แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 395 ลำดับก่อนหลัง
กงจิ้งเองก็ร่วมด้วย “ใช่แล้วเจ้าค่ะ เมื่อวันก่อนข้าไปเล่นที่จวนหลู คุณอาที่ตระกูลหลูบอกให้ข้ากลับมาถามท่านย่าว่ามีสูตรลับดูแลใบหน้าหรือเปล่า นางบอกว่าหญิงชราหลายคนต่างพากันอิจฉาที่นายท่านหญิงจวนติ้งกั๋วโฮ่วของบำรุงรักษาอย่างดี ทำให้อ่อนเยาว์อยู่เสมอ”
แม้ว่านายท่านหญิงตี๋จะไม่ค่อยชอบกงจิ้งเท่าไหร่นัก แต่ใครไม่ชอบฟังคำพูดสรรเสริญเยินยอบ้าง นางส่งยิ้มให้กงจิ้งอย่างที่ไม่เห็นบ่อยนัก แต่นางยังคงตำหนิเล็กน้อย “เจ้าเล่นกับหว่านเอ๋อร์มานานแล้วจึงได้ความดื้อมาจากหว่านเอ๋อร์ คนแก่อย่างข้าจะมีวิธีดูแลปกป้องใบหน้าได้ยังไง ก็แค่ไม่กังวลเกี่ยวกับทุกอย่างและทำใจให้กว้างเท่านั้น”
กงหว่านพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ต่อให้พวกคุณหญิงคนอื่น ๆ จะรู้วิธีของท่านย่าเรา แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถเรียนรู้มันได้ ท่านย่าของเราน่ะใจกว้างที่สุด จิตวิญญาณของท่านย่าจึงสดชื่นแจ่มใส ส่วนจวนอื่นมีเรื่องไม่ดีมากมาย ย่อมต้องเครียดต้องกังวลเป็นธรรมดา”
นายท่านหญิงตี๋อายุมากแล้วจึงชอบฟังคำพูดสรรเสริญเกี่ยวกับความปรองดองและความสงบสุขในจวน นางถึงกับอารมณ์ดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้ฟัง
กงหว่านกับกงจิ้งเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทั้งสองคนปลุกเร้า สร้างบรรยากาศคึกคักขึ้นในจวนแห่งนี้ ซึ่งบรรยากาศคึกคักเช่นนี้ นายท่านหญิงตี๋กำลังรอให้หลานชายคนโตที่ไม่ได้เจอกันกว่าสิบปีมาคารวะนางอย่างใจจดใจจ่อ ทว่านี่เวลาก็ผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้วแต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของนายท่านหญิงตี๋เริ่มควบคุมไม่ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
นายท่านหญิงตี๋รอจนรู้สึกกลัดกลุ้ม กงหว่านจึงส่งสายตาให้เย่ชุ่ย
เย่ชุ่ยส่งเสียงอุทานแล้วพูดขึ้นยิ้ม ๆ “โอ้ ข้าน้อยเกือบลืมไปแล้ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรือนสืออันของเราปรับปรุงศาลาและสวนดอกไม้ในบริเวณใกล้เคียง คุณชายใหญ่คงไม่ได้จำทางไม่ได้หรอกใช่ไหมเจ้าคะ ?”
ขณะนี้ นายท่านหญิงตี๋รอจนเริ่มหงุดหงิดแล้ว นางส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ “ไม่ได้มาคารวะข้าในยามเช้านานกว่าสิบปี คงจำทางไม่ได้แล้วอย่างแน่นอน”
เย่ชุ่ยพูดขึ้นอย่างเร่งรีบ “ว่ากันว่าคุณชายใหญ่ของเราป้องกันพรมแดนอยู่ข้างนอกและปกป้องช่วงชิงเกียรติยศให้กับประเทศบ้านเมือง นายท่านหญิงอย่าได้ร้อนใจไปเลยเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะออกไปดู ไม่แน่คุณชายใหญ่อาจกำลังหลงทางและรอให้เราไปนำทางอยู่ก็ได้เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น นายท่านหญิงตี๋พูดขึ้นอย่างเร่งรีบ “เช่นนั้นเจ้ารีบไปเถอะ จะว่าไปแล้วเมื่อวันก่อนดูเหมือนมีญาติหลงทางอยู่ในสวนดอกไม้จริง ๆ เมื่อคิดเช่นนี้ เราก็โทษกงเอ๋อร์ไม่ได้”
