แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 656 ชีวิตในชิงหวา
ตอนที่ 656 ชีวิตในชิงหวา
พ่อไป๋ ไป๋เซี่ย และไป๋ลู่ยืนอยู่ที่ทางเข้าโรงแรมและมองไปโดยรอบ
เมื่อเห็นหลินม่ายกำลังปั่นจักรยานคันใหม่ พ่อไป๋ก็เผยท่าทางรู้สึกผิด “ดูสิ ทำไมพ่อถึงไม่คิดจะซื้อจักรยานใหม่ให้ลูกเลยนะ จักรยานราคาเท่าไหร่? พ่อจะออกเงินให้” เขากล่าวพลางหยิบกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกง
แม่ไป๋พาไป๋ซวงมาดื่มกินในงานเลี้ยงของหลินม่ายด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นดังนั้น หล่อนก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “คงจะเป็นการดีกว่าหากไม่ใช้เงินมากมายไปกับสิ่งไร้สาระ คู่หมั้นของม่ายจื่อรวยถึงขนาดซื้อบ้านราคาแพงให้หล่อนได้ คิดว่าจักรยานแค่นี้คจะไม่มีปัญญาซื้อเหรอคะ? ฉันกำลังมองหามหาวิทยาลัยสำหรับซวงเอ๋อร์และต้องจ่ายค่าเทอมอีกตั้งแพง เก็บเงินนั้นไว้ให้ซวงเอ๋อร์ไปเรียนดีกว่าค่ะ”
หลังจากพูดจบ หล่อนก็กลัวพ่อไป๋จะไม่ให้เงิน จึงกล่าวเสริม “ไม่ว่าซวงเอ๋อร์จะเป็นเช่นไร หล่อนก็เป็นลูกสาวที่เราเลี้ยงดูมาสิบเก้าปีนะคะ!”
ไป๋ซวงดึงแม่ไป๋ “แม่ อย่าพูดแบบนั้นสิคะ หนูจะเทียบกับม่ายจื่อได้ยังไง หล่อนเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อนะคะ”
ไป๋เซี่ยและไป๋ลู่กลอกตาพร้อมกัน
หากไม่ใช่เพราะกลัวจะทะเลาะกันจนเป็นที่อับอายแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน พี่น้องไป๋ก็หวังว่าพวกเขาจะเอาชนะไป๋ซวงได้
หญิงคนนี้ช่างมีเล่ห์เหลี่ยมมากมายเสียจริง!
แม่ก็อีกคน ที่ในใจมีเพียงไป๋ซวง!
พ่อไป๋ไม่สนใจภรรยา เขานับเงินในกระเป๋าซึ่งมีทั้งหมดเพียงหนึ่งร้อยหยวน แล้วยื่นให้หลินม่ายและพูดด้วยสีหน้าแน่วแน่ “พ่อมีเงินอยู่ในมือเพียงเท่านี้ ลูกเอาไปก่อน แล้วพ่อจะให้เงินอีกร้อยหยวนในภายหลัง”
หลินม่ายรับเงินหนึ่งร้อยหยวนพลางกล่าวด้วยความดีใจ “ขอบคุณค่ะพ่อ”
แม่ไป๋และไป๋ซวงเดินผ่านไปพลางจ้องมองเธอด้วยหางตา แสดงออกชัดถึงความรังเกียจ
หลินม่ายไม่สนใจเงินเล็กน้อยของพ่อไป๋ แต่เธอเพียงต้องการทำให้แม่ไป๋และไป๋ซวงขุ่นเคือง ดังนั้นเธอจึงรับไว้
เมื่อเห็นใบหน้าของพวกเธอเต็มไปด้วยด้วยความโกรธ หลินม่ายก็รู้สึกมีความสุขมาก
พ่อไป๋ลูบศีรษะเธอด้วยความรักและพูดด้วยรอยยิ้ม “ลูกไม่จำเป็นต้องขอบคุณพ่อสักนิด”
เมื่อเขาหันไปหาแม่ไป๋ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปแล้ว และแทนที่ด้วยความเย็นชา “จะซื้อให้หรือไม่อย่างไรก็เป็นเรื่องของเสี่ยวฟาง แต่นี่คือเงินที่ผมต้องการมอบให้ลูกสาวของผม ไป๋ซวงเป็นลูกสาวที่ผมเลี้ยงมาสิบเก้าปีงั้นเหรอ? ผมให้เงินหล่อนมากพอแล้ว แล้วทำไมผมจะให้เงินกับลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองไม่ได้? ผมแค่อยากให้เงินซื้อจักรยานให้กับม่ายจื่อ หากคุณอยากจ่ายเงินทั้งหมดเพื่อไป๋ซวงก็จงใช้เงินของตัวเอง อย่าลากผมเข้าไปเกี่ยวด้วย ผมไม่ใช่คนที่ต้องการรั้งหล่อนไว้ในบ้านของตระกูลไป๋!”
