——หากต้องการพลัง ก็จิ้มลงไปยังโพรงเสน่ห์กายิกสุขนั่นเลยค่ะ
“ เอ้ยเดี๋ยวก่อนนะ ”
ถึงกับเผลอตัวเปล่งเสียงขอให้หยุดออกมาเลย
ก็คิดดูดิพวกเอ็ง โพรงเสน่ห์กายิกสุข [นั่น] ที่ว่านี่มันคืออันที่ส่องแสงอยู่กลางหน้าผากฉันนะเว้ย?
“ …… ”
ลองชำเลืองตามองไปยังสาวมหาลัยที่อยู่ตรงหน้า
“ อ๊า……❤ ฮิ๊❤ โอะโฮะ……❤ ”
คุณพี่สาวที่ตะกี้ยังเล่นสนุกกับหนูน้อยอย่างร่าเริงก่อนจะพุ่งถาโถมเข้ามาทำร้ายฉันสุดกำลังอยู่เลยนี่ ตอนนี้กำลังนอนตาเหลือกพร้อมปล่อยน้ำนองเจิ่งออกมาจากทั่วตัว กระตุกร่างกายที่มีเนื้อมีหนังหุ่นกำลังดีนั่นให้สั่นเล็กๆดังหงึกหงึก
ถูกการน้ำแตกรีดเอาเรี่ยวแรงพลังกายทั้งหมดไป ทำให้อยู่ในสภาพที่ยืนไม่ได้ซะด้วยซ้ำ
ขนาดคนที่แข็งแรงร่าเริงโดนจิ้มด้วยเทคโนเบรคเกอร์เข้าไปจึ๊กเดียวก็ยังมีสภาพเป็นอีหรอบนี้แล้ว
งั้นถ้าฉันที่จะตายห่าร่อมร่ออยู่แล้วเกิดจิ้มจึ๊กใส่ตัวเองบ้าง แบบนั้นจะไม่ถึงกับเทคโนเบรค (น้ำแตกเยอะจัดจนตาย) เลยเรอะ? เนี่ยมันมีข้อสงสัยที่โคตรจะสมเหตุสมผลแบบนั้นลอยเข้ามาอยู่ในหัว
ให้ว่าแล้ว ไอ้การใช้มือฉันจิ้มโพรงเสน่ห์กายิกสุขของตัวฉันนี่ มันคือการช่วยตัวเองใช่ป่ะ?
อยู่กลางสถานการณ์ฉุกเฉินที่ถูกไคอิแสนดุร้ายอันตรายมันไล่ต้อนจนมุมแท้ๆแต่กลับทะลึ่งช่วยตัวเองเฉยเลยเนี่ยนะ มันจะเหนือล้ำไปมากยิ่งกว่าระดับของคนสติแตกแล้วนะเว้ยแบบนั้น ถือเป็นอาการสับสนทางจิตประเภทนึงได้เลย
——อยากจะช่วยคุณน้องสาวใช่ไหมละคะ?
แล้วการช่วยตัวเองในสภาพเจียนตายต่อหน้าศัตรูนี่มันจะเชื่อมโยงไปทำให้ช่วยน้องสาวได้ยังไงกันฟะ
แต่เสียงที่ดังก้องขึ้นมาภายในหัวนั่นมันก็ดูมั่นอกมั่นใจว่า “ถ้าจิ้มแล้วจะทำให้ช่วยซากุระได้” ซะเหลือเกิน……
เพื่อที่จะช่วยเหลือซากุระแล้ว จะยอมเลือกวิธีการไม่ได้เป็นอันขาด—-นั่นล่ะคือสิ่งที่ขับเคลื่อนให้ฉันมาได้จนถึงตรงนี้
ทำให้คนหลักหลายร้อยน้ำแตกทะลักทลายมาแล้ว
สองมืออมนุษย์ก็โชกเลอะเปรอะโสมมไปด้วยน้ำพุสาดกระจายไปแล้ว
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีทางจะลังเลคิดหนักแหงอยู่แล้ว กะอีแค่ช่วยตัวเองในสภาพเจียนตายต่อหน้าศัตรูแค่นี้
หากมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ช่วยซากุระได้อยู่แม้แต่นิดละก็ ต่อให้นั่นจะเป็นเสียงกระซิบอันอ่อนหวานของปีศาจก็ตามที
“ ……เอาไงก็เอากันสิวะ ”
——หึหึหึ ใช่แล้วค่ะ แบบนั้นแหละดีแล้ว
ในระหว่างที่เสียงซึ่งอยู่ภายในหัวดังก้องมากยิ่งขึ้นอย่างประหลาด ราวกับฉายแววให้เห็นถึงความรู้สึกดีใจนั่นเอง ที่ฉัน
