——-คุณฟุรุยะ คุณฟุรุยะ ฮารุฮิสะ ได้ยินไหมคะ?
เสียงที่ดูเหมือนว่าจะเป็นของเด็กผู้หญิงดังกังวานขึ้นมาอยู่ภายในหัว
——-ไม่ต้องกลัวไปนะคะ ฉันไม่ใช่คนน่าสงสัยหรอกค่ะ
เสียงนั่นแหบพร่าราวกับว่าทะลุลอดผ่านกำแพงที่หนามากออกมา ส่งผลให้จับใจความแทบไม่ได้
แต่ความร้อนรนที่แฝงเร้นอยู่ภายในน้ำเสียงนั่นมันก็สะกิดใจ ทำให้จิตรับรู้ของฉันถูกดึงดูดตรงไปยังตำแหน่งที่เกิดเสียงซะอย่างนั้น จึงเริ่มได้ยินเสียงใกล้มากยิ่งขึ้นกว่าเมื่อตะกี้
——-ขอร้องละค่ะคุณฟุรุยะ ช่วยรับฟังคำขอของฉันทีเถอะ
(คำขอ?)
——-ค่ะ เป็นคำขอที่ง่ายดายอย่างมากเลยค่ะ
(เอ้อ ถ้าเป็นอะไรที่ฉันทำได้ก็โอเคมั้ง)
——-จริงหรือคะ!? คราวนี้แหละสัญญากันอย่างแน่นอนแล้วนะคะ!?
(อืม)
——-ถ้าเช่นนั้นแล้วก็ ขอความกรุณาด้วยอีกครั้งนะคะคุณฟุรุยะ
พอเด็กผู้หญิงกระแอมไอดังอะแฮ่ม คุณหล่อนแกก็พูดต่อออกมาด้วยน้ำเสียงอันจริงจังฟังดูเป็นพิธี
——-เพื่อที่จะให้ พวกฉัน สำแดงอำนาจอันแท้จริงได้แล้ว……คุณจะช่วยได้โปรดใช้มือสองข้างนั้น ทำให้ใครก็ได้ถึงจุดสุดยอดให้ทีจะได้ไหมคะ?
ฉันนี่คือถึงกับแผดร้องออกมาสุดแรงเท่าที่มีอยู่เลยเชียว
“ ……….อ้าว? ”
ทว่าถึงแม้จะแผดเสียงตะโกนกร้าวออกมาสุดกำลัง แต่หัวมันกลับจำไม่ได้ซักนิดเลยซะอย่างนั้น ว่าตัวเองกำลังคิดว่า “จะบ้าเรอะ” กับคำพูดแบบใดของใครอยู่กันแน่
อ่อ ไอ้นั่นอีกแล้วเรอะ
ฝันประหลาด ที่ตั้งแต่โดนไอ้เจ้าคำสาปแสนน่ารำคาญมาสิงเข้าก็เริ่มจะฝันเห็นเป็นพักๆนั่น
พอฉันคลึงกางเขนเงินที่ห้อยติดอยู่กับกำไลข้อมือทั้งสองข้างไปพลาง เหนื่อยหน่ายจับใจกับฝันที่จำเนื้อหาไม่ได้นั่นอยู่ ก็พลันมีเสียงหัวเราะดังหึหึฮ่าฮ่าดังขึ้นมาจากบริเวณโดยรอบ
“ ……….อ๊ะ ”
ต้องใช้เวลาหลายวินาทีเลยก่อนที่หัวซึ่งยังงัวเงียเพิ่งตื่นนอนจะประมวลทำความเข้าใจสถานการณ์ได้ แล้วก็เพิ่งจะมารู้สึกตัวว่าตนเองเผลองีบหลับระหว่างคาบเรียน ก็ตอนที่อาจารย์ประจำวิชา [ประวัติศาสตร์ภัยวิญญาณสมัยใหม่] แกถอนหายใจออกมาอย่างเพลียจับจิตนี่แหละ อ๊ะ ฉิบหายแล้วไงล่ะเอ็ง……
“ ฟุรุยะ เธอนี่ได้ผลการเรียนวิชาปฎิบัติเป็นที่โหล่แล้วยังไม่หนำใจ กะจะเอาที่โหล่ของวิชาบรรยายพ่วงไปอีกด้วยรึไง? ”
และอาจารย์ที่พูดแบบนั้นแกก็กำลังกำยันต์ที่เขียนว่า “นักเรียนไม่ได้ความจงหายไป” ไว้อยู่ภายในมืออีกตะหาก ไอ้ฉันจึงรีบทำการเปิดฉากรัวข้ออ้างออกมาอย่างแตกตื่น