แม่ไป๋โกรธมาก แต่จำต้องวางท่าสง่างามในที่สาธารณะ
หากแขกข้างในได้ยินหล่อนทะเลาะกับสามี พวกเขาจะต้องหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน!
แม่ไป๋พาไป๋ซวงเข้าไปในโรงแรมและกระซิบ “อย่ากลัวไปนะลูก ถึงพ่อของลูกจะไม่สนใจลูก แต่แม่อยู่เคียงข้างลูกเสมอ”
ไป๋ซวงกล่าวด้วยแววตาน่าสงสาร “ขอบคุณค่ะแม่ แม่ใจดีกับหนูมาก”
ทว่าลับหลังกลับลอบเบ้ปากอย่างดูถูกเหยียดหยาม
เงินเดือนครูต๊อกต๋อยคนหนึ่งก็แค่หนึ่งร้อยหยวน กระทั่งจะนำไปซื้อเนื้อกินยังทำไม่ได้
ไม่เหมือนพ่อไป๋ ต่อให้เขาจะเป็นเพียงรองประธาน แต่รายได้ต่อเดือนของเขาอยู่ที่เจ็ดหรือแปดร้อย
แม่ไป๋กล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าเด็กโง่ แม่ก็ต้องดีกับลูกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
ไป๋ซวงกลอกตา “แม่คะ ถ้าแม่ไม่มีเงินให้หนูเรียน ไปขอยืมคุณตาคุณยายก็ได้นี่คะ”
แม้ว่าตายายจะเกษียณอายุแล้ว แต่พวกเขาก็ได้รับการว่าจ้างจากหน่วยงาน
เงินเดือนเกษียณบวกรายได้ต่อเดือนไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อยเลย
หากผู้เฒ่าสองคนเต็มใจช่วยพวกหล่อน แม้ว่าพ่อไป๋จะไม่สนใจ หล่อนกับแม่ไป๋ก็อยู่ร่วมกันได้
แม่ไป๋พยักหน้า “แม่จะยืมเงินตากับยายทีหลัง ตายายของลูกจะให้ยืมอย่างแน่นอน และคงไม่ต้องให้เราจ่ายคืนด้วย”
หล่อนไม่เคยคิดที่จะขอยืมเงินพ่อแม่ของตัวเองมาก่อน เพราะครอบครัวไม่เคยขาดเงิน
แต่วันนี้หล่อนจำเป็นต้องยืม เพราะไม่ต้องการพึ่งพาสามีอีกต่อไป
ต่อให้คุณไป๋หมิงหยวนจะไม่ให้เงินไป๋ซวงไปโรงเรียน แต่หลัวซินอี๋ก็มีวิธีหาเงินด้วยตัวเอง!
เมื่อเห็นว่าแม่ไป๋ถูกหลอกอย่างง่ายดาย ไป๋ซวงก็รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก
หลินม่าย พ่อไป๋ ไป๋เซี่ย และไป๋ลู่ยืนอยู่ที่ทางเข้าโรงแรมเพื่อต้อนรับแขก
จู่ ๆ ไป๋ลู่ก็เอ่ยถามหลินม่าย “เมื่อวานเธอไปมหาวิทยาลัยเพื่อรายงานตัว ทำไมไม่โทรหาเราล่ะ?”
หลินม่ายตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
เมื่อวานเธอแอบไปยังมหาวิทยาลัยชิงหวาเพื่อรายงานตัวอย่างเงียบงัน ไป๋ลู่รู้ได้อย่างไร?
หลินม่ายเกาคิ้ว “จั๋วหรานส่งเอกสารและใบรับรองทั้งหมดให้ฉันแล้ว เมื่อวานฉันบังเอิญมีธุระใกล้มหาวิทยาลัยชิงหัว ก็เลยถือโอกาสไปรายงานตัวเลย พี่รู้เรื่องนี้ได้ยังไงกันคะ?
ไป๋เซี่ยพูดแทรก “เธอรู้เรื่องดีเสียยิ่งกว่าใคร! เมื่อวานนี้ตอนที่เธอไปมหาวิทยาลัยชิงหวาเพื่อรายงานตัว ก็มีข่าวว่านักเรียนอันดับหนึ่งตัวจริงได้พบกับนักเรียนอันดับหนึ่งตัวปลอม และเรื่องนี้จะถูกตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์วันนี้ แน่นอนว่าไม่เคยมีใครรู้เรื่องนี้ แม้แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องก็ไม่เคยรู้มาก่อน”
“หา! ถูกตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์แล้ว!” หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจ
เธอเดาไม่ออกว่าใครเป็นคนรายงานเรื่องนี้กับสำนักข่าว
อธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยชิงหัวหรือใครคนไหนกันแน่?
