แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1039 กลับบ้านไปขอเงินพ่อแม่
ตอนที่ 1039 กลับบ้านไปขอเงินพ่อแม่
ตอนที่ 1039 กลับบ้านไปขอเงินพ่อแม่
ไม่กี่วันต่อมา มีแขกคนหนึ่งมาที่บ้านของหยางสื่อจวี๋ ซึ่งเป็นญาติจากหมู่บ้านของหล่อน
เขาเข้ามาในเมืองหลวงเพราะมาขายไข่
เพราะไม่สามารถจ่ายค่าโรงแรมได้ เขาจึงมาขอพักที่บ้านของหยางสื่อจวี๋หนึ่งคืน
หยางสื่อจวี๋ไม่มีความสุขที่ญาติห่าง ๆ ผู้ไม่เคยช่วยเหลือใด ๆ โผล่มาเพื่อกินและดื่มฟรี ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
ใครบอกให้ญาติห่าง ๆ นี้อยู่หมู่บ้านเดียวกันกับพ่อแม่พี่น้องของหล่อนกัน? ถ้าหล่อนไม่ดูแลเขา พ่อแม่ของหล่อนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
หยางสื่อจวี๋ไม่ได้ปรุงเนื้อสัตว์อะไรเลยสำหรับมื้อเย็น หล่อนผัดผักใบเขียวคู่กับหมั่นโถวเท่านั้น
หยางสื่อจวี๋ยกยิ้มอย่างขอโทษ “ตั้งแต่ลี่ซินจากไป ครอบครัวก็ขาดรายได้ และยังเป็นหนี้ธนาคารเพราะเสียค่ารักษาพยาบาลด้วย วันนี้ฉันเลยเลี้ยงอาหารง่าย ๆ กับคุณ โปรดอย่าถือสาเลยนะ”
แขกคนนั้นยกยิ้มก่อนจะตอบกลับ “เท่านี้ก็ดีมากแล้ว”
จากนั้นจึงบอกกล่าวกับหยางสื่อจวี๋ด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบว่า ครอบครัวของพ่อแม่เธอร่ำรวยใหญ่แล้ว พวกเขามีเงินมากพอจะสร้างบังกะโลหลังเล็ก และยังวางแผนว่าจะสร้างบ้านสามชั้นสไตล์ตะวันตกด้วย
สามีของหยางสื่อจวี๋เสียชีวิตแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เธอจะต้องเลี้ยงดูลูกวัยสามขวบครึ่งนี้ด้วยตัวเอง แขกคนนี้จึงแนะนำให้หล่อนหอบลูกไปให้แม่ช่วยเหลือ
คำพูดของแขกคนนี้สมเหตุสมผลมาก “ตอนนี้เธอก็แค่ขอให้ครอบครัวช่วยเหลือ หลังจากลูกของเธอโตขึ้นอีกไม่กี่ปี พวกเขาก็จะช่วยเหลือครอบครัวได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นหนี้บุญคุญอะไรหรอก”
ใบหน้าของหยางสื่อจวี๋กลายเป็นบิดเบี้ยว แต่แขกกลับไม่สังเกตเห็นเรื่องนั้น เอาแต่พูดเรื่องบ้านหลังใหญ่สามชั้นสไตล์ยุโรปที่ครอบครัวแม่ตนกำลังจะสร้าง อีกทั้งชั้นหนึ่งยังครอบคลุมพื้นที่กว่า 200 ตรม.
