ตอนที่ 100 เจตนาซ่อนเร้น
บรรยากาศในห้องโถงใหญ่หดหู่มาก ฮั่นเฉียวเซิงนั่งบนเก้าอี้ใหญ่ ดวงตาของเขาหรี่ลงและใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
เหล่าศิษย์ต่างก็รู้สึกประหม่าและรอคอยผลอย่างเงียบเชียบ
มีเพียงชื่อจึงเฉิงและอี้โม่เท่านั้นที่มีพื้นฐานเกี่ยวกับโอสถสมุนไพรอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้ไปที่สวนโอสถวิญญาณ ดังนั้นทั้งคู่จึงมีสีหน้าผ่อนคลายและไร้ซึ่งความกระวนกระวายใดๆ
พวกเขาทั้งสองหันไปมองหน้าศิษย์ร่วมหออีก 8 คน เช่นจี้เทียนซิงและเนี่ยห่าวด้วยท่าทางดูถูกเหยียดหยาม
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงตู้หวู่และผู้ดูแลมู่ก็กลับมาที่ห้องโถงใหญ่
ที่มือของผู้ดูแลม่มีผลไม้วิญญาณสีขาวแดงอยู่ แน่นอนว่านี่คือผลหยางขาว !
ตู้หวู่ชําเลืองมองไปที่เทียนซึ่ง จากนั้นก็เดินไปหาฮันเฉียวเซิงพลางกระซิบกระซาบอยู่สองสามค่า
เมื่อได้เห็นฉากนี้ จี้เทียนซึ่งก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดคับข้อง ส่วนฮั่นเฉียวเซิงก็แส ดงสีหน้าแปลกๆและจ้องมองจี้เทียนซิงเช่นกัน
“เทียนซิง ! เจ้าเป็นศิษย์หอยุทธ์ฟงอวิ่น หากเจ้าต้องการ เจ้าสามารถร้องขอผล หยางขาวได้อย่างง่ายดาย เหตุใดถึงต้องประพฤติตัวเยี่ยงโจร ?!”
ฮั่นเฉียวเซิงมีสีหน้าผิดหวังและถามอีกฝ่ายด้วยเสียงเย็น
จี้เทียนซิงสีหน้าเปลี่ยนไปและกล่าวด้วยน้ําเสียงสงบนิ่ง “ครูฝึกฮั่น ถึงแม้ว่าผล หยางขาวจะล้าค่ามาก แต่ศิษย์ก็มิใช่คนละโลบ เป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์จะลอบขโมยมันมาเก็บเป็นสมบัติส่วนตัว เรื่องนี้จะต้องเป็นการเข้าใจผิดหรือไม่ก็มีคนชั่วช้ําคิดใส่ ความข้า ขอให้ครูฝึกให้ความเป็นธรรมด้วย !”
ฮันเฉียวเซิงยังคงมีสีหน้าเย็นชาและตะโกนด้วยน้ําเสียงต่า “เทียนซิง หากเจ้าไม่ได้ขโมยแล้วผลหยางขาวจะโผล่มาในห้องของเจ้าได้อย่างไร !?”
จี้เทียนซิงไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เขาทําได้เพียงตอบว่า “ครูฝึกชั้น ข้าไม่ได้ทําจริงๆ! มีคนโยนความผิดมาให้ข้า !”
ฮั่นเฉียวเซิงวุ่นหัวคิ้วจนหน้าผากมีรอยย่นและตะโกนเสียงต่ํา “ยังจะปากแข็งอีก ! หลักฐานก็เห็นกันอยู่โทนโท่ หรือเจ้าจะบอกว่าผู้ดูแลมู่กลั่นแกล้งเจ้า ?”
“เอาเถอะ เห็นแก่ที่เจ้าเพิ่งเข้านิกายได้ไม่นานอีกทั้งยังเป็นความผิดครั้งแรก ข้าจะ ลงโทษสถานเบา ต่อไปนี้เจ้าจะต้องไปทําความสะอาดที่วังไท่อันเป็นเวลาหนึ่งเดือน
เทียนซิงขบกรามและกําหมัดแน่นจนมือปูดโปนกระดูกส่งเสียงกรือบแกร็บ
มันรู้ว่าตนเองถูกใส่ความแต่ครูฝึกกลับไม่ฟังคําอธิบายของมันจนมันต้องถูกลงโทษและเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คน
ที่สําคัญกว่านั้น มันถูกลงโทษเป็นเวลาหนึ่งเดือนซึ่งจะชะลอเวลาการฝึกฝนเข้าไป อีก !
