กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 103 ล้มลง
บทที่ 103 ล้มลง
บทที่ 103 ล้มลง
อาจเพราะหอยขมในกระบะนั้นมีแรงดึงดูดมากเกินไป ลูกค้าหญิงคนนั้นจึงไม่อาจอดกลั้นได้และรับมันมาชิมทันที
เช่นเดียวกับเจียงเพ่ยหลาน ทันทีที่กินมัน สีหน้าของเธอก็ดูพึงพอใจเป็นอย่างมาก
อร่อยจริง ๆ!
เนื่องจากครอบครัวของเธอทำงานทั้งคู่ ฉะนั้นสภาพความเป็นอยู่จึงนับว่าไม่เลวนัก
เธอสะบัดมือไปมือ “เอาหอยขมจานนี้ให้ฉัน… สองจิน ใช่ สองจิน”
จากนั้นเธอก็ชี้ไปที่สลัดผักเย็นอีกครั้ง “เอาสลัดผักนี้ให้ฉันหนึ่งจินครึ่ง”
เมื่อวานนี้ครอบครัวข้างบ้านซื้ออาหารพวกนี้มาล่อลูก ๆ ของเธอ จนแม่สามีตำหนิเธอที่ไม่สามารถซื้อสลัดเย็นมาได้
คราวนี้เธอจะกลับไปอวดให้เต็มที่เลยคอยดู
เมื่อเห็นหญิงสาวใจป้ำซื้อพวกมัน กระแสผู้ซื้อก็หลั่งไหลเข้ามาซื้อสลัดเย็นกัน
มีหลายคนเคยซื้อไปแล้วเมื่อวานนี้
ไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่ามันคุ้มค่าที่จะซื้อเพื่อน้ำถั่วลิสงนั่นหรือไม่
ทั้งราคาถูกและกินได้ง่ายแบบนี้จะไม่ซื้อได้อย่างไร?
เซี่ยชิงหยวนทักทายทุกคนที่เข้ามาซื้อ ขณะเดียวกันก็สังเกตการเคลื่อนไหวของผู้ขายรายอื่นไปด้วย
เธอพบว่าสายตาของผู้ขายรายอื่นที่อยู่รอบข้างเริ่มเตรียมจะเคลื่อนไหวเช่นกัน
คุณเปิดกิจการขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผักได้ ทั้งยังขายในราคากว่าสิบเท่าของราคาผัก
เมื่อเป็นแบบนี้ ใครจะไม่หวั่นไหวบ้าง?
แม้จะมีคู่แข่งขายสินค้าประเภทเดียวกันมากมายในตลาด ทว่าราคาของคนเหล่านั้นก็ต่ำกว่าสินค้าของเธอเช่นกัน
ทว่าสิ่งเหล่านี้กลับเป็นเรื่องปกติในสายตาของเซี่ยชิงหยวน
เจียงเพ่ยหลานพูดว่า “นี่ เธอว่าพวกเขาคิดว่าเรากำลังแย่งลูกค้าพวกเขาอยู่รึเปล่า?”
เซี่ยชิงหยวนตอบกลับ “พวกเราเขียนป้ายบอกราคาไว้อย่างชัดเจน และไม่ได้ยึดติดกับการแข่งขันดุเดือดขนาดนั้น ฉะนั้นเราไม่มีอะไรต้องกลัว เธอต้องงจดจำผู้คนให้ได้เสียก่อน หากพวกเขาเป็นคนที่เข้ามาซื้อสลัดเย็นของเราช่วงสองสามที่ผ่านมานี้ รบกวนเตือนฉันด้วยนะ”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนใจเย็นมาก เจียงเพ่ยหลานก็เริ่มผ่อนคลาย
แต่ทันทีที่ได้ยินประโยคครึ่งหลังเธอก็เริ่มกลัว
นี่ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านี้จะเข้ามาหาเรื่องพวกเธอหรอกเหรอ?
