ไปยังข้าวที่เซี่ยจื่ออี้ทิ้งไว้ “แล้วข้าวกล่องนี้ล่ะ?”
ฉีจิ่นจือส่ายหัว “คุณนายเสิ่น ตอนออกไปโปรดช่วยผมเอามันไปให้พวกเด็กขอทานทีนะครับ”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ความคิดดั้งเดิมของเซี่ยชิงหยวนเกี่ยวกับความเย็นชาของเขาก็เปลี่ยนไป
จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนเซี่ยจื่ออี้ใช่ไหม?
เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ค่ะ”
จากนั้นเธอก็เปิดกล่องอาหารกลางวันแล้วพูดว่า “เมื่อวานเห็นว่าคุณอยากกินขาหมูไม่ใช่เหรอ? วันนี้ฉันเลยทำมาให้น่ะ”
เธอยื่นกล่องอาหารกลางวันให้เขาราวกับว่าขอผลงาน “ฉันสัญญาว่ามันอร่อยแน่นอน”
ฉีจิ่นจือรู้สึกแปลกใจขึ้นมาเมื่อได้กลิ่นที่คุ้นเคยของน้ำส้มสายชูหวาน
เมื่อเขาเห็นซุปสีดำในกล่องอาหาร ใบหน้าของเขาก็ยิ่งมืดลง
แน่นอนว่าเขาคงต้องกินมัน
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่เขา “มีอะไรผิดปกติรึเปล่า? หรือว่าคุณไม่ชอบ?”
ฉีจิ่นจือหยิบกล่องอาหารกลางวันแล้วส่ายหัว “ไม่มีอะไร ผมชอบมันมาก ขอบคุณนะ”
อันที่จริงเขาไม่ชอบกินอาหารรสเปรี้ยว และถึงกับเกลียดการกินอาหารรสเปรี้ยวด้วยซ้ำ
เมื่อตอนที่เขายังเด็ก ครอบครัวของเขายากจนเกินกว่าจะซื้อผลไม้ได้
โจวโม่จะพาเขาไปที่สหกรณ์เพื่อขายส้มเขียวหวานที่เก็บเกี่ยวได้ และซื้อส้มในแบบที่ราคาถูกที่สุดมากิน
ส้มมีสีเขียวผลเล็ก เมื่อรับประทานนอกจากจะมีรสเปรี้ยวแล้วยังมีรสขมในปากอีกด้วย
เขาจนมาก ในกระเพาะจึงมีเพียงน้ำต้มโจ๊กเท่านั้น และเมื่อกินส้มเปรี้ยว ๆ แบบนี้เข้าไปมันจึงยิ่งทำให้ทั้งกระเพาะรู้สึกอึดอัด
แต่โจวโม่ยังคงให้อาหารเขาต่อไปราวกับว่าเธอไม่สนใจความรู้สึกของเขา “กินมันเร็วเข้า! ทำไมแกไม่กินมันฮะ? พ่อของแกชอบมันมากที่สุดนะ!”