“ มะ ไม่ใช่นะครับ! พอดีเมื่อคืน มันมีไอ้เซ่อบางคนพลาดทำศาสตร์วิชาระเบิดบึ้มในหอ ก็เลยนอนได้ไม่เต็มจ๊าาากกกกก!? ”
พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์
ข้ออ้างอย่างสุดชีวิตแป้กอย่างน่าเศร้า อาจารย์เขาทำการเขวี้ยงยันต์ตรงเข้ามาอัดกลางหน้าอกฉันโดยพลัน และน้ำหน้าอย่างฉันก็ไม่มีปัญญาจะสามารถป้องกันศาสตร์ของอาจารย์ที่เป็นถึงผู้ปราบมารมืออาชีพได้แหงอยู่แล้ว สุดท้ายร่างกายจึงถูกรัดพันธนาการติดอยู่กับเก้าอี้ ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนทำอะไรได้
“ เอิ่มจารย์ครับ…….แบบนี้ก็จดโน้ตไม่ได้กันพอดีสิ ”
เอ้อเพราะโดนรัดให้นั่งหลังตรง ก็เลยน่าจะใช้ป้องกันไม่ให้งีบหลับได้ดีชะงัดนักจริงอยู่หรอกนะ…….
แต่อาจารย์เขากลับเมินเฉยต่อคำร้องทุกข์ของไอ้ฉันโดยสิ้นเชิง หันขวับกลับไปทำการสอนต่อเฉยเลยนั่นเฮ้ย
“ เอ…ถ้าอย่างนั้นก็กลับมาเรียนต่อนะ ภัยวิญญาณครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นยุคสมัยใหม่นี่ ก็คือเหตุการณ์ที่มีชื่อเรียกว่า เหตุชุดชั้นในหายสาบสูญ ซึ่งก่อความเสียหายอย่างใหญ่หลวงครอบคลุมไปทั่วบริเวณคันโตเมื่อ 2 ปีก่อน…..เนื่องจากข้อมูลรายละเอียดของภัยพิบัติเชิงวิญญาณครั้งนี้ที่ได้ถูกเปิดเผยให้ประชาชนรับทราบนั้นมีน้อยมาก ก็เลยมีข่าวโคมลอยไร้หลักแหล่งเล่าขานกันว่า เหตุการณ์ถูกคลี่คลายลงได้ด้วยมือของเด็กน้อยเพียงคนเดียว อะไรเทือกนี้หลุดมาอยู่บ้างเหมือนกัน และผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ก็— ”
ผสานกับที่อาจารย์เริ่มเขียนกระดาน นักเรียนคนอื่นๆก็หันมาเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับคาบเรียนกันโดยพลัน ไอ้การกระทำที่เหมือนลงโทษทางกายเน้นๆแบบที่ไอ้ฉันโดนอยู่นี่ สำหรับโรงเรียนนี้แล้วไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดหายากเลยแม้แต่น้อยนิด
“ ให้ตาย……อันตรายเหมือนเคยไม่เปลี่ยนเลยนะเนี่ยโรงเรียนนี้…… ”
ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ในสภาพที่โดนปล่อยให้รัดติดอยู่กับเก้าอี้มันทั้งอย่างนั้น
ถ้าศึกษาอยู่ในโรงเรียนธรรมดา จะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างอุ่นกายสบายใจมากยิ่งกว่านี้รึเปล่านะ
