ไหปีศาจ - บทที่ 426 ไปจากที่นี่ซะ
บทที่ 426 ไปจากที่นี่ซะ
บทที่ 426
ไปจากที่นี่ซะ
“สรรเสริญเทพเจ้า! ปกป้องผู้เป็นนาย! เพื่อวงศ์ตระกูล!”
ทหารผีทั้งแปดพันตัวดูเหมือนจะตะโกนออกมาเพียงแค่ประโยคเดียว แต่ประโยคนี้นั้นดูเหมือนจะเต็มไปด้วยเวทมนตร์ ที่ทำให้พวกเขาสามารถระเบิดพลังวิญญาณออกมาได้อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
เหล่าทหารในค่ายต่างพ่ายแพ้ให้กับเหล่าผี ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งมีทหารถูกสังหาร
ทหารของหน่วยรบค่ายกลสังหารแต่ล่ะคนต่างก็มีเพียงคำถามเดียวในใจ
กองทัพนรกนี่มาจากที่ไหนกัน?
พวกเขาไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องแบบนี้ในอาณาจักร
ไร้หน้าเองก็อยู่ที่นี่ด้วย
เขาทำตามคำสั่งของลั่วอู๋ โดยเป็นอิสระจากกองทหารผี คอยทำหน้าที่ฆ่าผู้นำกองทหารลุ่มเล็ก ๆ ของหน่วยรบค่ายกลสังหารแล้วหนีไปอย่างรวดเร็ว
หากไม่มีผู้นำกองทหาร กองทหารย่อยเล็ก ๆ ก็ไม่สามารถถ่ายทอดคำสั่งซึ่งกันและกันได้ ทำให้เหล่าทหารในค่ายตกอยู่ในความยุ่งเหยิง
ขณะเดียวหนิงหยินจิวผู้บัญชาการหลักของค่ายเองก็ถูกโจมตีจนต้องกระอักเลือดออกมา เขาจ้องมองไปที่นายพลผีลึกลับผู้ถือหอกปราบมังกรตรงหน้าเขาด้วยหัวใจที่หวาดผวา
ผีที่ทรงพลังมากตนนี้มาจากที่ไหนกัน?
นายพลผีคนนี้เป็นเหมือนกับภัยธรรมชาติอันไร้ซึ่งเหตุผล เขาเคลื่อนทัพลงมาจากภูเขาออกอย่างดุร้าย ปั่นป่วนรุกรานค่ายทหารของหนิงหยินจิวจนแตกกระเจิง
“ช้าก่อน เจ้าเป็นใครกัน พวกข้าคือหน่วยรบค่ายกลสังหารนะ ” หนิงหยินจิว รวบรวมพละกำลังความแข็งแกร่งของเขาเพื่อลุกขึ้นมาสอบถามอีกฝ่ายอย่างลำบาก
ทว่าไป๋ฉีกลับมองเขาด้วยใบหน้าที่เย็นชา จากนั้นก็ ยกหอกปราบมังกรในมือขึ้น
เขาไม่ได้ตอบอะไรแต่เลือกที่จะโจมตีต่อไป
คลื่นพลังวิญญาณของหอกหลั่งไหลออกมาเหมือนกับมังกรที่พุ่งทะยานออกไป
หนิงหยินจิวถูกผลักออกไปอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะพยายามปกป้องตัวเองแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถต้านทานพลังอันน่ากลัวของหอกปราบมังกรได้ เขาถูกแทงที่อกจนมีบาดแผลเจ็บทะลุทะลวง
เลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลนั้นอย่างหนัก
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขามีความแข็งแกร่งของมิติวิญญาณระดับทอง มิติ 9 อาการบาดเจ็บดังกล่าวคงจะนำไปสู่ความตายของเขา
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกว่าชีวิตของเขากำลังจะสูญสิ้น
หนิงหยินจิวเงยหน้าขึ้นมองปีศาจตรงหน้าเขา พลางหันหน้าไปที่ทางเหล่าทหารที่กระจัดกระจายกัน เขาคำรามจนเลือดที่กระอักออกมากลายเป็นฟองด้วยความโกรธ“ พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่ จัดการมันสิ!”