ฉีจิ่นจือตกใจมากกับเสียงของเธอจนเขาร้องไห้
โจวโม่ดูเหมือนจะบ้าไปแล้ว ส้มที่ยังไม่ได้ปอกเปลือกเหล่านั้นก็ถูกยัดเข้าไปในปากของเขา และบังคับให้เขากลืนมันลงไป
ไม่สิ แม่ของเขาน่าจะบ้านานแล้วมากกว่า
เพราะงั้นตั้งแต่นั้นมาเขาจึงเกลียดทุกอย่างที่มีรสเปรี้ยว แม้แต่รสเปรี้ยวเพียงเล็กน้อยเขาก็เกลียด
เขามองดูขาหมูตุ๋นตรงหน้าและไข่กลม ๆ ที่ชุ่มไปด้วยซุปสีเข้ม แต่เขาไม่กล้าพูดว่าไม่ชอบมัน
ภายใต้การจ้องมองอย่างคาดหวังของเซี่ยชิงหยวน เขากัดคำแรกลงคอ ท้องของเขาพลันสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว และรู้สึกไม่สบายตัว
เขากัดฟันและกลืนความรู้สึกนั้นลงไปในที่สุด
ต่อมาคำที่สองและสามก็ตามมา
หลังจากกินขาหมูเสร็จไปส่วนหนึ่ง เขาก็เหงื่อออกไปทั่วแล้ว และใบหน้าเริ่มซีดเซียว
เซี่ยชิงหยวนคิดว่าเขาร้อน เธอจึงเปิดหน้าต่างแล้วบ่นพึมพำ “คุณไม่น่าจะมีอาการเร็วขนาดนี้นี่นา นี่ยังไม่ได้ย่อยเลยนะ”
ฉีจิ่นจือเช็ดเหงื่อบาง ๆ จากหน้าผาก แล้วมองดูหญิงสาวตรงหน้าเปิดหน้าต่าง เธอยืดแขนออกไป ซึ่งทำให้เสื้อผ้าส่วนเอวของเธอรัดขึ้นเผยให้เห็นหุ่นเพรียวบาง
ทันใดนั้นสมองของเขาสับสน และต้องรีบมองไปทางอื่นทันที
…
เซี่ยจื่ออี้กลับบ้าน ปิดประตูห้องนอน และเขวี้ยงสิ่งของบนโต๊ะในห้องลงไปที่พื้นอย่างฉุนเฉียว
เมื่อยังไม่สามารถทำให้ความเกลียดชังสงบลงได้ เธอจึงหยิบกรรไกรออกจากลิ้นชัก คว้าผ้าห่มบนเตียงแล้วเริ่มตัดมันอย่างบ้าคลั่ง
ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และตอนนี้ผ้าห่มในมือก็เหมือนเป็นคนที่หญิงสาวเกลียด ซึ่งเธออยากจะลอกเนื้อเฉือนหนังอีกฝ่ายออกให้หมด
เสียงผ้าฉีกขาดดังอย่างต่อเนื่อง ผ้าห่มถูกตัดเป็นริ้ว ๆ จนก้อนนุ่นที่ยัดอยู่ด้านในหลุดออกมา
เซี่ยจื่ออี้มองไปที่เศษผ้าและนุ่นที่กระจายบนเตียง จากนั้นโยนผ้าห่มไว้ใต้เตียงอีกครั้ง
ในขณะนี้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น “จื่ออี้”
เป็นเซี่ยเจิ้งที่กลับมา
เธอรีบเช็ดน้ำตา เตะผ้าห่มเข้าไปแอบใต้เตียงแล้วเดินไปเปิดประตู หญิงสาวออกจากห้องแล้วรีบปิดประตูทันที “พ่อคะ ทำไมกลับมาแล้วล่ะ?”
โดยปกติแล้วเซี่ยเจิ้งจะไม่กลับมาตอนเที่ยง
เซี่ยเจิ้งเหลือบมองลูกสาวแล้วพูดว่า “ไปที่ห้องหนังสือกันเถอะ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ออกเดินนำหน้าไป
เซี่ยจื่ออี้รู้สึกไม่สบายใจโดยไม่มีเหตุผล แต่ยังคงเดินตามพ่อไป
ในห้องหนังสือ เซี่ยเจิ้งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ของเขา ยกเว้นก็แต่เซี่ยจื่ออี้ ซึ่งเธอไม่ได้ถูกขอให้นั่งลง
เขาพูดว่า “พ่อได้ยินจากลุงเหยียนของลูกมา เช้านี้ลูกขอลางานหรือเปล่า?”
ลุงเหยียนที่เซี่ยเจิ้งกล่าวถึงคือหัวหน้าหน่วยของเซี่ยจืออี๋
เซี่ยจื่ออี้ก้มศีรษะลงแล้วตอบ “ใช่ค่ะ”
เซี่ยเจิ้งมองไปยังดวงตาแดงก่ำของลูกสาว แล้วพูดว่า “ลูกไปโรงพยาบาลเพื่อพบฉีจิ่นจืออีกแล้วเหรอ?”