ในระหว่างที่ครุ่นคำนึงถึงอะไรที่ต่อให้คิดไปก็ไม่ได้ประโยชน์แบบนั้น ฉันก็จ้องมองรายละเอียดภาพรวมของ [เหตุชุดชั้นในหายสาบสูญ] ที่อาจารย์เขียนลงกระดานไปด้วยความรู้สึกอันแสนขมขื่น
โรงเรียนปราบมาร
ที่แห่งนี้ก็คือหน่วยงานฝึกฝนให้ความรู้แก่ผู้ปราบมาร ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อรับมือกับภัยพิบัติเชิงวิญญาณที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงระยะนี้
เป็นโรงเรียนดังที่มีทั้งคอร์สม.ต้นไปจนถึงม.ปลาย เป็นแหล่งที่เหล่าคนหนุ่มซึ่งมีพรสวรรค์ในด้านวิญญาณจากทั่วสารทิศจะมารวมตัวกันเพื่อรับการขัดเกลาอยู่ทุกวันให้เติบโตขึ้นกลายมาเป็นผู้ปราบมารมืออาชีพอะนะ
ในหมู่หน่วยงานฝึกฝนผู้ปราบมารที่มีอยู่หลากหลายทั่วประเทศแล้ว ก็มีที่นี่แหละที่มีคุณภาพของนักเรียนเหนือล้ำโดดเด่นขึ้นมายิ่งกว่าที่ไหนๆ แถมนักเรียนที่จบการศึกษาไปส่วนมากก็ยังสร้างชื่อให้กับตนเองได้อย่างยิ่งใหญ่ในฐานะมืออาชีพระดับท็อปของวงการเลยด้วย
กล่าวคือ เหล่านักเรียนที่สังกัดอยู่ในที่แห่งนี้จะถือเป็นเหล่าหนุ่มสาวอนาคตไกลที่จะขึ้นมาแบกรับวงการผู้ปราบมารในอนาคต รวมทั้งยังเป็นวีรบุรุษฝึกหัดที่จะคอยทำหน้าที่ช่วยเหลือปกป้องผู้คนจากภัยพิบัติเชิงวิญญาณในนามวิญญาณร้ายหรือไคอิอีกด้วย
แต่ก็นะ ต่อให้เป็นโรงเรียนดังที่ไหนแต่ก็ย่อมต้องมีไอ้เจ้าคนที่ห่วยแตกไม่เอาอ่าวอยู่เหมือนๆกัน……และตัวฉันที่มีผลการเรียนด้านศาสตร์ปราบมารอยู่ในระดับต่ำสุดของชั้นปีเลยนี่ ก็คือตัวตนที่ราวกับเป็นตัวแทนของเหล่าพวกไม่เอาอ่าวดังกล่าวนั่นเลยเชียวล่ะ
“ เหลืออีกแค่สัปดาห์เดียวก็จะถึงกำหนดวันแบ่งทีมแล้ว……. ”
ช่วงพักกลางวัน ไอ้ฉันทำการจ้องมองกระดาษเอกสารทำเรื่องอย่างดุเดือดไปพลาง ซัดน้ำกลืนอันปันที่เป็นอาหารกลางวันลงคอไปด้วย กางเขนบนกำไลข้อมือมันแกว่งไปมาอยู่ใกล้ๆหน้า ชวนให้รำคาญนิดหน่อยอยู่เหมือนกัน
“ อะไรกันวะฮารุฮิสะ เอ็งยังหาคนที่จะตั้งทีมด้วยไม่ได้อีกเรอะ? ”
เหล่าเพื่อนร่วมชั้นที่มานั่งกินข้าวด้วยพลันปั้นสีหน้าที่ดูเหนื่อยใจครึ่งนึง หยอกล้อครึ่งนึงขึ้นมา
“ เอ้อ ก็เป็นฮารุฮิสะที่สร้างสถิติช็อคโลกระดับไม่เคยมีใครหน้าไหนทำได้มาก่อน อย่างครองตำแหน่งผลการเรียนที่โหล่ตลอดสามปีซ้อนในช่วงม.ต้นเลยนี่นะ ไม่มีคนเอาก็ไม่แปลกว่ะ ”