ที่ลานกว้างมีทหารอยู่ถึง 500 นาย ซึ่งพวกเขาทั้งหมดต่างก็กำลังมองดูเหตุการณ์นี้
คนเหล่านี้ทั้งหมดมีมิติวิญญาณระดับทอง และถ้าหากพวกเขาเข้าร่วมสนามรบ พวกเขาก็จะมีผลกระทบอย่างมากต่อสถานการณ์ในการต่อสู้ แต่พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น
เพราะพวกเขาเป็นศพมรณะ
พวกเขาจะเชื่อฟังเพียงคำสั่งของเจ้านายเท่านั้น
พวกเขาอยู่ที่นี่ได้ด้วยทรัพยากรที่เหลืออยู่ ของตระกูลผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้โบราณที่ยิ่งใหญ่ และอยู่เพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจึงไม่มีความคิดที่จะทำอะไรอื่น
เพียงแค่มองอย่างเฉยเมยจากข้างสนามฝึก
ทหารของหน่วยรบค่ายกลสังหารกำลังถูกเข่นฆ่ากวาดล้าง ทุกอย่างที่อยู่ในการดูแลของหนิงหยินจิวกำลังพังทลายลง
แม้ว่าเขาจะใช้คำสั่งปลอมเพื่อแยกกองกำลังนี้ออกมา แต่ทหารเหล่านี้ต่างก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา พวกเขาเหล่านี้เป็นดั่งพี่น้องที่ต่อสู้ด้วยกันในสมัยที่เขาอยู่ในหน่วยรบค่ายกลสังหาร
มิฉะนั้นเขาก็คงจะไม่สามารถสั่งพวกเขาเหล่านี้ให้แยกตัวออกมาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้โดยไม่มีเครื่องรางผู้บัญชาการของกองรบเสือได้แน่ การใช้เพียงแค่นามของตระกูล หนิงมันไม่มีทางเพียงพออยู่แล้ว
ทหารเหล่านี้ตามเขามา เพราะเชื่อใจในตัวเขา
แต่ตอนนี้พวกเขากำลังถูกเชือดทิ้ง
เขาต้องมาเห็นทหารของหน่วยรบค่ายกลสังหารเหล่านี้ค่อย ๆ ล้มลงไป ร่างกายของถูกฟันขาดจนไม่สมบูรณ์ และลมปราณของพวกเขาอ่อนแอลง จนกระทั่งพวกเขากลายเป็นศพที่จมอยู่ในบ่อเลือด
หนิงหยินจิวรู้สึกเหมือนหัวใจของเขาถูกฉีกออกและคำรามออกมา “เร็วเข้าสิ ช่วยพวกข้า”
ทว่าศพมรณะทั้ง 500 คนก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหว
ท้ายที่สุดเหล่าทหารในค่ายก็ถูกสังหารหรือได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสิ้น เหลือเพียงสิบกว่าคนเท่านั้นที่สามารถดิ้นรนต่อต้านกองทัพผีได้ ส่วนไป่ฉีกลับได้ทหารผีมาเพิ่มกว่า 700 คน
ขณะนี้ต่อให้ฮังเหมินและปังชิเย่มาถึงมันก็สายไปแล้ว
ฮังเหมินพุ่งเข้าไปต่อสู้กับไป่ฉีเป็นอย่างแรก
ทั้งสองคนอยู่ในการต่อสู้อันบ้าคลั่งในทันที
“มาช้าไปหน่อยจริงๆ” ปังชิเย่ โกรธมาก เขาจ้องมองไปที่หนิงหยินจิวซึ่งนอนอยู่ที่พื้น “กล่องอยู่ที่ไหน?”
หนิงหยินจิวพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความแค้น “ทหารของข้าตายหมดแล้ว”
“ช่างมันเถอะน่า กล่องอยู่ที่ไหน ถ้ามันถูกแย่งไป พวกเราทุกคนจะต้องตาย” ปังชิเย่พูดอย่างโกรธ ๆ
หนิงหยินจิวดูเหมือนจะได้สติกลับมา แต่เขาก็ยังต้องพยายามดิ้นรน เขาชี้ไปที่ศพมรณะ 500 อย่างโกรธเกรี้ยวแล้วตั้งคำถามว่า “ทำไมพวกเขาไม่ทำอะไรเลย ถ้าพวกเขาช่วยพวกข้าสู้ ทหารของข้าก็คงจะไม่บาดเจ็บล้มตายกันมากขนาดนี้”
“พวกเราไม่สามารถเสี่ยงให้พวกเขาบาดเจ็บได้ พวกเขามีประโยชน์มากมาย เจ้ารู้ไหมว่ามันต้องใช้ทรัพยากรมากแค่ไหนในการพัฒนาทักษะระดับทองของพวกคนเหล่านี้”
หนิงหยินจิวยิ้มอย่างเศร้า ๆ “กลับกันแล้วทหารของข้าจะบาดเจ็บล้มตายยังไงก็ได้งั้นเหรอ ? พวกเขาจะล้มตายไปแค่ไหนก็ไม่มีค่าเลยงั้นเหรอ?”
“แล้วเจ้ามีปัญหาอะไรงั้นเหรอ” ปังชิเย่โมโหสุดขีด
ผู้ชายคนนี้โง่รึไง?
ทหารเพียง 10,000 นาย จะไปมีมูลค่ามากกว่า ศพ มรณะ 500 นายที่มีความแข็งแกร่งของมิติวิญญาณระดับทองได้อย่างไร
ศพมรณะ 500 คนนี้มีความสำคัญต่อแผนขององค์ชายเล็กมาก สำคัญกว่าตัวเขา และกลุ่มทหารของหน่วยรบค่ายกลสังหารที่นำมาเป็นไหน ๆ
ร่างกายของหนิงหยินจิวสั่นสะท้าน เขาจ้องมองไปที่ ปังชิเย่ ริมฝีปากขยับไปมาราวกับว่ามีคำสกปรกมากมายติดอยู่ในลำคอแต่ไม่สามารถพูดออกมาได้
“ที่นี้เอากล่องมาให้ข้าได้แล้ว” ปังชิเย่พูดอย่างเคร่งเครียด
หนิงหยินจิวหยิบกล่องไม้สี่เหลี่ยมขนาดห้าฟุตออกมาจากเสื้อของเขาและโยนมันออกไป
ปังชิเย่รับกล่องไม้ซึ่งดูชำรุดและเต็มไปด้วยความผันผวนและมีรอยดาบเล็ก ๆ อยู่บนนั้นมาอย่างรวดเร็ว
“เยี่ยมยอด มันยังไม่ได้ถูกชิงไปสินะ” ปังชิเย่กล่าวอย่างโล่งใจ เขาเก็บกล่องไม้ไปทันที จากนั้นก็มองไปที่หนิงหยินจิวและขมวดคิ้ว“ อาการบาดเจ็บของเจ้าหนักมาก ข้าจะพาเจ้าไปรักษา”
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าสบายดี ข้าจะอยู่ที่นี่” หนิงหยินจิวกล่าว
“แล้วแต่เจ้า”
ปังชิเย่หันหัวกลับ
ในใจของเขา หนิงหยินจิวคนนี้เป็นเพียงตัวหมากที่สามารถหาคนมาทดแทนได้
ปังชิเย่หยิบเหรียญออกมา เหรียญนี้ทำให้เหล่าศพมรณะ500คนเริ่มขยับตัว จากนั้นศพมรณะทั้ง 500 คน ก็เดินมาหาเขาในเวลาไม่นานเพื่อรอให้มีการออกคำสั่ง
แต่แน่นอนว่าเขาไม่ใช่นายของพวกมัน
เขาเพียงแค่ได้รับเหรียญในการควบคุมชั่วคราวมาจากองค์ชายเล็ก ดังนั้นเขาจึงสามารถสั่งศพมรณะเหล่านี้ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ
ขณะนี้เองลั่วอู๋ที่ติดตามปังชีเย่และฮังเหมินก็ได้มาถึงที่ค่าย เขามองไปที่เหล่าซากศพทั่วพื้นดิน แล้วจึงพูดด้วยเสียงเยาะเย้ย “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะมาสายเกินไปหน่อยนะ”
ฮังเหมินนั้นกำลังต่อสู้กับไป่ฉีเขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “ไอ้หนุ่ม เจ้าอยากตายสินะ”
ทันทีที่ฮังเหมินกำลังจะเปลี่ยนไปโจมตีลั่วอู๋ หอกปราบมังกรของไป่ฉีก็หยุดเขาเอาไว้
ใบหน้าของไป่ฉีเย็นชา เขาพูดออกมาอย่างมั่นใจ “ถ้าเจ้าคิดจะโจมตีเขา ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน”