แต่ตอนนี้เธอกำลังติดตามชิงหยวน ฉะนั้นเธอเพียงทำตามที่อีกฝ่ายบอกก็พอแล้ว
มีเมนูอาหารมากมายในวันนี้ จึงใช้เวลาสักพักกว่าพวกเธอจะขายหมดเกลี้ยง
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ฉันจะไปซื้อเครื่องชั่งน้ำหนักเพิ่มอีกเครื่อง ตอนนี้เรามีลูกค้ามากขึ้น เครื่องชั่งเครื่องเดียวไม่พอแล้ว”
หลังจากพูดจบ หญิงสาวก็นับเงินหนึ่งหยวน และส่งให้เจียงเพ่ยหลาน “นี่คือเงินค่าจ้างของเธอในวันนี้”
เจียงเพ่ยหลานรับไปด้วยรอยยิ้ม “ลูกสาวของฉันชอบชุดที่เธอซื้อให้มาก หลังจากลองใส่เมื่อคืน ลูกฉันก็ไม่ยอมถอดมันออกเลย แถมเธอยังขอให้ฉันฝากกล่าวขอบคุณน้าเซี่ยด้วย”
ลูกสาวของเจียงเพ่ยหลานมีชื่อว่า ‘หลินอี้ตั่ว’
เสื้อผ้าหลายชุดที่เด็กหญิงสวมใส่ในอดีตล้วนเป็นของเหลือจากลูกชายของน้องสาวหลินจื่อเฉียง หรือไม่แม่สามีก็นำเสื้อผ้าจากญาติคนไหนมาก็ไม่รู้มาให้
พูดสั้น ๆ คือเธอไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อเสื้อผ้าให้ลูกสาว
ข้ออ้างที่ดีที่สุดที่เจียงเพ่ยหลานได้ยินบ่อยครั้งคือ ‘เด็ก ๆ ต้องไม่สิ้นเปลืองและได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี’
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “ลูกเธอชอบฉันก็ดีใจ”
ทั้งสองคุยกันขณะทําความสะอาดแผงลอย
เจียงเพ่ยหลานกล่าวว่า “ฉันเห็นเซวียไฉ่เฟิ่งเมื่อสองวันก่อน”
“เซวียไฉ่เฟิ่ง?” ถ้าเจียงเพ่ยหลานไม่เอ่ยถึง เซี่ยชิงหยวนคงลืมคนคนนี้ไปแล้ว
เซี่ยชิงหยวนถามกลับ “เกิดอะไรขึ้นกับเธอเหรอ?”
สีหน้าของเจียงเพ่ยหลานเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น “หลี่กวงหัวเพิ่งถูกจับกุมเมื่อเร็ว ๆ นี้ไม่ใช่เหรอ? ฉันได้ยินมาว่าเซวียไฉ่เฟิ่งอยากจะหย่าล่ะ ตอนที่ฉันเห็นผู้หญิงคนนั้น เธอกําลังอยู่กับพี่ชายเพื่อทำเรื่องหย่าร้างก่อนที่หลี่กวงหัวจะถูกประหารชีวิต”
เซี่ยชิงหยวนนึกขึ้นได้ว่าตอนที่หลี่กวงหัวถูกจับได้ เซวียไฉ่เฟิ่งพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตีตัวห่างจากฝ่ายชาย
เธอถอนหายใจ “ผู้หญิงคนนั้นฉลาดมากกว่าที่พวกเราคิดจริง ๆ”
ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นเผชิญกับเรื่องแบบนั้น เกรงว่าคนเหล่านั้นคงเอาแต่อ้อนวอนร้องไห้อย่างสิ้นหวัง
แต่เซวียไฉ่เฟิ่งคนนี้กลับใช้วิธีที่รวดเร็วที่สุดเพื่อปกป้องตัวเอง
ด้วยวิธีนี้ ใครก็จะไม่มีสามารถพูดได้ว่าเธอทำผิด แต่ก็ไม่อาจพูดได้ว่าเธอทำถูกเช่นกัน
มันก็เป็นเช่นนั้นเอง วิธีนี้สามารถปกป้องเธอได้ ทั้งยังโดนคนอื่นครหาน้อยลงอีกด้วย
เซี่ยชิงหยวนแวะซื้อเครื่องชั่ง ปลาจี้อวี่อีกตัวและเต้าหู้หนึ่งก้อนก่อนกลับบ้าน
เธอยังเหลือผักที่ซื้อมาตอนเช้าไว้บ้าง และวางแผนจะกลับไปผัดและกินมันเป็นมื้อเย็น
…