——เพราะคนที่จะจิ้มได้ ก็คือคนที่เตรียมใจจะถูกจิ้มกลับแล้วเท่านั้นยังไงล่ะ
ฝืนเค้นแรงเฮือกสุดท้ายราวกับถูกล่อลวงไปโดยเสียงกระซิบอันอ่อนหวาน…จิ้มจึ๊กลงไปกลางโพรงเสน่ห์กายิกสุขของตนเอง
พริบตานั้น
“ ———————————อึก ”
ทั้งการมองเห็นทั้งสติต่างก็ถูกกลืนหายเข้าไปในแสงสว่างสีขาวโพลน
สัญญาณไฟฟ้าแห่งความเสียวภายในหัวมันลั่นเปรี๊ยะๆ ดั่งกับเป็นเครื่องจักรที่พังหมดสภาพ
และสัญญาณไฟฟ้านั่นก็ไม่ยอมหยุดอยู่แค่ภายในหัว มันกระจายตัวแผ่ซ่านไปยังกล้ามเนื้อทั่วร่าง ส่งผลให้ร่างกายทั้งตัวสั่นกระตุกหงึกงออย่างรุนแรงไร้ปรานีโดยไม่เว้นที่ให้สั่งการอะไรได้เลยซักนิดเดียว
“ อุ อ๊าาาาาางงงงงงงงงงง❤!!! ”
เสียงที่ฟังดูน่าสมเพชระดับที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนพลันหลุดลอยออกมาจากปากของตัวฉันเอง ส่วนร่างกายท่อนล่างนั่นก็ปลดปล่อยของเหลวสุดน่าอายให้แตกพลั่กไหลหลากออกมาในปริมาณที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แตกพลั่กเล็ดทะลักเลยทีเดียว แตกรัวไม่หยุดหยั่งกับท่อแป๊ปรั่วเลย
นั่นก็คือ ประสบการณ์ถึงจุดสุดยอดที่ราวกับว่าเซลล์ทุกเซลล์จากทั่วทั้งร่างมันปลดปล่อยพ่นน้ำออกมาพร้อมกัน
และท่ามกลางแสงสว่างสีขาวที่จ้ามากจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั่น
——อ๊าาาาาางงงงงงอู๊วววว❤! อาหย่อยยยยย❤❤!!
นั่นมันคือเสียงร้องสุดน่าอายของฉันเรอะ หรือเป็นเสียงร้องอย่างเสียวซ่านของใครอื่นกันแน่
——รสชาตินี้ ปริมาณนี้ คุณภาพนี้……เอื๊อก คุณฟุรุยะ ฉันคิดถูกจริงๆนั่นแหละค่ะที่เลือกคุณ……❤
เสียงกระซิบที่แสนอ่อนหวานและเปี่ยมไปด้วยไอรักชวนรู้สึกไม่ชอบมาพากลพลันเลือนหายไปภายในแสง——และในท้ายที่สุดสติของฉันก็ถูกฉุดกลับมายังความเป็นจริง
——แต่ว่า……รีบเข้านะคะ เพราะตัวคุณในตอนนี้ คงจะทนอยู่ได้ไม่นานนักหรอก
“ ……ฟู่ว ”
ที่น่าตกใจเป็นอันดับแรก ก็คือการที่ภายในหัวมันใสกระจ่างซะจนชวนให้นึกถึงท้องฟ้าสีครามกับทุ่งหญ้ายามฤดูร้อนเลยนี่แหละ
ทั้งที่ข้างในกางเกงในมันมีสภาพวินาศสันตะโรระดับไร้คำจะบรรยายเลยแท้ๆ แต่กลับไม่ค่อยจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจเลย
หัวที่ปลอดความฟุ้งซ่านนั่นทำการวิเคราะห์สถานการณ์โดยรอบอย่างแม่นยำ ทำให้เข้าใจได้ขึ้นมาเองอย่างเป็นธรรมชาติว่าตนสมควรจะทำอะไรต่อไปดี
ฉันยืนกลับขึ้นมา ยืนกลับมาแล้วก้าวตรงไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เพื่อมุ่งไปยังจุดที่โลลิค่อนสเลเยอร์อยู่