ตอนเช้าเธอยุ่งเกินกว่าจะอ่านหนังสือพิมพ์ มิฉะนั้น เธออาจสามารถบอกได้ว่าใครเป็นคนลงหนังสือพิมพ์โดยการอ่านบทความ
“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีใครกล้าสวมรอยเป็นเธอและไปรายงานตัวยังมหาวิทยาลัย!”
พ่อไป๋พูดถึงเรื่องนี้ด้วยท่าทางไม่พอใจ “โชคดีที่มหาวิทยาลัยชิงหวาจัดการได้ดี มิฉะนั้นพ่อคงต้องไปขอคำอธิบายจากที่นั่นอย่างแน่นอน”
หลินม่ายใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อเอ่ยถาม “มหาวิทยาลัยชิงหัวจัดการกับเรื่องนี้ยังไงเหรอคะ?”
“พวกเขาส่งรายชื่อผู้แอบอ้างไปให้กับตำรวจพร้อมระดมครูและนักเรียนทั้งหมดเขียนคำร้องนับหมื่นคน ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังเรียกร้องให้ผู้แอบอ้างถูกลงโทษอย่างรุนแรง คนหนึ่งพยายามแทบตายเพื่อให้ได้เข้ามหาวิทยาลัย แต่อีกคนกลับแอบอ้างเข้าไปเรียนแทนอย่างง่ายดาย สมควรได้รับบทลงโทษสถานหนัก! พ่อขอเรียกร้องให้ผู้แอบอ้างเหล่านี้ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต!”
เมื่อคิดว่าลูกสาวคนเล็กของเขาเกือบจะถูกคนอื่นปลอมตัวไปเรียนที่มหาวิทยาลัย พ่อไป๋ก็ทั้งกลัวและโกรธในเวลาเดียวกัน
หลินม่ายแอบชื่นชมมหาวิทยาลัยชิงหวาในใจ
สมกับคำร่ำลือว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ พวกเขามีไหวพริบและสามารถจัดการปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
ทันทีที่มีการตีพิมพ์คำร้องของประชาชนนับหมื่นในหนังสือพิมพ์ ว่านฮุ่ยอาจถูกควบคุมตัวอย่างสูงสุดเพียงครึ่งเดือนหรือควบคุมตัวเป็นเวลาครึ่งปี
ในท้ายที่สุดหล่อนก็ถูกจับกุมตัว แต่เนื่องจากการปลอมตัวครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรง ดังนั้นโทษที่ได้รับจึงไม่หนักหนา
หากถูกตัดสินให้ได้รับโทษสูงสุดก็อาจจำคุกเพียงสามปี แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องการให้หล่อนได้กินนอนในคุกนานที่สุด!
เป็นเพราะบทลงโทษทางกฎหมายของการแอบอ้างเป็นบุคคลอื่นเพื่อเข้าเรียนนั้นไม่เข้มงวด ผู้คนจำนวนมากจึงกล้าเสี่ยง
หลินม่ายหวังว่าเรื่องราวของว่านฮุ่ยจะเป็นกรณีศึกษาให้ใครหลายคนที่คิดวางแผนร้ายเพื่อสวมรอยเป็นผู้อื่น
พ่อ ลูกชาย พี่ชาย และน้องสาวคอยต้อนรับแขกและพูดคุยกันเป็นครั้งคราว ครอบครัวของไป๋เหยียน พี่สาวคนโต และพ่อแม่สามีเธอก็มาด้วย
แม่สามีของไป๋เหยียนกำลังอุ้มเด็กชายตัวเล็ก ๆ ซึ่งแก่กว่าเถียนเถียนประมาณหนึ่งปีไว้ในอ้อมแขนของนาง
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินม่ายได้เห็นพ่อแม่สามีของไป๋เหยียนซึ่งเป็นพี่สาวคนโต
หลินม่ายได้ยินจากไป๋ลู่ว่าแม่สามีของไป๋เหยียนยึดคติชายเป็นใหญ่อย่างเหนียวแน่น
ก่อนที่ไป๋เหยียนจะให้กำเนิดเถียนเถียน แม่สามีก็ไม่ได้เลวร้ายกับหล่อน
เนื่องจากครอบครัวของไป๋เหยียนและพ่อแม่ของสามีอยู่ไม่ไกลกันนัก สินสอดในตอนนั้นจึงไม่ได้แพงมากมาย
แต่หลังจากไป๋เหยียนให้กำเนิดเถียนเถียน พ่อสามีของหล่อนก็ยังมีท่าทางเหมือนเดิม แต่แม่สามีกลับไม่ชอบไป๋เหยียนขึ้นมา
แม่สามีไม่เคยช่วยดูแลสะใภ้หรือหลานสาวเลย อีกทั้งยังหวังให้ลูกสะใภ้ลุกขึ้นปรนนิบัตินาง!