เย่ชุ่ยถอนสายบัวแล้วรีบออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่าผ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ เย่ชุ่ยก็กลับมาอย่างร้อนใจด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
นายท่านหญิงตี๋มองเลยไปทางด้านหลังเย่ชุ่ย นางเห็นสาวใช้ไม่กี่คนที่คอยช่วยเย่ชุ่ยในยามปกติและไม่มีใครอื่น… นั่นทำให้อารมณ์ของนางขุ่นมัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
เย่ชุ่ยคุกเข่าลงด้วยท่าทางหวาดผวา “นายท่านหญิง คุณชายใหญ่… เอ่อ… คุณชายใหญ่ไปหอกราบไหว้สรวงสวรรค์เจ้าค่ะ”
สีหน้านายท่านหญิงตี๋มืดหม่นเหมือนท้องฟ้ายามวิกาลในทันใด
กงหว่านพูดขึ้นด้วยสีหน้าตกตะลึง “หอกราบไหว้สรวงสวรรค์… นั่นคือสถานที่ไหว้พระไหว้สวรรค์ของท่านป้าใหญ่มิใช่รึ ? ทำไมพี่ชายใหญ่ถึงไม่รู้จักมารยาทเช่นนี้ เมื่อกลับถึงบ้านก็ควรมาคารวะท่านย่าก่อนสิ” พูดเสร็จ กงหว่านราวกับตระหนักได้ว่าตัวเองพลั้งปากพูดออกไปจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากแล้วรีบอธิบายกับนายท่านหญิงตี๋ทันที “ท่านย่าเจ้าคะ ท่านอย่าคิดมากเลย พี่ชายใหญ่คงไม่ได้ตั้งใจจะไม่มาเคารพท่านย่าอย่างแน่นอน พี่ชายใหญ่กับท่านป้าใหญ่สองแม่ลูกเขาไม่ได้เจอกันมาสิบปี พี่ชายใหญ่จึงไปดูท่านป้าใหญ่ก่อน จากนั้น…”
นายท่านหญิงตี๋พยายามระงับอารมณ์โกรธ “ข้าเองก็ไม่ได้เจอหลานชายคนโตมาสิบปีแล้วเช่นกัน! ข้าคิดว่าเจ้าเด็กบ้านั่นคงไม่เห็นว่าข้าเป็นย่าถึงได้ไม่สนใจกันเช่นนี้!” เมื่อพูดถึงจุดโกรธ นายท่านหญิงตี๋ก็ตบโต๊ะเล็กประกายเลื่อมเปลือกหอยสีดำข้างกายอย่างแรง
กงหว่านรีบดึงมือของนายท่านหญิงตี๋ด้วยท่าทางปวดใจ “ท่านย่า! โปรดระวังมือของท่านย่าด้วยเจ้าค่ะ จุดที่พี่ชายใหญ่ทำไม่ถูก ท่านย่าค่อยว่าเขาในตอนหลังก็ได้หนิเจ้าคะ เหตุใดต้องทำร้ายมือตัวเองเช่นนี้ ท่านย่าต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดี ๆ นะเจ้าคะ”
ด้านหนึ่งเป็นหลานสาวกตัญญูที่อ้อนวอนให้ดูแลร่างกายทั้งน้ำตา อีกด้านเป็นหลานชายอกตัญญูที่ไม่ได้กลับบ้านมานานแต่ไม่ยักมาคารวะกันหลังจากกลับมา เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว นายท่านหญิงตี๋รู้สึกแน่นหน้าอกและรู้สึกโกรธจัด
“ช่างเถอะ! เขาปีกกล้าขาแข็งจนจำย่าอย่างข้าไม่ได้แล้ว!” นายท่านหญิงตี๋ปาถ้วยชาด้วยความโกรธขึ้ง “ฝากบอกเขาด้วยว่าแม่ทัพกงมีสถานะสูงส่ง คนแก่อย่างข้าจะมีคุณสมบัติพบหน้าแม่ทัพใหญ่อย่างเขาได้ยังไง! วันนี้ไม่ต้องจงต้องเจอกันแล้ว ข้าไม่อยากเจอหน้าใครทั้งนั้น!”
“ไอ้ยา! ท่านย่า… ท่านย่าทำไมต้อง…” กงหว่านกล่อมท่านย่าของนางด้วยท่าทางร้อนใจ แต่นายท่านหญิงตี๋กลับไม่หวั่น
“หว่านเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กกตัญญูและเข้าใจอะไรได้ง่าย แต่ข้าตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดแทนพี่ชายใหญ่เลว ๆ ของเจ้า!”
นายท่านหญิงตี๋สะบัดผ้าเช็ดหน้าแล้วจับแขนของสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างเพื่อลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดเสียงดุดัน “ข้าจะไปพักผ่อนในห้อง ไม่เจอใครทั้งสิ้น!”