เจอะเข้ากับฝูงชนชาวโลลิค่อนที่สุมหัวอยู่ทั่วถนนในทันใดเลยก็จริง แต่
“ …… ”
ฉันกลับเดินฝ่ากลุ่มผู้คนที่เนืองแน่นนั่นมาได้แบบเกือบๆไม่ต้องหยุด
ผ่านไปได้แบบง่ายดายราวกับเดินเล่นอยู่เหนือทางเท้าอันไร้ผู้คนงั้นแหละ
อ่านการเคลื่อนไหวของพวกโลลิค่อนได้ สัญชาติญาณช่วยตรวจจับให้ว่าควรจะขยับตัวยังไงต่อไป จิตที่ตัดสินว่าหากเคลื่อนไหวแบบนี้แล้วจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้นั่นมันทำการขยับร่างกายของฉันให้ก้าวไปเองโดยพลการ และที่สำคัญที่สุด
(ร่างกายเบาหวิวเลย)
ร่างกายที่เหนื่อยล้าขนาดที่แค่จะยืนก็ยังทำไม่ได้มาตลอดจนถึงเมื่อกี้ มาตอนนี้กลับพรั่งพรูเต็มไปด้วยกำลังอย่างน่าประหลาด
ความสามารถของร่างกายไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นแต่อย่างใด
แต่ถึงอย่างนั้นตัวมันก็เบาหวิวในระดับที่หยั่งกับว่าจู่ๆแรงโน้มถ่วงก็ถูกลดหลั่นให้ผ่อนลงอย่างกะทันหัน ดั่งกับว่ากระโจนหลุดขึ้นมาจากผิวน้ำที่เหนี่ยวรั้ง นั่นมันราวกับว่า ทั่วทั้งร่างถูกติดบูสต์อยู่เลยก็ไม่ปาน ใช่แล้ว
——บูสต์จุดกายิกสุข
เสียงที่ดังอยู่ในหัวมันเป็นคนบอกนามนั้นงั้นรึ หรือนั่นเป็นสิ่งที่ตัวฉันคิดขึ้นมาเองกันนะ
ฉันปล่อยตัวไปกับพลังอำนาจใหม่ของเทคโนเบรคเกอร์ที่ปรากฎขึ้นมาถัดจากพลังทำให้สิ่งไม่มีชีวิตถึงจุดสุดยอด พุ่งทะยานตรงดิ่งอัดเข้าไปยังที่ที่โลลิค่อนสเลเยอร์อยู่
“ โซยะ ”
[เอ๊ะ? อ้าว!? ฟุรุยะคุงเพิ่งจะโดนฟาดปลิวไปอยู่เมื่อกี้เองแท้ๆไม่เป็นอะ…ไร…เหรอ……?]
ตัวฉันที่เข้ามาถึงบริเวณส่วนที่ยังคงมีฝุ่นทรายคละคลุ้งหลงเหลือนั่น ทำการส่งเสียงทักเข้าหาชิกิงามิของโซยะที่ได้แต่เฝ้าจ้องมองสถานการณ์อย่างแตกตื่น
โซยะที่จ้องมองฉันผ่านชิกิงามิพลันส่งเสียงออกมาอย่างโล่งอก……แล้วจึงทำปากสั่นเครืออย่างหยึยหยะแหยงต่อเนื่องมาในทันที
[ฟุุ ฟุรุยะคุง? ทำไมถึงทำสีหน้าเยือกเย็นไร้ความหวั่นไหวแบบนั้นล่ะ? เหมือนจะฉี่ราดกระจายสุดๆไปเลยนะ……]
ที่โซยะชี้แจงให้ทราบไปพลางเอาสองมือปิดตานั่น ก็คือกางเกงของฉันที่เปรอะเป็นคราบอย่างยิ่งใหญ่อลังการเลยทีเดียว ตรงระหว่างขาน่ะนะ
“ ไม่ใช่ปัญหา ตอนนี้ที่สำคัญกว่านั้น ”
ฉันปัดผ่านคำชี้แจงของโซยะ ก่อนจะขอร้องกับโซยะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“ ฉันจะเข้าไปจัดการโลลิค่อนสเลเยอร์มันเดี๋ยวนี้เลย เธอช่วยเตรียมพร้อมเผื่อในเวลาจำเป็นที เอาให้สามารถช่วยเหลือฉันได้เสมอน่ะ ”
[เอ๊ะ!?]
