กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 15 จับชู้
บทที่ 15 จับชู้
บทที่ 15 จับชู้
ผานเยว่กุ้ยเกาใบหน้าของเธอไปด้วยในขณะที่เป็นผู้นำทาง เธอจินตนาการถึงฉากจับชู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างมีความสุข
หวังชุ่ยเฟินให้เธอสิบหยวนเพื่อขอให้เธอพาคนไปจับการลอบคบชู้ของเซี่ยชิงหยวน พวกเธอต้องไปที่ต้นไทรใหญ่เพื่อจับชู้ตอนหนึ่งทุ่มตรง
ปกติเธอก็ไม่ค่อยชอบเซี่ยชิงหยวนอยู่แล้ว กระทั่งแค่บิดเอวเล็กน้อยก็ขัดหูขัดตาไปหมดและไม่รู้จะมีใครไปติดกับยัยอสรพิษนั่นหรือไม่ หลังจากตกน้ำในครั้งนี้ ผานเยว่กุ้ยจะทำให้อีกฝ่ายต้องอับอายอีกครั้งให้ได้
และหลังจากเสิ่นอี้โจวหย่ากับเซี่ยชิงหยวน เธอก็จะขอให้หลินตงซิ่วพาเสิ่นอี้หลินย้ายกลับไปที่บ้านหลังเล็กข้างบ้านของพวกเขา เพื่อให้บ้านของเธอได้รับเงินเดือนของเสิ่นอี้โจวอีกครั้ง
แค่คิดมันก็มีความสุขแล้ว!
ในเวลาเดียวกันผู้ที่วิ่งเร็วกว่าผานเยว่กุ้ยก็คือ แม่เฒ่าเจี่ยกับหลิวอิ๋นซิ่งลูกสะใภ้คนเล็กของเธอ
เธอเพิ่งออกมาเดินเล่นหลังอาหารเย็น และได้ยินเด็กสองสามคนบอกกับพวกเธอว่า เห็นหวังชุ่ยเฟินลูกสะใภ้ของเธอถือถุงใบใหญ่ไปยืนรออยู่ด้านหลังต้นไทรใหญ่ในลานตากข้าว และพวกเขาก็เห็นพี่เขยของตระกูลหวังอยู่ด้วยเช่นกัน
เมื่อได้ยินแบบนั้น หญิงชราก็ตกใจมาก
เธอจะปล่อยให้ลูกสะใภ้แอบเอาของจากบ้านของเธอไปมอบให้กับครอบครัวของอีกฝ่ายได้ยังไง
อันที่จริง เธอเคยจับผิดเรื่องนี้ของลูกสะใภ้ได้สองสามครั้งแล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องเดิม ๆ อีกครั้งเธอก็โมโหจนควันแทบออกหู
เมื่อกลับถึงบ้าน หญิงชราก็รีบเรียกลูกสะใภ้คนเล็ก หยิบไฟฉายและออกจากบ้านวิ่งมาที่ลานตากข้าว เพราะกลัวว่าถ้าช้าเกินไป สิ่งของในตระกูลจะถูกแย่งไป
เมื่อหลิวอิ๋นซิ่งได้ยินแบบนั้น เธอก็แทบจะกระโดดโลดเต้นเพราะความดีใจ
เมื่ออยู่ที่บ้าน หวังชุ่ยเฟินมักจะชอบหาเรื่องเธอตลอด ดังนั้นมาดูกันว่าวันนี้หวังชุ่ยเฟินจะถูกแม่เฒ่าเจี่ยทุบตีจนร้องไห้กลับไปหาพ่อหาแม่ยังไง!
ทางด้านหวังชุ่ยเฟิน ทันทีที่เธอไปถึงหลังต้นไทรก็มีคนมาคว้ามือเธอเอาไว้
เธอยังไม่ได้ตั้งตัวจึงอุทาน “ว้าย!”
เมื่อได้ยินเสียงอุทาน ตู้อวิ๋นเซิงรีบปล่อยมือและพูดอย่างงุนงง “หวังชุ่ยเฟิน?”
หวังชุ่ยเฟินยังใช้โอกาสนี้ชักมือกลับ และก้าวถอยสร้างระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ฉันเอง!”