วันถัดมา แขกออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ และในตอนเที่ยงหยางสื่อจวี๋นั่งรถไฟกลับไปที่บ้านพ่อแม่
หลังจากนั่งรถไฟหลายชั่วโมง หล่อนก็เดินอยู่บนถนนตัดผ่านภูเขาหลายชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน
จวบจนหกโมงเย็น และพระอาทิตย์ตกดินแล้ว
ลมหนาวพัดผ่าน และไม่มีผู้คนอยู่นอกบ้านเลย
มีเพียงสุนัขไม่กี่ตัวเท่านั้นที่ได้ยินเสียงฝีเท้าคนแปลกหน้า ก่อนจะเริ่มส่งเสียงเห่าเพื่อให้เจ้าของออกมาดูด้านนอกว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่
ทันทีที่เห็นว่าหยางสื่อจวี๋กลับมาที่บ้านของพ่อแม่อย่างเร่งรีบ ชาวบ้านเหล่านั้นถึงกับสับสนและคิดสงสัยว่าทำไมหยางสื่อจวี๋ถึงกลับมามืดป่านนี้?
พ่อแม่ของหยางสื่อจวี๋มีลูกชายหนึ่งคน ลูกสะใภ้ และหลานสามคน พวกเขากำลังจะรับประทานอาหารเย็น จู่ ๆ เมื่อหยางสื่อจวี๋มาที่บ้าน ทุกคนตื่นตระหนกทันที
เป็นแม่หยางที่เคลื่อนไหวรวดเร็วที่สุด นางต้อนรับหยางสื่อจวี๋เข้าบ้านอย่างอบอุ่น ก่อนจะถามว่าอีกฝ่ายกินข้าวเย็นหรือยัง ถ้ายัง ก็ให้รับประทานอาหารพร้อมกัน
คนอื่น ๆ ลุกขึ้นจากที่นั่ง และเสิร์ฟข้าวให้หล่อนอย่างกระตือรือร้น
หยางสื่อจวี๋กล่าวเสียงเข้ม “ไม่ต้องต้อนรับหรอก ฉันแค่มาเอาเงินของฉัน”
พ่อหยางและแม่หยางสบตากัน
แม่หยางพูดว่า “อ้าว ไม่ใช่ว่าเธอเอาเงินมาเก็บไว้ที่บ้านหรอกหรือ? เพราะเก็บไว้กับตัวเองไม่ปลอดภัย แล้วทำไมจู่ ๆ จะมาเอากลับไปล่ะ?”
หยางสื่อจวี๋เหน็บแนมทันที “แต่ดูเหมือนว่าถ้าฉันฝากเงินไว้ที่นี่นานเกินไป แม่ก็คงจะใช้มันจนหมดไม่เหลือสักแดงเดียว”
หล่อนกลอกตามองทุกคน “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าพวกแม่กำลังใช้เงินของฉันเพื่อสร้างอาคารสไตล์ตะวันตกนะ!”
แม่หยางและคนอื่น ๆ ไม่คิดว่าหยางสื่อจวี๋จะรู้เรื่องอาคารตะวันตกเร็วขนาดนี้
พวกเขาคิดว่าหยางสื่อจวี๋จะไม่รู้จนกว่าบ้านจะถูกสร้างจนเสร็จ
อย่างไรก็ตาม บ้านของพ่อแม่หล่อนยังห่างไกลจากเมืองหลวงมาก ดังนั้นมันจึงไม่ควรจะกระทบใบหูของหยางสื่อจวี๋รวดเร็วเช่นนี้
เมื่อถึงตอนนั้น บ้านก็ถูกสร้างเสร็จแล้ว เงินก็จะถูกใช้จนหมด และหยางสื่อจวี๋จะไม่เกี่ยวข้องหรือเรียกร้องอะไรได้เลย
แต่ตอนนี้บังกะโลสามชั้นสไตล์ตะวันตกเพิ่งสร้างได้เพียงครึ่งชั้น หยางสื่อจวี๋ก็มาขอเงินเสียแล้ว
แม่หยางโต้แย้ง “ก็แค่ยืม ไม่ใช่ขอ ตอนนี้ลูกชายของเธอยังเด็กมาก แล้วถ้าเราไม่สร้างบ้านใหม่ เราจะหาภรรยาให้เขาได้ยังไง? เราจะคืนเงินที่เราใช้สร้างบ้านให้ เธอไม่ต้องพูดให้มากความหรอก!”