และในฉับพลันเดียวกันนั้น ฉันก็ทะยานปรี่เข้าไปหาโลลิค่อนสเลเยอร์มันอีกครา
คงจะเพราะมองเห็นฉันละมั้ง การโจมตีด้วยยันต์กัมปนาทพิฆาตมารก็เลยหยุดลง พร้อมกับที่
[ต้องฆ่า……โลลิค่อน……!]
โลลิค่อนสเลเยอร์ซึ่งตรวจจับเค้าลางของโลลิค่อนได้ พลันแหวกทะลวงฝ่าฝุ่นควันระเบิด เผยตัวปรากฎกายออกมา
ประกายคมของดาบยาวที่ถูกเหวี่ยงกวาดเป็นแนวนอนเข้ามามันแล่นทะยานผ่านอากาศ หมายมั่นกะจะสะบั้นผ่าตัวฉันให้แยกออกเป็นสองเสี่ยง
“ ……ฮึก ”
ฉันกระโจนตัวหลบหลีก และในฉับพลันเดียวกันนั้นก็อาศัยปลายของดาบยาวเป็นที่วางเท้าเพื่อกระโดดเหินขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง
และฉันก็ยืดแขนออกไปราวกับทำเฮดสไลดิ้งอย่างอากาศ จิ้มจึ๊กลงไปกับถุงมือของโลลิค่อนสเลเยอร์
ซื้ดซื้ดซี๊ดด! แคร๊ง!
ในจังหวะเดียวกับที่ฉันบิดตัวลงมาเหยียบพื้น ถุงมือของโลลิค่อนสเลเยอร์ก็ระเบิดปลิว
เท่านั้นแหละเป็นไปดังที่คาดเอาไว้ โลลิค่อนสเลเยอร์ทำดาบยาวหลุดออกจากมือ ก่อให้เกิดช่องว่างอย่างยิ่งใหญ่
[……ขึก!?]
ดวงตาสีแดงข้างเดียวที่ส่องออกมาจากเฮลเมทพลันสั่นไหวราวกับสับสนงงงวย
ฉันกระชั้นชิดเข้าใส่โลลิค่อนสเลเยอร์ที่สูญเสียอาวุธ แล้วจึงปีนขึ้นร่างกายนั่นไปจากทางฝั่งด้านข้าง
แผ่นรองเอว แขนขวาด้านบน เกราะหัวไหล่ขวา….กระหน่ำจิ้มเข้าใส่ร่างกายที่เผยช่องโหว่เต็มไปหมดนั่นอย่างต่อเนื่อง
[โกร้วววววววววว!]
เนื่องจากโลลิค่อนสเลเยอร์คลั่งอาละวาดฟาดแขนหยั่งกับกะจะไล่แมลงตัวเล็กจ้อยให้ออกไปห่างๆ ฉันจึงกระโจนลงมาเพื่อหลีกหนีจากแขนสองข้างนั้น ร่างยักษ์ที่มั่นใจได้เลยว่าแค่ถูกนิ้วเฉี่ยวไปแม้แต่นิดก็จะกลายเป็นแผลฉกรรจ์ได้แล้วนั่นมันวืดทำเอาเส้นผมยุ่งไปหมดหรอก แต่ถ้าฟาดไม่โดนกันก็ไร้ความหมาย
ซื้ดซื้ดซี๊ดด! แคร๊ง!
เกราะที่โดนจิ้มพลันน้ำแตกแหลกระเบิดปลิว พร้อมกับร่วงลงมากระทบพื้นราวกับไล่ตามฉันที่ลงมาเหยียบพื้นแล้ว
“ ……ชิ ถัดไป ”
ร่างกายของซากุระที่ถูกเผยออกมาตอนนี้ก็คือแขนขวากับต้นขาทั้งสองข้าง ซึ่งก็ไม่มีโพรงเสน่ห์กายิกสุขให้เห็นได้เลยซักอย่าง
[หวาหวา สุดยอด! ไม่จำเป็นต้องซัพพอร์ตเลยนะเนี่ย!? เกิดอะไรขึ้นกันน่ะ!?]