ตู้อวิ๋นเซิงที่เพิ่งมาถึงก็ตกตะลึงถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความขยะแขยง และมองไปยังข้างหลังของอีกฝ่าย “ชิงหยวนอยู่ที่ไหน”
วันนี้เขามีธุระจึงทำให้เดินทางมาล่าช้ากว่่าเวลาที่นัดกันไว้ประมาณไม่กี่นาที
เดิมทีหัวใจของเขาร้อนรุ่ม แต่พอเห็นว่าเป็นหวังชุ่ยเฟินที่มา อารมณ์ที่ร้อนรุ่มเมื่อครู่ก็หายไปในทันที
หวังชุ่ยเฟินไม่มีเวลาโต้เถียงกับเขา
เมื่อคำนวณในใจแล้วคิดว่าเซี่ยชิงหยวนน่าจะกำลังมาถึงในไม่ช้า เธอจึงพูดในขณะที่ตามองอย่างระแวดระวังไปยังกระท่อม “ชิงหยวน บอกว่าเธอลืมของบางอย่างและกำลังกลับไปเอามันมา คุณรอเธอตรงนี้ก่อน”
ในตอนนี้ตู้อวิ๋นเซิงรู้สึกรำคาญมาก
เดิมทีเขาคิดว่าการนัดพบจะเป็นเพียงการพูดคุยเรื่องความรัก การจูบแล้วกลิ้งเกลือกลงไปในกองหญ้าด้วยกัน แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับไปเอาของ เธอจะเอาอะไรมาอีก?
แต่ชายหนุ่มก็พยายามระงับความโกรธของตัวเองและพูดว่า “ไม่เป็นไร”
เมื่อถ่ายทอดคำพูดออกไปแล้ว หวังชุ่ยเฟินก็กำลังจะจากไป
แต่โดยไม่คาดคิดทันทีที่หันกลับไป เท้าของเธอกลับเหยียบเข้ากับความว่างเปล่า
หญิงสาวหมุนตัวด้วยปลายเท้าอีกข้าง และก้าวไปด้านข้างเพื่อรักษาสมดุลร่างกาย ทว่ากลับสะดุดกับหินก้อนหนึ่งเข้า ทันใดนั้น…!
เธอร้องเสียงหลง และรีบคว้าสิ่งของรอบตัวที่สามารถเกาะไว้ได้
แต่สิ่งที่เธอคว้าจับไม่ใช่ต้นไม้ แต่พลาดไปคล้องคอของตู้อวิ๋นเซิงแทน!
ซ้ำร้ายเมื่อตระหนักได้ว่าต้องปล่อยมือ ร่างของคนทั้งสองก็ร่วงตุ้บลงบนพื้นด้วยแรงเฉื่อยตามการตกนั้น ทำให้ในเวลานี้ ชายหนุ่มล้มลงทับร่างของหวังชุ่ยเฟินพอดี
แต่ขณะที่ล้ม ศีรษะของเขาพลาดไปกระแทกกับก้อนหินบนพื้น ตู้อวิ๋นเซิงจึงเริ่มวิงเวียนศีรษะ จนไม่อาจตอบสนองได้เป็นเวลานาน
แม่เฒ่าเจี่ยพาหลิวอิ๋นซิ่งมาที่ลานตากข้าวด้วยความโกรธ กวาดมองหาร่องรอยของหวังชุ่ยเฟิน
ทันใดนั้นเมื่อได้ยินเสียง หญิงชราก็รีบวิ่งไปที่ต้นเสียงอย่างรวดเร็ว
หลิวอิ๋นซิ่งตามไปติด ๆ ขณะเปิดไฟฉายโดยหันมันไปทางต้นเสียง
บัดซบ ท้องฟ้ามืดขนาดนี้ต่อให้มีไฟฉายก็เถอะ แต่ถ้าคนร้ายวิ่งหนีไปแล้ว เธอจะหามันเจอได้ยังไง?
ในเวลานั้น หากหวังชุ่ยเฟินปฏิเสธและไม่ยอมรับ ความพยายามของเธอที่มาตามดูในครั้งนี้จะไม่สูญเปล่าหรือ?
แต่โดยไม่คาดคิด เมื่อไฟฉายหันไปยังทิศทางของต้นเสียง เมื่อมองจากระยะไกลมันเป็นภาพที่แปลกประหลาด เธอเห็นเงาร่างของหวังชุ่ยเฟินกับชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งพวกเขากำลังอยู่ในท่าทางที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
ท่าทางของสองคนนี้ไม่ดูแปลกไปหน่อยหรือ?
แม่เฒ่าเจี่ยรีบวิ่งไปด้านหน้า และก่อนที่เธอจะมองเห็นได้ชัดเจน เธอก็ตะเบ็งเสียงสาปแช่ง “นังสารเลว ฉันให้อาหารและเครื่องดื่มแสนอร่อยแก่แก แต่แกยังกล้าขโมยของฉันมาให้คนอื่น!”
หลังจากด่าทอจบ หญิงชราก็ก้าวมายังด้านหลังต้นไทรใหญ่ภายในสามก้าว และภาพที่เห็นถัดมาก็ทำเอาหัวของเธอแทบระเบิด
มีชายคนหนึ่งนอนอยู่บนร่างของหวังชุ่ยเฟิน!
เธอกรีดร้อง “นังสารเลว! แกกล้าดียังไงถึงมาแอบคบชู้แบบนี้!”