“ ขนาดเด็กห้อง D อย่างพวกเราที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสพบเจอกับภารกิจอันตรายก็ยังลังเลไม่กล้าชวนเลยด้วยอะเนาะ ”
พูดกันมันส์ปากเลยนี่หว่าเฮ้ย
แต่ก็นะ เรื่องที่ว่าฉันมันเป็นไอ้พวกไม่เอาอ่าวที่ใช้ศาสตร์ปราบมารแทบไม่ได้เลยนั่นมันก็จริงแหละ
เหล่านักเรียนที่สังกัดอยู่ในโรงเรียนปราบมารนั้นจะถูกแบ่งให้อยู่ในห้องเรียนที่มี 5 ระดับชั้นคือ S, A, B, C และ D ตามผลการเรียนน่ะนะ ทว่าผลการเรียนของไอ้ฉันเนี่ยแม้จะอยู่ท่ามกลางห้อง D ที่เป็นแหล่งรวมตัวของพวกไม่ได้เรื่องไม่ได้ความก็แล้ว แต่ก็ยังครองตำแหน่งที่โหล่ได้อย่างไม่มีใครเทียบติดเลยเชียว
เนื่องจากอับจนหมดหนทางจะเถียงกลับ ไอ้ฉันก็เลยหยิบเอาขนมปังมาเคี้ยวแก้มตุ่ยอยู่อย่างแค้นๆ เท่านั้นแหละ
——-ฟุรุยะ ฮารุฮิสะคุง ห้อง D ชั้นมัธยมปลายปีหนึ่ง มีท่านผู้ล่วงลับรอคอยคำปรึกษาอยู่ค่ะ ได้โปรดกรุณาช่วยรีบมายังช่องติดต่อเบอร์ 4 โดยด่วนด้วย ย้ำอีกครั้ง ฟุรุยะ ฮารุฮิสะคุง ท่านผู้ล่วงลับกำลังรอคอยอยู่ค่ะ กรุณา—-
“ หา? กว่าจะถึงคาบซัพพอร์ตขึ้นสวรรค์ช่วงบ่ายนี่มันยังเหลือเวลาอยู่อีกตั้ง 30 นาทีเลยไม่ใช่เรอะ……. ”
พอฉันที่ได้ยินเสียงประกาศเอ่ยออกมาอย่างเซ็งๆแล้ว เหล่าเพื่อนร่วมชั้นก็พลันวางมือลงเหนือไหล่ไอ้ฉันด้วยสีหน้าสงสารเวทนา
“ หาคนมาตั้งทีมด้วยไม่ได้มั่งล่ะ พอเรียนคาบปฎิบัติก็เผอิญซวยเจอท่านผู้ล่วงลับสุดจะน่าปวดหัวมั่งล่ะ…..เอ็งนี่มันช่างน่าเวทนาจับจิตเลยจริงๆว่ะ ”
“ เอ้อ ถ้าคาบปฎิบัติจบแล้วจะช่วยให้คำปรึกษาก็แล้วกันเว้ย เอาเป็นว่าไปซะปายไปซะปาย ”
“ โธ่ว้อย เห็นว่าเป็นเรื่องคนอื่นเข้าหน่อยก็พูดอวดดีใหญ่เชียวนะ……. ”
ไม่ใช่ว่าจะยอมให้ร่วมทีมเพราะสงสารหรอกเรอะ……..ฉันพึมพำอย่างน่าสมเพชแบบนั้นอยู่ในหัวไปพลาง วิ่งทะยานตรงไปยังสถานที่ปฎิบัติ
เอ้อถึงแม้จะเป็นเพื่อนกัน แต่ก็คงช่วยไม่ได้หรอกที่มันจะไม่ยอมให้ร่วมทีมได้ง่ายๆ……
ก็สำหรับนักเรียนของโรงเรียนนี้แล้ว การแบ่งทีมที่ว่านี่มันถือเป็นปัญหาเรื่องความเป็นความตายในหลายๆความหมายเลยนี่นะ
โรงเรียนปราบมารแห่งนี้ มีคาบเรียนเสริมประสบการณ์ที่มีเพียงห้อง D อันเป็นแหล่งรวมพวกไม่เอาอ่าวเท่านั้นจะต้องเข้ารับ นั่นก็คือการมาช่วยงานในศูนย์ซัพพอร์ตขึ้นสวรรค์ที่ถูกตั้งติดไว้อยู่ภายในบริเวณโรงเรียนนั่นเอง