ฮังเหมินโกรธยิ่งกว่าเดิม
อีกฝ่ายเป็นแค่ผีระดับทองขั้นสูง กลับกล้าหยิ่งผยองกับเขาได้ขนาดนี้
อย่างไรก็ตามเขาก็ยังมีความกลัวอยู่ในใจ นายพลผีตรงหน้าเขานั้นมีพลังมาก และสัญชาตญาณการต่อสู้ของเขาก็อยู่ในระดับที่จัดได้น่ากลัว โดยเฉพาะชุดเกราะสีดำบนร่างกายนั่น
ชุดเกราะสีดำนี้ เขาไม่รู้ว่ามันทำมาจากวัสดุอะไร แต่มันมีพลังป้องกันสูงมาก มันสามารถรับการโจมตีอันรุนแรงได้หลายครั้ง และทำให้เขาล้มเหลวในการทำลายการป้องกันของไป่ฉี
“มันเป็นกลยุทธ์ที่ดีมาก สำหรับเจ้าที่จะทำให้ล่อเสือออกมาจากภูเขา” ปังชีเย่พูดอย่างกัดฟัน “นี่คือจุดประสงค์ของเจ้างั้นหรือ?”
“ก็เกือบใช่ เพราะคนพวกนี้เป็นคนที่ฆ่าตระกูลหยาง แล้วเจ้ามีส่วนรู้เห็นหรือไม่?” ลั่วอู๋กล่าวอย่างเรียบ ๆ
จุดประสงค์ของเขานั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายมาก เขาเพียงแค่ต้องการแก้แค้นให้ กู่ฉวน
ปังชีเย่หรี่ตา “พวกข้าเพิ่งถูกส่งมาไปยังกองทหารนี้ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แค่กำจัดคนของตระกูลหยาง ทำไมพวกเขาต้องให้พวกข้าช่วยล่ะ ?”
แม้ว่าตระกูลหยางจะเป็นตระกูลผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้โบราณ แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก
พวกเขาขาดการสื่อสารกับโลกภายนอก อาศัยอยู่อย่างสงบอิ่มเอมใจ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีเชื้อสายวงศ์ตระกูลมากจนเกินไป ตระกูลเช่นนี้จะแข็งแกร่งเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร
ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดของตระกูลหยาง คือผู้อาวุโสที่มีความแข็งแกร่งระดับทองขั้นสูงสองคน
เช่นเดียวกับตระกูลผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้โบราณส่วนใหญ่
หนิงหยินจิวนำหน่วยรบค่ายกลสังหารเข้าจู่โจมหลายครั้ง และในที่สุดก็สังหาร “ผู้อาวุโส” ที่อ่อนแรงลงได้
“ข้าขอกล่าวตรง ๆ เลยก็แล้วกัน เจ้าคิดว่าการที่เจ้ามีนายพลผีระดับทองขั้นสูง จะสามารถต่อกรกับกองรบศพมรณะของพวกข้าได้แค่ไหนเชียว?” ดวงตาของปังชีเย่ฉายแววตาอันเย็นชาออกมา
การที่ปังชีเย่และฮังเหมินถูกหลอกล่อด้วยกลอุบายเช่นนี้ มันจึงเป็นปกติอยู่แล้วที่พวกเขาจะต้องโกรธจัดจนอยากจะฆ่าลั่วอู๋ให้ตาย
ยิ่งด้วยว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งเกือบจะทำลายแผนการที่องค์ชายของพวกเขาเตรียมขึ้นมา
พลังวิญญาณของลั่วอู๋ตอนนี้ถูกใช้จนเกือบหมดสิ้นแล้ว เขาไม่สามารถฟื้นตัวได้ในเวลาอันสั้น นี่จึงเป็นโอกาสดีที่จะฆ่าเขาทิ้งซะ
“ ถ้าพวกเจ้าอยากจะฆ่าข้า จะเข้ามาตอนนี้เลยก็ได้นะ ข้าก็ยังไม่ฟื้นตัวดี แต่ … ” ลั่วอู๋หยิบหินทะลวงออกมา
นี่คือหินทะลวงมิติที่องค์จักรพรรดิมอบเอาไว้ให้กับเขา
ก่อนหน้านี้เขามอบมันให้กับหลี่หยิน แต่หลังจากที่นางได้กลับมาอย่างปลอดภัยจากนรกมนตรา หินทะลวงมิตินี้ก็ถูกส่งคืนให้กับลั่วอู๋
ปังชีเย่ประหลาดใจ “หินทะลวงมิติ!”