เมื่อเซี่ยจื่ออี้ได้ยินเซี่ยเจิ้งถามเกี่ยวกับคำร้องขอลางานของตัวเอง เธอก็รู้แล้วว่าเขาน่าจะเดาได้ ดังนั้นหญิงสาวจึงยอมรับโดยไม่ปิดบังสิ่งใด “ใช่ค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยเจิ้งก็ถอนหายใจ “จื่ออี้ ทำไมลูกถึงดื้อขนาดนี้?”
เขาเคาะนิ้วบนโต๊ะ “ครั้งที่แล้ว ลูกเพิกเฉยต่อความคิดเห็นของพ่อและออกไปข้างนอก ผลลัพธ์เป็นไปตามที่ลูกหวังไว้ไหม? แล้วตอนนี้ลูกยังไปโรงพยาบาลเพื่อดูแลเขาอีกเหรอ?”
หน้าอกของเซี่ยเจิ้งเริ่มพองและยุบแรงขึ้น “จื่ออี้ ตั้งแต่เด็กพ่อสอนลูกให้เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง ลูกลืมไปแล้วเหรอ?”
นี่คือครั้งแรกที่เซี่ยเจิ้งพูดจริงจังกับเซี่ยจื่ออี้แบบนี้
เซี่ยจื่ออี้รู้สึกเศร้ามากยิ่งขึ้น และไม่อยากจะเชื่อ “พ่อคะ!”
เซี่ยเจิ้งโบกมือ “พ่อพยายามอย่างหนักเพื่อฝึกให้ลูกเติบโตและเก่งในทุกสิ่ง พ่อจะไม่ปล่อยให้ลูกทำให้ตัวเองต้องอับอายต่อหน้าคนอื่นแบบนี้”
เขายืนขึ้น “พรุ่งนี้พ่อจะไปชี้แจงให้ฉีหยวนซานเข้าใจว่าการแต่งงานครั้งนี้ อยู่นอกเหนือขอบเขตของครอบครัวเราแล้ว”
เซี่ยจื่ออี้ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว แล้ววางมือลงบนโต๊ะ “พ่อทำอย่างนี้ไม่ได้นะ!”
เธอโต้เถียงด้วยเหตุผล “พ่อคะ นี่คือสังคมใหม่แล้ว พ่อไม่สามารถปฏิบัติกับหนูด้วยความคิดเก่า ๆ ของพ่อได้อีกต่อไปแล้วนะคะ”
เซี่ยเจิ้งตบโต๊ะด้วยความโกรธ “ความคิดเก่า ๆ? แล้วสิ่งที่ลูกทำตอนนี้มันเรียกว่าความคิดใหม่ได้รึไง? ถ้าฉีจิ่นจือเหลือบมองลูกสักครั้ง วันนี้พ่อคงไม่พูดอะไรแบบนี้แน่นอน!”
แม่ของเซี่ยจื่ออี้เสียชีวิตเร็ว และเขาก็กลายเป็นทั้งพ่อกับแม่ให้เธอเพียงลำพัง เขาเปลี่ยนจากพ่อที่เข้มงวดเป็นพ่อที่อ่อนโยนและตามใจ เขาไม่เคยยอมที่จะปล่อยให้เธอหลั่งน้ำตา
เขาตามใจลูกสาวในทุก ๆ สิ่ง ให้ความสำคัญกับเธอในทุกที่ เซี่ยจื่ออี้เติบโตขึ้นมาอย่างที่เขาคาดหวัง และเกินความคาดหมายของเขามาก
เขาภูมิใจในตัวลูกสาวขนาดไหน แต่เธอกลับไม่ได้คิดถึงมันเลย
ลูกสาวของเขาคิดตื้นเกินไป
เซี่ยเจิ้งพูดขึ้น “เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ พ่อจะแนะนำคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์คนอื่นให้กับลูก หากลูกไม่ชอบคนในสำนักงานมณฑล เราก็แค่หาใครสักคนจากหน่วยอื่น มันจะต้องมีสักคนที่สามารถเข้ากับลูกได้ดีแน่นอน ลูกสาวของฉันเซี่ยเจิ้งไม่ใช่คนที่ตกต่ำถึงขนาดให้คนอื่นมาดูถูกได้!”