หน้าอกของเขาพองเข้าออกจนแทบระเบิดและเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่สุด ท้ายก็สามารถข่มความโกรธเอาไว้ได้และกล่าวด้วยใบหน้าราบเรียบ “ศิษย์…. ทราบ แล้ว !”
หลังจากประสานมือคารวะทั้งสามคน จี้เทียนซิงก็หันหลังเดินออกจากห้องโถงใหญ่เพื่อมุ่งหน้าไปยังวังไท่อนเพื่อกวาดพื้นตามค่าสั่ง
แม่ในใจจะเต็มไปด้วยความอัปยศอดสู แต่เขาก็รู้ว่าต้องอดทนและไม่ควรหุนหันพลันแล่น
หลังจากจี้เทียนซึ่งออกไปแล้วผู้ดูแลมู่ก็จากไปพร้อมกับนําผลหยางขาวกลับไปด้วย
ฮั่นเฉียวเซิงให้โอวาทบรรดาศิษย์ที่เหลืออีกเล็กน้อย จากนั้นก็ออกจากห้องโถง พร้อมกับตู้หรู
เมื่อครูฝึกทั้งสองจากไปแล้ว ศิษย์ที่เหลือก็อดไม่ได้ที่จะสนทนาและหัวเราะแผ่วเบา
“เหอๆ เทียนซิงผู้แสนโง่เง่า เพิ่งเข้านิกายได้ไม่กี่วันก็กล่าฝืนกฎนิกายขโมยของ อนาคตของมันจบสิ้นแล้ว !”
“เหอะ ! เจ้าเด็กเหลือขอคนนั้นถูกส่งไปกวาดพื้นเป็นเวลาหนึ่งเดือน มันจะเอาเวลาที่ไหนไปศึกษาโอสถ คอยดูเถอะหลังผ่านการประเมินผลการหลอมโอสถในอีกหนึ่ง เดือนข้างหน้า มันจะต้องอยู่อันดับรั้งท้ายแน่นอน !”
ริมฝีปากของชื่อจึงเฉิงยกโค้งขึ้นด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “เทียนซิงผู้นั้นเป็นถึงรุ่น เยาว์อันดับหนึ่งของรัฐนภากระจ่าง แต่กลับกล้าลักเล็กขโมยน้อย ข้าไม่เข้าใจคน เยี่ยงนี้เลย !”
อี้โม่แสยะยิ้ม “เหอๆ มันมาจากมืองเล็กๆในรัฐ พอได้เข้านิกายชั้นสูงและเห็นสม บัติล้ําค่าย่อมเกิดความโลภเป็นธรรมดา
คําพูดถากถางของทั้งสองคนนี้ทําให้จี้หลิงและเนี่ยห่าวสีหน้าเปลี่ยนไป
ตอนแรกที่จี้หลิงเห็นเทียนซึ่งถูกลงโทษในที่สาธารณะ เขาลอบหัวเราะเยาะเย้ย ในความโชคร้ายของผู้อื่นอยู่ในใจ อย่างไรก็ตามเมื่อได้ยินค่าพูดของซือจึงเฉิงและโม่จี้หลิงก็ไม่อาจวางสีหน้าให้เป็นปกติได้
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ทั้งสองคนนี้ได้พูดจาดูถูกเมืองจักรวรรดิในรัฐนภากระจ่างว่าเป็นเมืองเล็กๆ ซึ่งจหลิงเองก็เป็นราชาของเมืองนั้นอยู่ ดังนั้นค่าพูดของทั้งสองก็เหมือนด่าจหลงทางอ้อมไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม จี้หลิงทําได้เพียงขมวดคิ้วและไม่โต้แย้งอย่างเปิดเผย เห็นได้ชัดว่า เขาก็มีความจําเป็นต้องกล้ํากลืนเพราะที่นี่เขาไม่ใช่ราชาอีกแล้ว
แต่ทว่าเนี่ยห่าวกลับยืนขึ้นและจ้องไปที่ชื่อจึงเฉิงและอี้โม่พลางกล่าวด้วยเสียงเย็น “ชื่อจึงเฉิง อี้โม่ พวกเจ้าเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า เหตุใดถึงได้นินทาว่าร้ายจี้เทียนซิงลับหลังเช่นนี้?”