ศูนย์ซัพพอร์ตขึ้นสวรรค์นี่ก็ความหมายตรงตามตัวอักษรเลย หมายถึงมูลนิธิสงเคราะห์ที่จะทำการช่วยเหลือให้สัมภเวสีได้ขึ้นสวรรค์นั่นแหละ
สัมภเวสีนี่ก็คือ ดวงวิญญาณที่เร่ร่อนอยู่ในโลกอย่างต่อเนื่องเพราะมีเรื่องที่ติดค้างเหลืออยู่ในภพนี้นั่นเอง
กล่าวคือถ้าสามารถสะสางเรื่องที่ติดค้างนั่นให้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ พวกเค้าก็จะไปสู่สุคติได้โดยไม่ยึดติดเกินเหตุอยู่กับเรื่องที่ติดค้างจนแปลงโฉมกลายเป็นวิญญาณร้ายไปไง ถึงจะเป็นพวกไม่เอาอ่าวอย่างฉันที่ใช้ศาสตร์ปราบมารแทบไม่ได้ มีปัญญาทำได้แค่พูดคุยกับวิญญาณแค่นั้นก็เถอะ แต่ถ้าพยายามเข้าซะอย่างก็พอจะช่วยกำจัดเรื่องที่ยังเหลือติดค้างอยู่ได้เหมือนกันนั่นแหละ
หรือก็คือสามารถทำประโยชน์ต่อสังคมในฐานะผู้ปราบมารฝึกหัดได้นั่นเอง
………ถ้าไอ้เรื่องที่เหลือติดค้างนั่น มันคืออะไรที่เป็นผู้เป็นคนในระดับนึงละก็นะ
[ก็ถึงได้พูดอยู่นี่ไงเล่า! ฉันจะเข้าสิงร่างเธอใช่ไหม? แล้วทีนี้ก็จะแล่นไปจัดหนักซักป๊าบกับเด็กผู้ชายอายุราว 5 ขวบใช่ไหม!? ถ้าทำแบบนั้นแล้วจะต้องไปสู่สุคติได้แน่ๆเลย เนี่ยต้องให้พูดยังไงถึงจะเข้าใจ!]
“ ผมเองก็อธิบายไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบมาตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้วเหมือนกันนะฮะ? ว่าถึงแม้เราจะมีหน้าที่ช่วยซัพพอร์ตให้ไปสู่สุคติได้ แต่มันก็มีเรื่องที่ทำได้กับเรื่องที่ทำไม่ได้อยู่เหมือนกัน ฉะนั้นได้โปรดช่วยลดระดับลงมาเป็นอะไรที่สามารถทำได้จริงหน่อย…… ”
พอฉันฝืนปั้นรอยยิ้มสุดชีวิตแล้วอธิบายซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้น วิญญาณคุณอาเจ๊โรคจิตที่หุ้มเครื่องสวมใส่ของคนตายรอบกายก็พลันสั่นร่างที่โปร่งแสงนั่นให้ชักดิ้นชักงออยู่กลางอากาศราวกับเป็นเด็กเอาแต่ใจ
[ไม่อ๊าววว! จะขโมยครั้งแรกของหนูๆตัวน้อยๆด้วยร่างของเด็กผู้ชายง่าา! ก่อนจะตายนั่นฉันพยายามอดทนอดกลั้นความอยากนี้มาสุดๆเลยนะ ฉะนั้นขอรางวัลให้กันซักนิดซักหน่อยก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหนเลยนี่นา! อยากจะเล่นสนุกหยาดเยิ้มกับนุ้งเด็กผู้ชายตัวน้อยผิวใสๆเนียนๆง่าา!]