“พวกแม่จะคืนให้ฉันเหรอ? ฉันกลัวว่าคงจะรอถึงวันนั้นไม่ไหว สุดท้ายแล้วถ้าแม่อยากจะใช้เงินฉันสร้างบ้านใหม่ ก็ควรพูดคุยกับฉันก่อน แล้วแม่ทำแบบนั้นไหมล่ะ?”
แม่หยางเริ่มหงุดหงิด “บอกไปแล้วจะให้ไหม?”
พี่สะใภ้หยางพูดขึ้นว่า “น้องสาว เธออย่าใจดำนักเลย
ตอนที่เธอเสวยสุขอยู่ในเมืองหลวง เธอไม่ได้ช่วยเหลือครอบครัวพวกเราแม้แต่น้อย แล้วตอนนี้เรากำลังดูแลคุณอยู่ไหม? ตราบใดที่เธอกลับมาที่บ้าน พวกเราจะปล่อยปะละเลยเธอได้ไง? ไม่มีเงินก็ไม่เป็นไรหรอก แต่สุดท้ายเธอมีเงินมากมาย แล้วเจียดส่วนเล็ก ๆ มาสร้างบ้านไม่ได้เหรอ? อย่าสร้างปัญหานักเลย! ดูผู้หญิงที่แต่งงานแล้วในหมู่บ้านสิ หากพ่อแม่ต้องการจะสร้างบ้าน ใครบ้างที่ไม่มอบเงินให้?”
ไม่ว่าหยางสื่อจวี๋จะกลับมาหาครอบครัวด้วยตัวเอง หรือกลับมาพร้อมกับสามีและลูก ครอบครัวให้กำเนิดของหล่อนก็ต้อนรับอย่างดีเสมอมา สุดท้ายแล้วหล่อนเองก็นำของขวัญมาให้มากมาย
พี่สะใภ้บอกว่าหล่อนไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ ซึ่งมันจะดูไม่ยุติธรรมกับหล่อนมากไปหน่อย
สุดท้ายเมื่อคิดว่าคงไม่มีวันได้เงินที่ถูกใช้ไปแล้วกลับคืนมา หยางสื่อจวี๋ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากพูดว่า “เอาล่ะ เงินส่วนที่ใช้ไปแล้วก็แล้วกันไป เหลือเท่าไหร่ก็ส่งมาให้ฉัน”
แม่หยางและคนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากัน
หยางสื่อจวี๋มอบเงินหนึ่งแสนหยวนให้กับพวกเขา แต่ตอนนี้พวกเขาเพิ่งใช้มันเพียงไม่ถึงหนึ่งพันหยวน และสร้างบ้านได้เพียงครึ่งชั้นเท่านั้น
หากคืนเงินทั้งหมดให้กับหยางสื่อจวี๋ พวกเขาจะต้องประสบความโชคร้ายครั้งใหญ่
พี่สะใภ้หยางไม่พอใจมาก ก่อนจะตะโกน “จะเอาเงินมากมายขนาดนั้นไปทำไม? หลานชายสามคนของเธอต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อแต่งงานกับภรรยาในอนาคต เราต้องเก็บเงินนี้ไว้ให้หลานชายแต่งงาน!”
หยางสื่อจวี๋โกรธจัด “นี่มันเงินของฉัน ฉันไม่ได้ขอเงินพี่ แล้วทำไมถึงไม่คืนมันมาให้ฉัน? พี่มีลูกชายคนเดียวเหรอ ฉันไม่มีลูกชายหรือไง? ลูกชายฉันไม่ต้องแต่งงานกับภรรยาหรือไง? แล้วฉันก็มีลูกสาวด้วยเหมือนกัน และฉันต้องเตรียมสินเดิมให้พวกหล่อนเมื่อแต่งงานออกไปแล้ว!”