หลิวอิ๋นซิ่งมีความสุขเมื่อได้ยินประโยคนั้น และก่อนที่เธอจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หญิงสาวก็วิ่งไปทางด้านหลังของต้นไทรใหญ่สองสามก้าว จากนั้นก็สาดแสงไฟฉาไปยังหวังชุ่ยเฟินให้ยิ่งชัดเจนขึ้น
เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า เธอก็พยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ จากนั้นก็แสร้งพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าหมองว่า “พระเจ้าช่วย! พี่สะใภ้ คุณกำลังทำอะไรน่ะคะ? พี่จะสวมหมวกเขียว*[1]ให้พี่สามีของฉันหรือยังไง?”
ตั้งแต่วินาทีที่หวังชุ่ยเฟินได้ยินเสียงของแม่เฒ่าเจี่ย เธอรู้ว่าเธอแย่แน่
เธอรีบผลักตู้อวิ๋นเซิงออกไป แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกลัวหรืออะไรเพราะเขาดูจะไม่ให้ความร่วมมือเลย
แสงจากไฟฉายส่องกระทบใบหน้าของทั้งสองโดยตรง และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้น แม่เฒ่าเจี่ยก็มีใบหน้าที่มืดมนและดุร้ายเหมือนยักษ์กินคน ส่วนหลิวอิ๋นซิ่งกลับแสร้งทำเป็นสีหน้าเศร้าหมอง
หวังชุ่ยเฟินรู้สึกปั่นป่วนในท้องเหมือนตับของเธอกำลังถูกฉีกออกจากกัน
ใครช่วยบอกเธอทีว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เธอกลัวจนตัวสั่น “แม่…แม่คะ…แม่ฟังคำอธิบายของฉันก่อน”
แม่เฒ่าเจี่ยจะยอมให้อีกฝ่ายอธิบายได้ยังไง ไฟฉายในมือถูกยกขึ้นและฟาดใส่คนทั้งสอง
ในขณะที่ฟาดลงไปนั้น หญิงชราก็สาปแช่งไปด้วย “ตายซะนังสำส่อน! ตายซะ! ฉันจะฆ่าแกนังโสเภณีนี่! ฉันจะฆ่าไอ้ระยำที่แย่งเมียชาวบ้าน!”
เมื่อตู้อวิ๋นเซิงรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ถูกทุบตีตามร่างกายของเขา เขาก็ได้สติจากอาการวิงเวียนศีรษะทันที
ทันทีที่ตาปะทะกับแสงจากไฟฉาย หัวใจของเขาก็เหมือนตกลงไปในหุบเหวลึก
เมื่อเห็นแม่เฒ่าเจี่ยกับหลิวอิ๋นซิ่งยืนอยู่เหนือหัว ชายหนุ่มก็พูดอะไรไม่ออก
ทว่าสิ่งที่น่าหดหู่ยิ่งกว่านั้นยังไม่มาถึง
ผานเยว่กุ้ยได้ยินเสียงอยู่ไม่ไกล คิดว่าหวังชุ่ยเฟินกำลังเรียกหาคนอื่นตามแผน เธอจึงรีบพูดกับผู้หญิงที่ถูกเธอหลอกให้ออกมาเดินเล่นทันที “เกิดอะไรขึ้นข้างหน้า ไปดูกันเถอะเร็ว!”
ว่าแล้วเธอก็เดินนำหน้าไป
เมื่อวิ่งไปถึงที่เกิดเหตุ แม้สายตาของเธอจะถูกรากของต้นไทรบังไว้จนมองเห็นไม่ชัด เธอจึงเปล่งเสียงตะโกนออกไปว่า “โอ้ เวรกรรม! ตู้อวิ๋นเซิงกับหลานสะใภ้ พวกเธอทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง!?”
พวกหญิงชราที่อยู่ด้านหลังล้วนแต่เป็นพวกขี้นินทาชาวบ้านอยู่แล้ว เมื่อได้ยินแบบนั้น พวกเธอก็วิ่งเข้ามาพร้อมขาที่แทบเสื่อมสภาพของพวกเธอ และพูดกันทีละคน
“จับชู้ได้!”
“หลานสะใภ้ของฉันกำลังอยู่กับชายอื่น!”
“มาดูเร็ว ใครแอบกินกับใคร!”
เพียงหนึ่งหรือสองวินาที ต้นไทรใหญ่ก็ถูกล้อมรอบด้วยผู้หญิงพวกนั้น
เวลานี้ครอบครัวที่มีบ้านอยู่บริเวณใกล้เคียงนั้น พอได้ยินเสียงตะโกนต่างก็พากันลุกขึ้นมาดูด้วยความตื่นเต้นนี้
[1] สวมหมวกเขียว เป็นสำนวนหมายถึง การคบชู้หรือการสวมเขา
—————————