โซยะปล่อยเสียงที่ไม่ใช่ทั้งโห่ร้องยินดีและสับสนงงงวยออกมาผ่านชิกิงามิ
[เอ๊ะ อ้าว? เหมือนว่าจำนวนครั้งที่ถึงจุดสุดยอดของฟุรุยะคุงมันจะเพิ่มขึ้นมา……ไม่หรอกมั้ง อยู่ระหว่างขับไล่ผีแบบนี้คงไม่มีทางหรอกเนอะ……]
อยากจะแย้งกลับเหมือนกันว่าเธอนั่นแหละใช้เนตรมารฝันจ้องดูอะไรอยู่ในระหว่างขับไล่ผี
[โอ้ววววววววววววววว!]
โลลิค่อนสเลเยอร์พลันคว้าดาบยาวกลับขึ้นมาอีกครั้ง
คงคิดว่าการโจมตีระยะกว้างจะใช้ปราบฉันที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วได้ชะงัดนักละมั้ง โลลิค่อนสเลเยอร์ก็เลยง้างตัวยกดาบขึ้นมาสูงลิ่ว กะจะก่อการระเบิดครั้งใหญ่แบบเมื่อกี้นี้อีกแล้วสินะ แต่ว่านั่นน่ะ
“ คิดผิดแล้วเว้ย ”
ฉันพุ่งทะยานสุดกำลัง อัดตรงดิ่งเข้าใส่ดาบยาวที่ถูกเหวี่ยงลงมานั่นเลย
“ เวลาสู้กับพวกที่ถืออาวุธ จะต้องกระโจนร่างกายท่อนบนเข้าใส่ ทำตัวให้เล็กแล้วทะยานไปข้างหน้าแบบข่มใจให้ไม่กลัว ”
กล่าวเคล็ดลับที่ซากุระช่วยสอนให้ออกมา วิ่งถลาเข้าไปในระดับที่หวิดๆจะถูกดาบเฉือนผมหน้าไป——–แล้วจึงพุ่งตัวกระโดด
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมมม!
บริเวณใต้เท้าระเบิดกระจุย และฉันก็อาศัยประโยชน์จากการระเบิดนั่นลอยเหินไปยังทิศเบื้องหน้า
ทะยานอัดเข้าไปหาสีข้างราวกับจะวิ่งไต่ขึ้นไปตามแขนของโลลิค่อนสเลเยอร์
“ แบบนี้ล่ะเป็นไง ”
จิ้มจึ๊กเข้าใส่แขนซ้ายด้านบน เกราะหัวไหล่ซ้าย แล้วก็เฮลเมท ตามด้วยทะยานลอดช่องว่างระหว่างสองแขนลงมาจิ้มกระซวกเกราะอกด้วย
ซื้ดซื้ดซี๊ดด! แคร๊ง!
ในที่สุดโลลิค่อนสเลเยอร์ก็สูญเสียเกราะฝั่งด้านหน้าไปเกือบทั้งหมด……
“ เจอซะที ”
ที่เผยออกมาก็คือเอ็กโทพลาซึม (สารเชิงวิญญาณ) ที่คลับคล้ายเหมือนกับโคลนตมสีดำ และซากุระที่ถูกจองจำอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่ภายในนั้นด้วยสภาพราวกับถูกตรึงกางเขน ก็กำลังส่องประกายแสงสว่างไสวอยู่ตรงบริเวณสะดือ
นั่นล่ะคือโพรงเสน่ห์กายิกสุขของตัวซากุระเอง
“ เท่านี้ก็เหลือแค่จิ้มตรงนั้นซะ ”
ก็จะช่วยซากุระได้แล้ว
ฉันที่ถอยระยะห่างออกจากโลลิค่อนสเลเยอร์ พลันเค้นแรงใส่เข้าไปภายในขาเพื่อจะเข้ามาฟาดการโจมตีเผด็จศึก ทว่า
——ทรุด
MANGA DISCUSSION