แม่หยางพูดต่อว่า “เธอมีลูกชายแล้วยังไง? สามีเธอก็ได้รับบ้านจากสวัสดิการไม่ใช่เหรอ? นั่นคือบ้านเป็นมรดกสำหรับลูกชายเธอแล้วหรือเปล่า? อีกอย่างเธอไม่ต้องกังวลเรื่องสินเดิมของลูกสาวเลยนี่ ใช้ราคาเจ้าสาวแทนสินเดิมก็ได้แล้วไม่เห็นยากเลย?”
พ่อหยางที่เงียบมาตลอดพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ กินข้าวกันได้แล้ว อย่าทำลายมิตรภาพระหว่างกันเพราะเรื่องเงินเลย”
หยางสื่อจวี๋โกรธมากจนร้องไห้ออกมา “นั่นคือเงินที่ลี่ซินใช้ชีวิตของเขาแลกมา แต่คุณกลับไม่คิดจะให้ฉันสักแดงเดียว!”
พี่สะใภ้หยางกลอกตา “ในเมื่อรู้ว่ามันเป็นเงินสกปรก แต่เธอก็ยังกล้ารับเนี่ยนะ!”
สุดท้ายหยางสื่อจวี๋เห็นว่าคงไม่ได้รับเงินแล้ว หล่อนจึงตอบกลับว่า “เอาล่ะ พอแล้ว ฉันไม่อยากได้เงินแล้ว เดี๋ยวฉันจะไปสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความ และให้ตำรวจมาเอาเงินไป ไม่มีใครได้ใช้มันทั้งนั้นแหละ จบ!”
แม่หยางไม่มีทางเลือกนอกจากเกลี้ยกล่อมหล่อน โดยกล่าวว่าครอบครัวยากลำบากมากแค่ไหนและพูดต่อว่า “เอาล่ะ เธอคนเดียวไม่สามารถรับเงินก้อนใหญ่นี้ได้ งั้นเอาอย่างนี้ สำหรับหนึ่งแสนหยวน เราแบ่งกันคนละครึ่ง ตกลงไหม? แต่เธอต้องหยุดสร้างปัญหา และห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป มิฉะนั้นพวกเราทุกคนจะไม่ได้ใช้เงิน”
ถึงหยางสื่อจวี๋จะไม่เต็มใจ แต่หล่อนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับ
ชิ้นเนื้อในปากหล่อนถูกแม่ตัวเองแย่งไปครึ่งหนึ่ง แม่หยางในตอนนี้ก็โกรธมากเช่นกัน แต่ยังปรับกิริยาอาการให้เป็นปกติ พยายามชักชวนหยางสื่อจวี๋ให้รับประทานอาหารอย่างอบอุ่น
พี่สะใภ้หยางหยุดเกรี้ยวกราด ก่อนจะเดินเข้าครัวเพื่อทำไข่ตุ๋นเพิ่มให้กับหยางสื่อจวี๋
ภาพครอบครัวพลันอบอุ่นราวกับเมื่อครู่พวกเขาไม่ได้โต้เถียงกันเรื่องเงินมาก่อนเลย
แต่ไม่มีใครในครอบครัวสังเกตเห็นว่ามีเงามืดลอบบันทึกเสียงการพูดคุยอยู่นอกหน้าต่าง
เขาคนนั้นคือเหมาฉง หลังจากได้รับสิ่งที่ต้องการแล้ว เขาก็จากไปอย่างเงียบเชียบ
วันรุ่งขึ้น เมื่อหยางสื่อจวี๋จะกลับ ตำรวจได้มาหยุดยืนหน้าประตูก่อนจะพาหล่อนออกไป