“ท่านย่า!” กงหว่านยืนทื่ออยู่กับที่อย่างไร้ซึ่งหนทาง แต่ทว่าหลังจากที่สาวใช้ทางฝั่งของนายท่านหญิงตี๋ไปจากที่นี่แล้ว นางก็ค่อย ๆ เก็บท่าทางร้อนใจ ก่อนที่รอยยิ้มลำพองใจปรากฏตรงมุมปากของนาง สุดท้ายนางก็พูดกับกงจิ้งที่ยืนเงียบอยู่ข้าง ๆ “น้องสาว เราเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยดีจริง หึ ๆ เจ้ากับข้าเราเข้ากันได้เป็นอย่างดี”
“ท่านพี่ช่างเฉลียวฉลาดมาก” กงจิ้งพูดพลางก้มหน้า
กงหว่านสะบัดผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างลำพองใจ “เป็นพี่ชายใหญ่พิการ ๆ ของเราคนนั้นไม่ดีเอง ในเมื่อขาขยับไม่ได้แล้วก็ควรดิ้นรนทุรนทุรายรอความตายอยู่ข้างนอก แต่ไม่รู้ว่าโชคดีอะไรถึงรักษาขาจนหายดีเช่นนั้นได้ แต่ไม่เป็นไร เพราะตำแหน่งเจ้าของจวนโฮ่วตกอยู่ที่พ่อของข้าแล้วและมันไม่เกี่ยวอะไรกับเขา แม้ว่าเขาจะกลับมาก็คงไม่ได้อาหารที่แบ่งแม้แต่ครึ่งถ้วย”
กงจิ้งยิ้มจาง ๆ “ท่านพี่พูดถูก โดยเฉพาะหลังจากที่กระจ่ายข่าวในวันนี้ ทุกคนจะรู้ว่าลูกชายคนโตจากสายหลักของจวนติ้งกั๋วโฮ่วทั้งไร้มารยาทและหยาบคาย กลับบ้านมาวันแรกก็ทำให้ท่านย่าโกรธเสียแล้ว… หลังจากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป ทุกคนจะรู้สึกว่าทายาทคนก่อนของจวนติ้งกั๋วโฮ่วที่เคยพิการคนนั้นสูญเสียจรรยาบรรณไปในช่วงสิบปีที่เขาอยู่ข้างนอก และเมื่อมีชื่อเสียงที่ไม่ดีอะไรแพร่กระจายออกไปเพิ่มเติม พวกเขาก็คงไม่รู้สึกแปลกใจอะไรอีก”
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วสิ” กงหว่านปรบมือพร้อมยิ้ม “ข้าจะรอดูเลยว่าทายาทคนก่อนที่มีชื่อเสียงย่ำแย่คนหนึ่งจะสามารถแย่งตำแหน่งติ้งกั๋วโฮ่วกลับไปจากมือพ่อข้าได้ยังไง!”
……
รถม้าของกงจี้หยุดที่ประตูพระจันทร์ของบ้านด้านหลัง ขณะเดียวกันพ่อบ้านที่มาต้อนรับคุกเข่าลงกับพื้น
กงจี้พลิกตัวลงจากหลังม้าแล้วหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าม้า ก่อนจะยื่นมือออกไป “ลงมาเถอะ”
ม่านประตูรถม้าเลิกออก มือเรียวยื่นออกมาจากในรถม้าและวางไว้บนมือของกงจี้ สาวน้อยร่างเพรียวกระโดดลงจากรถม้าด้วยการยืมแรงจากมือของเขา
สาวใช้คนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นนานแล้วลอบเงยหน้าขึ้นมามองและต้องตกใจจนเกือบพูดไม่ออกเลยทีเดียว
เนื่องจากย้อนแสงจึงทำให้เห็นใบหน้าของสาวน้อยไม่ชัด เห็นเพียงแค่แสงที่ส่องออกมาจากปิ่นปักผมหยกเลื่อมดอกไม้ที่มีไข่มุกห้อยไปมาเท่านั้น
หยกเขียวบริสุทธิ์ราวกับน้ำนั้น แม้จะอยู่ไกลไปหน่อยแต่ก็ทำให้คนที่ได้มองไม่สามารถเบนสายตาไปทางอื่นได้เลย ประกอบกับกระโปรงฤดูหนาวผ่าหน้าปักเลื่อมสีมรกตที่อยู่บนร่างบาง ไม่เพียงแต่ไม่มีความอ้วนกลมตามแบบการแต่งกายในฤดูหนาวแล้ว และยังทำให้รูปร่างดูผอมเพรียวขึ้นอีกด้วย สาวน้อยดูเหมือนนางฟ้าที่บินออกจากภูเขาและผืนน้ำสีเขียวอย่างไรอย่างนั้น
สาวใช้มองปราดหนึ่งและไม่กล้ามองอีก นางก้มหน้าพูดพึมพำในใจว่าแม่นางคนนี้เป็นบุตรสาวจากบ้านไหนกัน คนธรรมดาไม่สามารถแต่งกายเช่นนี้ได้ แม่นมของนางไม่ได้สอนหลักการพื้นฐานที่สุดนี้แก่นางรึ…?