เอาแต่ร้องเรียกแบบนี้มาตลอดตั้งแต่ที่คาบปฎิบัติช่วงบ่ายเริ่ม……ไม่สิ มาตลอดตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้วเลยเชียวล่ะ
พอตายกลายเป็นวิญญาณปุ๊บ คนเราก็จะถูกปลดปล่อยจากหลักเหตุผลและเยื่อใยต่างๆนาๆทางโลก แล้วมักจะแสดงความต้องการอันถ่องแท้เป็นที่หนึ่งของตนเองออกมาน่ะ แต่ถึงอย่างงั้นก็เหอะ อีแบบนี้มันชักจะดูดุดันเกินไปหน่อยแล้วมั้งเนี่ย
[ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจล่ะ……ฉันน่ะก็แค่ อยากจะใช้ร่างของผู้ชายไปแอ้มโชตะเท่านั้นเองแท้ๆ]
จะบ้าเรอะเฮ้ย ไอ้การกระทำที่เข้าข่ายอาชญากรรมเต็มๆพรรค์นั้นน่ะหัดนึกถึงหัวอกคนที่จะโดนบีบบังคับให้ทำหน่อยสิฟะ
ก็รู้ซึ้งดีอยู่หรอกนะว่าคนที่ดูเอาจริงเอาจังตอนยังมีชีวิตอยู่เนี่ยแหละจะยิ่งระเบิดง่าย ถึงอย่างนั้นอีคุณอาเจ๊คนนี้ก็ยังอาการหนักอยู่ดี แต่จะไล่ตะเพิดออกไปก็ไม่ได้อีก…….เป็นในฉับพลันที่ฉันกำลังกลุ้มหนักว่าจะโน้มน้าวใจยังไงดีอยู่นั่นเอง
[ดูทำเข้าสิถึงกับพกกางเขนเงินอยู่ติดตัวเลยอีกตะหาก…….เด็กที่ดูท่าจะยั้งอารมณ์ไม่ต้องช่วยตัวเองได้นานๆอย่างเธอคงไม่เข้าใจฉันหรอกสินะ]
ที่เสียงของคุณอาเจ๊โรคจิตเค้า เริ่มจะมีอะไรที่ดูคลับคล้ายกับจิตสังหารปะปนร่วมเข้ามา
[รู้บ้างไหมว่าพอได้เห็นเหล่านุ้งๆเด็กผู้ชายตัวน้อยๆกำลังวิ่งเล่นสนุกอย่างสดใสไร้เดียงสาอยู่ทุกวี่วันในสถานรับเลี้ยงเด็กแล้ว ฉันจำต้องฝืนทนอดกลั้นความหิวกระหายมากมายหนักหนามากถึงขนาดไหน…….ฉันอุตส่าห์อดทนขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่เธอกลับค้านอยู่นั่นล่ะมาตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว ต่อให้เป็นวิญญาณแต่การจะแอ้มโชตะมันก็ถือเป็นอาชญากรรมอยู่ดีฉะนั้นร่วมมือด้วยไม่ได้มั่งล่ะ ได้โปรดช่วยนึกถึงกฎหมายให้ได้ทีเถอะมั่งล่ะ…….เอาแต่พูดเรื่องเดิมๆซ้ำอยู่นั่นแหละไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งต่อกี่ครั้งต่อกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง]
บรรยากาศที่ห่อหุ้มอยู่รอบกายคุณอาเจ๊โรคจิตพลันถูกฉาบไปด้วยสีสันอันชั่วร้ายอย่างชัดเจน
แบบนี้มัน บรรลัยแล้วไง
ฉันลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ในทันใด ก่อนจะปรามว่า “ใจเย็นๆก่อนนะครับ” ทว่า
พริบตานั้น พลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของคุณอาเจ๊โรคจิตก็พลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นสิ่งที่ดำมืดในคราเดียว สีหน้าก็บิดเบี้ยวกลายเป็นหยั่งยักษ์มารเลยอีกตะหาก
ฉันทำการเร่งเสียงแผดร้องออกมาแจ้งโดยรอบในทันใด
“ ท่านผู้ล่วงลับของช่องติดต่อเบอร์ 4 กลายเป็นวิญญาณร้าย (ผีโวย) ไปแล้วคร้าบ! ทุกคนเข้าที่เตรียมรับมือ! ส่วนท่านผู้ล่วงลับตนอื่นๆขอความกรุณาช่วยทำการลี้ภัยให้ว่องเลยครับ! ”
เท่านั้นแหละ บรรยากาศของศูนย์ซัพพอร์ตขึ้นสวรรค์พลันเปลี่ยนแปลงไปในคราเดียว
เหล่าสัมภเวสีต่างก็พากันเผ่นหนีทะลุกำแพงออกมา ส่วนพวกคุณเจ้าหน้าที่ของศูนย์หรือนักเรียนห้อง D ที่มาเข้าคาบปฎิบัติเหมือนกันกับฉัน ก็ต่างพากันทำการใช้สไตล์การต่อสู้ของพวกตนเองหันปลายอาวุธตรงดิ่งเข้าไปใส่คุณอาเจ๊โรคจิต