“พวกเราทุกคนต่างก็เป็นศิษย์ร่วมหอยุทธ์เดียวกัน พวกเจ้านินทาศิษย์พี่ศิษย์น้อง เช่นนี้มีความละอายบ้างหรือไม่ ?”
เนี่ยห่าวเกิดในตระกูลขุนนางและเป็นหลานของจอมพลเฉียนคนที่รับได้การอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดีตั้งแต่เด็ก ทําให้เขาเป็นคนมากนใจคนหนึ่ง
นอกจากนี้ตัวเขาเองกับจี้เทียนซึ่งก็นับว่าเป็นสหายที่ดีต่อกัน แน่นอนว่าเนี่ยห่าวย่อมต้องออกหน้าปกป้องสหายอยู่แล้ว
ชื่อจึงเฉิงและอี้โม่ใบหน้าแข็งค้างและหันไปมองเนี่ยห่าวอย่างตกตะลึง
“เหอๆ พวกเราพูดถึงเทียนซิง เจ้ายุ่งเกี่ยวอะไรด้วย, เนี่ยห่าว ?”
“ยิ่งไปกว่านั้น คนอย่างมันที่ทําตัวเยี่ยงโจรลักเล็กขโมยน้อย ข้าไม่คิดจะนับถือเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องหรอก !”
“ถูกต้อง ! เนี่ยห่าว เจ้ออกหน้าให้มัน เจ้าเป็นพวกเดียวกับมันใช่ไหม ?”
เนี่ยห่าวจ้องมองทั้งสองและตะโกนออกมาด้วยน้ําเสียงหนักแน่น “ใช่ ข้าเป็นสหายของพี่ ข้ารู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร เขาเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งและไม่มีทางทําเรื่องนี้เช่นนี้แน่ ! ข้าเชื่อว่าเขาถูกใส่ความ !”
ชื่อจึงเฉิงและอี้โม่แสยะยิ้มและหัวเราะดังยิ่งกว่าเดิม
“ฮ่าๆๆๆ เพ้อเจ้อ! ผู้อาวุโสทั้งสองพบหลักฐานในห้องของมันเอง ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งเราก็เห็นกันแล้ว เจ้าอยากจะจมปลักกับคนอย่างมันหรือไง ?”
“ไอหยา อยู่ใกล้หนูก็มีกลิ่นเหมือนหนู ชอบลักขโมยของกิน”
“ข้าไม่คิดเลยว่าคนอย่างเนียห่าวถึงกับต้องลดคุณค่าของตัวเองไปคบหากับโจร พวกเราควรอยู่ให้ห่างจากมันและจี้เทียนซิง..”
ชื่อจึงเฉิงและอี้โม่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย จากนั้นก็จากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเย้ย หยัน
เนี่ยห่าวแค่นเสียงเย็นชาและไม่พูดอะไรอีก เขารับรู้แล้วว่าศิษย์ร่วมหอเหล่านี้มีนิสัยอย่างไร พวกมันสนใจแต่ตัวเองและดูถูกผู้อื่น
ในใจของเนี่ยห่าวมีเพียงเทียนซึ่งเท่านั้นที่ไว้ใจและคบหาเป็นสหายได้อย่างสนิทใจ
แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความสงสัยและถอนหายใจ “พี่จี้ ท่านเพิ่งเข้านิกายมาหมาดๆแต่กลับมีคนคิดใส่ความ ที่แท้ท่านมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใดกันนะ ?”
ภายในห้องๆหนึ่ง ฮั่นเฉียวเซิงนั่งอยู่บนโต๊ะและเปิดตาราเพื่อจัดการกับเรื่องราว ต่างๆภายในนิกาย
ตู้หวู่ยืนอยู่ข้างๆ หลังจากแสดงสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ถามว่า “ท่านพี่ฮัน เรื่องเมื่อครู่นี้ เราท่านต่างรู้กันดีว่าเทียนซึ่งถูกคนใส่ความ เหตุใดท่านถึงยังลงโทษมันอีก ?”