นางยังคงตำหนิและต่อว่าลูกสะใภ้ในทุกวัน และเกือบวางแผนทำให้ลูกชายคนโตหย่าร้างกับไป๋เหยียน
แม้ว่าหลินม่ายและไป๋เหยียนจะได้พบกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่เนื่องจากความสัมพันธ์ทางสายเลือด หากมีใครปฏิบัติต่อไป๋เหยียนไม่ดี เธอก็จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นไม่ดีเป็นธรรมดา
หลินม่ายทักทายพ่อและแม่สามีของไป๋เหยียนอย่างสุภาพ จากนั้นหยิบชิ้นจี้ทองที่ทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเถียนเถียนออกมาและสวมให้หลานสาวก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ชอบไหมคะ?”
เธอกระทำสิ่งนี้โดยเจตนา เพียงเพื่อทำให้แม่หยางไม่พอใจ
แม่หยางไม่ชอบเถียนเถียนงั้นเหรอ?
เช่นนั้นครอบครัวไป๋จะเอาอกเอาใจเถียนเถียนและปฏิบัติต่อเถียนเถียนเหมือนเจ้าหญิงตัวน้อย!
เถียนเถียนยังพูดไม่ได้ หล่อนจึงใช้มือเล็ก ๆ แตะจี้ทองคำนั้นและร้องอ้อแอ้แสดงความชอบใจ
แม่หยางถาม “จี้ทองนี่เป็นทองแท้หรือทองชุบ?”
หลินม่ายพูดอย่างมุ่งร้าย “แน่นอนว่าเป็นทองคำแท้ค่ะ”
ดวงตาของแม่หยางสว่างวาบราวหลอดไฟทันที พลางเอื้อมมือไปหยิบจี้ทองคำนั้น “เด็กผู้หญิงจะใส่จี้ทองคำแบบนี้ได้ยังไง เอามาให้เป่ยเป่ยใส่ดีกว่า”
เป่ยเป่ยคือเด็กชายตัวเล็กในอ้อมแขนของนาง หลานชายตัวอ้วนที่เกิดจากสะใภ้เล็กของบ้าน
เมื่อเห็นคุณย่าขโมยของของตนไป เถียนเถียนก็ร้องไห้ออกมา
แขกที่ไม่ทราบสถานการณ์เห็นถามด้วยรอยยิ้ม “ร้องไห้ทำไม? อยากได้ขนมเหรอ? เดี๋ยวฉันไปเอาขนมมาให้นะ”
“ไม่ใช่ค่ะ” หลินม่ายหัวเราะอย่างไม่มีพิษภัยและบอกแขกถึงเหตุผลที่เถียนเถียนร้องไห้
แขกมองแม่หยางด้วยแววตาแปลกประหลาด จนนางรู้สึกอึดอัด และกล่าวขึ้นทันที “ลูกสาวคนเล็กของตระกูลไป๋ที่เติบโตจากครอบครัวอื่น เมื่อลองเปรียบเทียบดูแล้วเธอเทียบพี่สาวไม่ได้เลยสักนิด ว่ากันว่าไม่ควรเผยแพร่ความอัปยศของครอบครัว แต่ฉันก็คงไม่ทำแบบนี้ถ้าเธอไม่พูดแบบนั้นกับแขก”
พ่อไป๋รู้สึกโมโหในทันที
ภรรยาของเขาเป็นคนปัญญาอ่อนชัดๆ ที่คิดปกป้องลูกสาวบุญธรรมและปฏิบัติต่อลูกสาวของตัวเองอย่างอยุติธรรม ทั้งยังปล่อยให้ลูกสาวคนโตต้องทนทุกข์ทรมานในบ้านของสามีแบบนี้
ไฟโทสะในใจของเขาที่ถูกระงับเป็นเวลานานพลันปะทุขึ้นทันที
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ขนาดลูกสาวบุญธรรมตัวดียังมองออกเลยว่าเงินเดือนแม่เท่าหางเต่าจะเอาอะไรมาเลี้ยงดูได้ มันเสียเกียรติคนเป็นครูไหมเนี่ยยัยแม่ไป๋
ไม่ชอบใจเลยกับการที่แม่สามีเห็นหลานชายดีกว่าหลานสาวแล้วข่มเหงสะใภ้ เมื่อไหร่กันนะที่ผู้หญิงด้วยกันจะเลิกส่งต่อค่านิยมบ้งๆ นี่ไปสู่รุ่นต่อรุ่นเสียที
ไหหม่า(海馬)