เมื่อกลับมาถึงบ้าน หญิงสาวก็พบว่าเสิ่นอี้โจวกลับมาแล้ว
เขานั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น โดยหันหลังให้เธอและกำลังเก็บของอะไรบางอย่าง
เซี่ยชิงหยวนมองตามการกระทำของอีกฝ่าย และในที่สุดก็เห็นว่าเขากำลังเก็บเสื้อผ้าของเธอ ซึ่งเธอลืมเก็บเพราะรีบออกไปขายของวันนี้
ปกติ เธอจะเก็บเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปข้างนอก
แต่เพราะทำเมนูหอยขมผัดเผ็ดเพิ่ม หญิงสาวจึงไม่มีเวลานัก
ดังนั้นเธอจึงแค่รีบเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้นอกบ้านมาวางไว้ในบ้านลวก ๆ แล้วออกจากบ้านไปขายของ
เมื่อเสิ่นอี้โจวได้ยินการเคลื่อนไหว เขาก็หันกลับมาและยิ้มให้เธอ “คุณกลับมาแล้ว”
เขาพับเสื้อผ้าในมือไปด้วยขณะพูดกับเธอว่า “ผมเทน้ำใส่แก้วให้แล้วมันวางอยู่บนโต๊ะ”
เซี่ยชิงหยวนตอบ “ขอบคุณค่ะ”
เธอเดินไปหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะแล้วยกขึ้นจิบน้ำ
เดิมที หญิงสาวต้องการบอกว่าจะเข้าไปทําอาหารในห้องครัว
แต่เมื่อสายตาของเธอเหลือบไปเห็นชุดนอนสีชมพูอมเทาที่วางอยู่บนโซฟา หญิงก็ตกตะลึงในทันที
และในขณะนี้เสิ่นอี้โจวซึ่งพับเสื้อผ้าในมือเสร็จแล้ว ก็กำลังเอื้อมมือใหญ่ไปหาชุดนอนชุดนั้นของเธอ!
เซี่ยชิงหยวนมีความคิดเดียวในใจตอนนี้คือ เธอไม่สามารถปล่อยให้อีกฝ่ายเห็นชุดนอนนั้นได้!
เมื่อวานมีผ้ากระจายเต็มโต๊ะไปหมด เสิ่นอี้โจวจึงมองเห็นมันไม่ชัดเจนนัก
แต่ถ้าเขาหยิบมันขึ้นมาพับ นั่นก็เป็นอีกเรื่องเลย
ไม่มีทาง!
เธอต้องหยุดเขาไว้!
ร่างกายตอบสนองเร็วกว่าสมอง เซี่ยชิงหยวนพลันพุ่งตัวเข้าไปหาประหนึ่งลูกศรหลุดจากเกาทัณฑ์ และคว้าไปทางชุดนอนของเธอ
หญิงสาวมีเป้าหมายเดียวและนั่นก็คือชุดนอนของเธอ
ทว่าด้วยแรงที่มากเกินไป แม้จะคว้าชุดนอนไว้ได้ แต่ร่างของหญิงสาวพลันโถมทับร่างของคนที่อยู่บนโซฟาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ใช่ เธอล้มทับเขา!
มือขวาของเธอจับชุดนอนไว้ ส่วนมือซ้ายกลับสัมผัสใบหน้าของเสิ่นอี้โจวเสียเต็มมือ
เสิ่นอี้โจวมองเธออยู่ครู่หนึ่งด้วยความสนอกสนใจ
เซี่ยชิงหยวนไม่รู้จะอธิบายพฤติกรรมของเธอนี้ยังไงดี
เสิ่นอี้โจวพูด “ชิงหยวน การที่คุณกระโจนใส่ผมแบบนี้ ผมเข้าใจว่าคุณรักผมมากเกินไปได้ไหม”
เซี่ยชิงหยวนรีบปล่อยมือซ้ายทันที “เพราะฉันลื่นต่างหากล่ะคะ”
เมื่อพูดอย่างนั้นไป หญิงสาวก็พยายามลุกขึ้น
มือขวาของเธอพยายามซ่อนชุดนอนไว้ข้างหลังตัวเอง
แต่เสิ่นอี้โจวไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยอีกฝ่ายไปทั้งแบบนี้
เขานั่งตัวตรงก่อนจะเหยียดแขนยาวออกไป และคว้ามุมชุดนอนตัวบางนั่นอย่างรวดเร็ว
มุมริมฝีปากของเขายกขึ้น “ชิงหยวน มันก็แค่เสื้อผ้าชุดหนึ่ง ทำไมถึงตระหนกขนาดนี้ หืม?”