เสียงกระดิ่งเตือนภัยอันสนั่นหวั่นไหวดังก้องกังวาน เหล่านักเรียนห้อง D ต่างก็ทุ่มพลังใส่ลงไปในดวงตาที่จับจ้องมองดูคุณอาเจ๊โรคจิตอยู่
——-ตรวจจับพลังวิญญาณ
คือสกิลสำหรับใช้วัดระดับพลังของวิญญาณร้ายที่เป็นศัตรูน่ะ ถือเป็นสกิลขั้นพื้นฐานโคตรๆที่แม้แต่ผู้ปราบมารฝึกหัดก็จำเป็นต้องมี ถึงฉันจะใช้ไม่ได้ก็เหอะนะ
และแล้ว สีหน้าของไอ้พวกห้อง D ที่เตรียมรบเต็มเหนี่ยวก็พลันแข็งทื่อเหมือนๆกันไปในคราเดียว
“ ………หยึย!? ไอ้เจ้าวิญญาณร้ายนั่น มันเป็นสเกล 2 นะ! ”
“ แย่แล้วซวยแล้ว! ห้อง D เอามันไม่ลงหรอก! ”
สเกล 2……หมายถึงวิญญาณที่มีอำนาจมากพอจะทำร้ายมนุษย์ที่ยังมีชีวิตได้โดยตรงเลยนั่นเอง
ต่างกับไอ้ตัวที่แค่โผล่มาแจมในรูปถ่ายหรือตัวที่ทำให้ไหล่หนักขึ้นนิดหน่อยอะไรพวกนั้นคนละเรื่องกันเลย มันก่อเหตุระดับทำให้มีคนเจ็บได้ง่ายๆ แถมถ้าไม่ระวังแล้วอาจถึงขั้นมีคนตายได้เลยด้วยซ้ำ ถ้าอธิบายว่าเป็นสถานการณ์คล้ายๆเจอะกับหมูป่าคลั่งทั้งๆที่เราไม่มีเครื่องป้องกันที่พร้อมดี……อะไรแบบนี้ซะก็น่าจะพอเห็นภาพมั้งว่าความแตกตื่นนี้มันน่ากลัวระดับไหน
แต่ละคนต่างก็พากันจับกลุ่มกับนักเรียนและเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ใกล้ๆ รวมตัวกันเป็นกลุ่มย่อย ก่อนจะทำการใช้ศาสตร์สายข่ายอาคมเสริมการป้องกัน
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนั้น ถ้าอยากรู้ว่าไอ้ฉันกำลังทำอะไรอยู่แล้วละก็
“ ………เอิ่มม ”
เพราะให้ความสำคัญกับการวิ่งบอกให้ทุกคนทำการลี้ภัยมากกว่า ก็เลยกลับมารวมตัวในแนวป้องกันไม่ทัน ได้แต่ยืนอึ้งมึนงงอยู่ต่อหน้าคุณอาเจ๊โรคจิตแบบไร้การป้องกันหัวเดียวกระเทียมลีบเลยเชียว
แน่นอน ฉันที่ดูน่าจะเข้าสิงได้ง่ายๆนี่คือตกกลายเป็นเป้าในทันใดเลยเฮ้ย
“ ไอ้ควายไอ้โง่! เอ็งมันคือคนที่น่าจะลี้ภัยก่อนใครๆเลยไม่ใช่เรอะฮารุฮิสะ! ”
“ รีบเผ่นเร็วเข้าดิวะ! ”
เหล่าเพื่อนร่วมชั้นต่างก็พากันระดมยิงศาสตร์โจมตีสายพิฆาตมารออกมาจากภายในข่ายอาคม เล็งถล่มคุณอาเจ๊โรคจิตกันอย่างพร้อมเพรียง ฉันก็กะจะอาศัยจังหวะนี้เผ่นอยู่หรอกนะ แต่
แม้คุณอาเจ๊โรคจิตจะโดนศาสตร์พิฆาตมารเล่นงานจนร่างวิญญาณแหว่งไปบางส่วน แต่เค้าก็ยังพุ่งทะยานตรงดิ่งเข้ามาใส่ฉันได้อย่างไม่ยี่หระ
“ ธ่อว้อยบัดซบ! หยุดไว้ไม่อยู่เลยจริงๆด้วย! ”
“ ใครก็ได้ไปเรียกอาจารย์มาที! ”
เหล่าห้อง D ล้มเลิกความคิดที่จะถ่วงเวลาในพริบตา แต่ทว่าเป็นในจังหวะที่พวกมันคิดจะหันไปเรียกกองหนุนมาแทนนั่นเอง
“ เหวย!? ”
ที่ข้อเท้าถูกบีบด้วยกำลังอันมหาศาล ทำให้ฉันล้มหน้าคว่ำลงมามันตรงนั้นอย่างจัง
[ขึหึหึ ร่าง ร่างง ใช้ก้นของเธอขโมยครั้งแรกของนุ้งๆโชตะ………]
คุณอาเจ๊โรคจิตจับข้อเท้าไอ้ฉันขมับไปพลาง พึมพำอะไรที่โคตรจะน่ากลัวชวนขนตูดลุกสุดๆไปด้วย
“ ว๊าาากก! ฉิบหายบรรลัยวายป่วงแล้วไง! ฟุรุยะจะโดนมันสิงแล้ว! ”
“ ใช้กำลังใจต้านมันเอาไว้ซะฮารุฮิสะ! ”
อย่าพูดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ดิเฮ้ย!