หยางสื่อจวี๋ตื่นตระหนกจนกรีดร้องออกมา และพยายามดิ้นรนเพื่อจะหลุดจากการจับกุม ถามตำรวจว่าทำไมต้องพาหล่อนไป หล่อนไม่ได้ทำอะไรผิดกฏหมาย
หยางสื่อจวี๋รู้สึกสิ้นหวัง ก่อนจำต้องติดตามตำรวจไปท่ามกลางสายตาประหลาดใจของเพื่อนบ้านโดยรอบ
เมื่อมาถึงสถานีตำรวจ เขาเปิดเทปบันทึกเสียงที่เหมาฉงบันทึกเอาไว้ หลังจากนั้นจึงสอบปากคำ ซึ่งหยางสื่อจวี๋ก็ยอมรับสารภาพทุกอย่าง
เมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว กัวลี่ซินบอกหล่อนว่ามีใครบางคนจ่ายเงินให้เขาห้าหมื่นหยวน เพื่อแลกกับการใช้อุบัติเหตุทางรถยนต์ฆ่าใครบางคน แต่เขาต่อรองราคากับอีกฝ่ายไว้ที่หนึ่งแสนหยวน
ทว่าเงื่อนไขของอีกฝ่ายคือไม่เพียงแต่ต้องฆ่าเป้าหมายเท่านั้น แต่เขาจะต้องประสบอุบัติเหตุและตายตามไปด้วย
นั่นก็เพราะว่าคนตายพูดไม่ได้
หยางสื่อจวี๋ไม่ยินดี ทั้งคู่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันนับตั้งแต่แต่งงาน หล่อนทนไม่ได้ที่สามีจะยอมตายเพื่อเงินจำนวนนี้
แต่กัวลี่ซินบอกหล่อนว่าเขาป่วยหนักและมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ควรเอาชีวิตนี้แลกกับเงินแสนเพื่อให้หล่อนและลูกทั้งสี่คนอยู่อย่างสุขสบาย แม้เขาจะจากไปแล้ว หล่อนกับลูกคงจะเสียใจไม่นานนัก
หยางสื่อจวี๋และกัวลี่ซินกอดกันร้องไห้อย่างหนัก ก่อนที่หล่อนจะพยักหน้ารับในที่สุด
แม้ว่าหยางสื่อจวี๋จะรับสารภาพ แต่หล่อนก็ไม่รู้อยู่ดีว่าใครคือผู้บงการเบื้องหลังของเรื่องนี้ ดังนั้นคดีจึงไม่สามารถดำเนินต่อได้ สุดท้ายพวกเขาจึงต้องมานั่งค้นหาว่าพ่อไป๋มีศัตรูที่ไหนอีกหรือไม่
พ่อไป๋เป็นคนดี และแทบไม่มีศัตรูที่ไหน
หากจะนับว่าใครเป็นศัตรูกับเขา คนเดียวที่คิดออกคือพ่อของลวี่กั๋วต้ง
สุดท้ายตำรวจบุกไปสอบสวนสมาชิกทั้งสามของตระกูลลวี่ และพบว่าครอบครัวไม่มีเงินและแรงจูงใจที่จะฆ่าพ่อไป๋เลย
ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสองไม่ได้เกลียดชังกันถึงขั้นฆ่าแกง
และพ่อลวี่ก็ไม่สามารถจ่ายเงินกว่าหนึ่งแสนหยวนเพื่อฆ่าใครได้
สุดท้ายเผิงอันน่าคาดเดาว่าหรือจะเป็นชายหนุ่มสองคนที่วางแผนชั่วจะจัดการกับหล่อนครั้งล่าสุดหรือไม่?