ถ้าอีกฝ่ายมีหินทะลวงมิติ เขาก็คงไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้
“หินทะลวงมิตินี้ มีปลายทางคือพระราชวัง ข้าสามารถกลับไปบอกองค์จักรพรรดิได้โดยตรงว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า” ลั่วอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าของปังชิเย่หม่นหมองลง
ไม่ว่าหินทะลวงมิติจะมีปลายทางอยู่ที่ไหน ตราบใดที่ ลั่วอู๋ สามารถหลบหนีไปได้ สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นที่นี่จะต้องถูกกระจายออกไปอย่างแน่นอน
และมันจะต้องส่งผลกระทบต่อแผนการขององค์ชายเล็กแน่
“เจ้าต้องการอะไร?” ปังชิเย่กล่าวอย่างเย็นชา
“ ข้าอยากให้พวกเจ้าฆ่าตัวตาย” ลั่วอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าล้อพวกข้าเล่นรึไง เจ้าคิดว่าพวกข้างี่เง่ารึ” ฮังเหมินสาปแช่ง
“ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องการให้พวกเจ้าทิ้งศพมรณะทั้งหมดเอาไว้ที่นี่”
“มันเป็นไปไม่ได้” ปังชีเย่ปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
“ ถ้าอย่างนั้นข้าต้องการกล่องนั่น”
“ถ้าข้าสู้กับเจ้าเสียตอนนี้ ข้าสามารถฆ่าเจ้าก่อน ที่หินทะลวงมิติจะมีผลก็ยังได้” ปังชิเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
กล่องเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เขาจะยอมเสียมันได้อย่างไร.
ลั่วอู๋พูดอย่างไร้เดียงสา “งั้นพวกเจ้าออกไปจากที่นี่ซะ”
ปังชิเย่ตะลึง
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอทั้งหมด ข้าเลือกรักษาชีวิตตัวเองไว้ดีกว่า” ลั่วอู๋กล่าว
ถึงจะไม่ได้อะไรกลับมา แต่การได้เก็บหินทะลวงมิติก้อนนี้เอาไว้มันก็เป็นตัวเลือกที่ดีมากจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นที่สำคัญที่สุด ลั่วอู๋คิดว่ามันคงไม่มีประโยชน์อะไร หากเขาบอกองค์จักรพรรดิเกี่ยวกับเรื่องนี้
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าองค์ชายเล็กกำลังวางแผนทำอะไรอยู่? ทั้งหมดนี้น่าจะได้รับการยอมรับจากองค์จักรพรรดิตั้งแต่แรกแล้ว เขายอมให้องค์ชายน้อยได้เสริมความแข็งแกร่งของตัวเอง
อีกทั้งสองคนนี้ไม่ใช่คนที่ฆ่าสังหารตระกูลหยาง และมันเป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาดเท่าไหร่หากจะต้องมาต่อสู้กับพวกเขาทั้งสองคนพร้อมกัน
คนที่ต้องฆ่าจริง ๆ คือหนิงหยินจิว
และตอนนี้เขานอนกำลังนอนอาเจียนเป็นเลือดอยู่บนพื้น
อยู่ในสภาพกำลังจะตาย