หลังจากเขาพูดจบ ไม่ว่าเซี่ยจื่ออี้จะพูดอย่างไร เซี่ยเจิ้งก็เดินออกไปจากห้องหนังสือแล้ว
เซี่ยจื่ออี้ไล่ตามเขาและตะโกน “พ่อคะ!”
ทว่าในครั้งนี้ เซี่ยเจิ้งไม่ตามใจเธออีกแล้ว
เซี่ยจื่ออี้คว้าหินหมึกบนโต๊ะและกำลังจะเขวี้ยงมันลงพื้น แต่ทันใดนั้นเธอก็จำได้ว่านี่คือของที่เซี่ยเจิ้งหวงแหนมาก เธอจึงหยุดมือตัวเองทันที
เธอวางหินหมึกกลับลงบนโต๊ะแล้วใช้นิ้วขุดรอยตื้น ๆ บนมันแทน
ถึงแม้นอกจากฉีจิ่นจือแล้วยังมีคนหนุ่มที่มีความสามารถที่โดดเด่นอีกมากมาย แต่ใครจะเทียบได้กับครอบครัวของฉีจิ่นจือล่ะ?
หากก้าวไปข้างหน้าก็จะสามารถเข้าถึงเมืองหลวงได้ หรือหากถอยออกมาก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของมณฑลยูนนาน
เมื่อพยายามอย่างเต็มที่ คนเราย่อมไม่เต็มใจที่จะยอมเปลี่ยนไปมองหาสิ่งใดที่ด้อยกว่า
หากถอยกลับ เธอจะถูกเซี่ยชิงหยวนเหยียบย่ำไปตลอดชีวิต
เสิ่นอี้โจวแต่งงานแล้ว และเธอไม่สามารถแย่งเขามาได้
แต่ทำไมฉีจิ่นจือถึงดูต่อต้านเธอนัก?
เธอชนะมาทั้งชีวิตแล้ว เธอจะแพ้เซี่ยชิงหยวนได้ยังไง!
…
ในตอนเย็น เซี่ยชิงหยวนและหลินตงซิ่วก็กลับบ้าน
งานที่ต้องวุ่นทั้งวันทำให้ทั้งคู่ดูเหนื่อยล้าอย่างมาก
ระหว่างทางเซี่ยชิงหยวนได้ตกลงกับหลินตงซิ่วแล้วว่าจะจ้างผู้ช่วยอีกคน
เซี่ยชิงหยวนพูดเอาไว้ว่า “การหาเงินเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองเหนื่อยขนาดนั้นนะคะ แม่แก่แล้ว และแม่ไม่ควรที่จะเหนื่อยมาก ๆ แบบนี้ ร้านนี้มีไว้ให้แม่ทำฆ่าเวลา อย่าทำให้ตัวเองลำบากหรือกดดันจนสุขภาพเสียเลยค่ะ”
หลินตงซิ่วรู้สึกสะเทือนใจและหยุดยืนกราน
ในที่สุดป้าอู๋ก็รอจนกระทั่งเซี่ยชิงหยวนกลับมา และรีบรายงานให้เซี่ยชิงหยวนทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน ขณะที่หลินตงซิ่วกลับไปที่ห้องของตัวเอง
“ฉันทำตามที่คุณนายสั่งแล้วค่ะ ฉันได้พูดกับคนหลายคนที่มักจะชอบนินทา และเรื่องนั้นคงจะแพร่สะพัดไปทั่วในเช้าวันพรุ่งนี้แน่นอนค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ฉันรบกวนป้าอู๋แล้วค่ะ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน กริ่งประตูก็ดังขึ้น
ป้าอู๋เดินไปเปิดประตู และจู่ ๆ เธอก็ได้ต้อนรับแขกที่ไม่คาดคิด
เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่มา เซี่ยชิงหยวนก็รีบบีบต้นขาตัวเอง และบีบน้ำตาออกมาทันที