หลินม่ายรู้สึกนึกสนใจขึ้นมาเมื่อได้ยิน
ทั้งเธอและพ่อไป๋ลืมเลือนสองคนนี้ไปเสียสนิทใจ
แม้พ่อไป๋จะทำลายแผนการของคนหนุ่มทั้งสอง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อกัน และพวกเขาไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยหลังจากเกิดเรื่องนั้น
หากสองคนนี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังจริง ๆ คงเป็นเรื่องยากหากจะให้นึกถึง
แต่เหตุผลที่เผิงอันน่านึกถึงจูซิ่งเซิ่งและหม่าฉุน เพราะพวกเขาคือคนที่มาถามหาหล่อนในห้องรับรอง
หล่อนคิดว่าจูซิ่งเซิ่งและหม่าฉุนต้องการจัดการหล่อน แต่ไม่คิดว่าเป้าหมายของพวกมันคือพ่อไป๋
หลินม่ายบอกเรื่องนี้กับตำรวจ
จูซิ่งเซิ่งและหม่าฉุนรู้ทุกอย่างในบ้านของหยางสื่อจวี๋
เมื่อหยางสื่อจวี๋ถูกจับ พวกเขาก็ทราบข่าวแล้ว
หม่าฉุนหวาดกลัวมาก และต้องการจะหนีเพราะกลัวว่าคดีนี้จะพัวพันกับตนเอง
แต่จูซิ่งเซิ่งไม่สนใจ สุดท้ายแล้วหยางสื่อจวี๋ไม่รู้ว่าพวกเขาบงการเบื้องหลังการฆาตกรรม และมั่นใจมากว่าตำรวจจะไม่มีวันพบหลักฐาน
หม่าฉุนไม่มีทางเลือกนอกจากหนีไปคนเดียว
ทันทีที่ตำรวจมาถึง จึงมีเพียงจูซิ่งเซิ่งที่ถูกจับกุม
ย่าของจูซิ่งเซิ่งเห็นแล้วก็ตื่นตระหนก นางตะโกนลั่นว่าสามีของตนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง ห้ามใครจับกุมหลานชายของนางเด็ดขาด
แต่ผลลัพธ์ก็คือ ไม่เพียงแต่จูซิ่งเซิ่งจะถูกจับกุมเท่านั้น หญิงชราก็ถูกลากไปด้วย
เมื่อปู่ของจูซิ่งเซิ่งได้ยินอย่างนั้น เขาก็โกรธจนอยากจะฆ่าหลานชายด้วยมือของตัวเอง
เขาโทรหาฝ่ายรักษาความมั่นคงเป้นการส่วนตัวและบอกกล่าวว่า… ไม่ว่าจูซิ่งเซิ่งจะทำผิดอะไรก็ตาม ให้ลงโทษตามสมควรโดยไม่ต้องเห็นแก่หน้าของเขา
ส่วนภรรยาของเขาที่ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ให้ส่งตัวนางไปสงบสติอารมณ์ในคุกสักครึ่งเดือน
เขาเป็นคนยุติธรรมมากแม้จะเป็นครอบครัวตัวเอง ประการแรกเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีส่วนรู้เห็นกับสิ่งที่จูซิ่งเซิ่งทำ
ประการที่สองคือแสดงจุดยืนและรักษาตำแหน่งของตัวเองเอาไว้ สิ่งนี้จะช่วยปกป้องตระกูลจูทั้งหมด
เขาคือกระดูกสันหลังของตระกูลจู และทุกคนในตระกูลจูไม่มีสิทธิ์ทำผิดกฏหมายโดยเด็ดขาด
แต่ตำรวจไม่กล้าที่จะจับกุมคุณย่าจูไว้นาน ด้วยเกรงว่านางจะประสบปัญหาสุขภาพ จนพวกเขาไม่สามารถชดใช้ หลังจากอบรบนางสักครู่จึงยอมปล่อยตัวนางกลับไป
จูซิ่งเซิ่งทราบจากตำรวจว่าปู่ของเขาอนุมัติให้ลงโทษขึ้นเด็ดขาด และทำการตัดหางปล่อยวัดจากเขาทันที
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คนทำชั่วยังไงมันก็มีร่องรอยเบาะแสอยู่ดีอะ ไม่ว่าจะกลบมิดขนาดไหน
เจตนาบงการฆ่าแบบนี้ต้องโดนโทษอะไรนะ?
ไหหม่า(海馬)