เออเข้ามาศึกษาในที่นี่ตั้งแต่มัธยมต้นยันตอนนี้เลยก็จริง แต่ไอ้ฉันเนี่ยมันเป็นคนไม่เอาอ่าวที่เปิดใช้ศาสตร์ใดๆไม่ได้ซักอย่างเลยเชียวนะเฟ้ย! ที่เข้ามาเรียนได้ก็เป็นเพราะใช้เส้นเกือบจะทั้งหมดด้วยซ้ำเนี่ย!
โธ่เว้ย ลงอีหรอบนี้แล้ว เห็นทีคงต้องเอากาวมาเทยัดเข้าไปในตูดทำร่างกายให้ไม่อาจมีอานัลเซ็กส์ได้ก่อนที่จะโดนมันสิงโดยสมบูรณ์สถานเดียว! ใครก็ได้ไปเอากาวมาให้ทีว้อยยย!
เป็นในฉับพลันที่สมองซึ่งถูกไล่ต้อนจนมุมเกิดปิ๊งไอเดียที่โคตรจะเปิดโลกแบบนั้นขึ้นมาได้นั่นเอง
“ ให้ตายเถอะ ถ้าเป็นคนไม่เอาอ่าวจริงก็หัดทำตัวให้สมกันหน่อยสิ อย่างน้อยก็ช่วยคิดหลบหลีกหนีเอาตัวรอดไม่ให้กลายเป็นตัวถ่วงแข้งถ่วงขาชาวบ้านหน่อยไม่ได้เลยหรือยังไงกันนะ ”
——เปรี้ยงงงง!
จู่ๆเปลวเพลิงสีขาวแกมฟ้าก็แล่นทะยานผ่านอากาศ เข้ามาคลอกร่างของคุณอาเจ๊โรคจิตเอาไว้
[อ๊าาาาากกกกกกกกกกก!?]
คุณอาเจ๊โรคจิตที่ขนาดโดนการโจมตีของห้อง D เข้าไปพร้อมกันก็ยังชิลๆคนนั้น พลันมอดไหม้จนหมดสิ้นในพริบตาเดียว……เปลวเพลิงที่ใช้กับวิญญาณได้—–ไฟจิ้งจอก (คิตสึเนะบิ)
“ เพราะแบบนี้ไงล่ะ ฟุรุยะคุง เธอถึงได้หัวเดียวกระเทียมลีบไม่มีใครเอาเข้าร่วมปาร์ตี้ในโรงเรียนเลยซักคน ”
เสียงที่เยือกเย็นมากยิ่งกว่าน้ำแข็งพลันดังก้องขึ้นมาจากเหนือหัว
พอแหงนหน้าขึ้นมาแบบกล้าๆกลัวๆ ก็พบว่าที่อยู่ตรงนั้นคือนักเรียนมัธยมปลายปี 2 ของโรงเรียนปราบมาร คุซึโนะฮะ คาเอเดะ
หญิงผู้ที่แม้จะยังมีฐานะเป็นนักเรียนแต่ก็เฉิดฉายสร้างชื่ออยู่ในฐานะผู้ปราบมารมืออาชีพอันเก่งกาจ….รวมทั้งยังเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่ตามติดอยู่ด้วยกันกับฉันมาจนถึงมัธยมปลายด้วยเลยอีกต่างหาก
MANGA DISCUSSION