ฮั่นเฉียวเซ็งวางตาราในมือลงบนโต๊ะและกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า “ก่อนนี้ ข้าเป็นผู้รับผิดชอบในการคัดเลือกศิษย์ใหม่ทั้งรอบแรกและรอบสุดท้ายที่รัฐนภากระจ่าง ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับมันเรียกได้ว่าไม่ใช่คนแปลกหน้า”
“ในตอนแรกเด็กคนนี้ถูกหอบร่างที่หมดสติไปทดสอบระดับพลังยุทธ์ ผลที่ออกมาปรากฏว่ามันมีพลังเพียงปรับแต่งกายาขั้นที่สามและกลายเป็นที่หัวเราะเย้ยหยันไปทั่วเมืองว่าไม่รู้จักประมาณตน”
“หนึ่งเดือนต่อมา เจ้าหนูคนนี้กลับมาอีกครั้งด้วยพลังในเขตแดนต้นกําเนิดแท้จริง อีกทั้งยังเป็นคนเดียวที่ฝ่าด่านค่ายกลหมากรุกไปได้ นอกจากนี้ในการประลองหาอันดับหนึ่ง มันก็ล้มผู้ที่มีพลังเหนือกว่าได้อีกด้วย !”
“ข้าได้เห็นการต่อสู้ของมันมาแล้ว มันเป็นชายที่มากด้วยพรสวรรค์และเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในรอบร้อยปี หากได้รับการฝึกฝนอย่างถูกต้อง อนาคตของมันจะไร้ซึ่งขีดจํากัด !”
หลังจากได้ยินคําสรรเสริญเหล่านี้จากปากของฮั่นเฉียวเซ็ง ตู้หวู่ก็ยิ่งมีสีหน้าสันส นมากขึ้นและถามว่า “ท่านพี่ฮั่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจะลงโทษให้มันคับแค้นใจไป เพื่ออันใดเล่า ?”
ฮั่นเฉียวเซิงเผยรอยยิ้มลี้ลับที่ดูน่าสนใจและอธิบายว่า “บุปผาไร้ลมนั้นบอบบาง ลูกนกอินทรีที่ถูกปกป้องจากแม่ก็ไม่มีวันบินได้เอง”
“เช่นเดียวกันกับการฝึกฝนวิทยายุทธ มันย่อมไม่ราบรื่นและต้องผ่านความยากลำบากเสียก่อน”
“ครั้งนี้ข้าลงโทษจเทียนซึ่งก็จริง แต่เป็นเพียงสถานเบา ข้าหวังว่าเจ้าหนูนี่จะเรียนรู้อะไรได้บ้างและฉลาดขึ้น อย่าหลงกลผู้อื่น”
“ข้าอยากให้มันรู้ว่านิกายพันธมิตรสวรรค์ก็ไม่ได้ทําให้ชีวิตของมันสะดวกสบาย ต่อให้มีพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์เพียงใดแต่ไร้ซึ่งมันสมองก็ไม่มีทางเป็นสุดยอดฝีมือได้
“นอกจากนี้ ที่ข้าลงโทษให้มันไปกวาดพื้นที่วังไท่อันก็มีเจตนาแฝงเล็กน้อย”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าตาเฒ่าผู้นั้นก็อยู่ในวังไท่อันและไม่ได้ออกมาร่วมครึ่งปีแล้ว”
เมื่อตู้หรูได้ยินค่าว่า ตาเฒ่า ดวงตาของเขาก็เจิดจ้าทันทีและมุมปากเกิดรอยยิ้ม ลับขึ้น
“จริงด้วย ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย เหอๆ ดูเหมือนว่าท่านพี่ฮั่นจะดีต่อเจ้าหนู นั่นไม่น้อย”
“ข้าก็แค่หยิบยื่นโอกาสให้มัน ที่เหลือก็อยู่ที่โชควาสนาของมันเองแล้ว”
MANGA DISCUSSION