“ อื้อ เข้าใจแล้วล่ะ จะไปที่ไหนดีล่ะเคนโทร ปราสาทจอมมาร ห้องจอมมาร หรือว่าที่ไหนล่ะ? ”
หลายๆคนที่เป็นคนธรรมดาหากได้มานั่งดูการสนทนานี้คงมีคำถามเกิดขึ้นง่ายๆว่าทำไมหญิงสาวสองคนนั้น หญิงสาวที่ดูไร้พิษภัยอย่างยูเรย์และเพนเท ถึงได้พูดแบบนั้นออกมา พูดถึงสถานที่ที่ผู้คนจากทั่วโลกนั้นเกรงกลัวที่จะเข้าไป สถานที่ที่สิ่งมีชีวิตอื่นซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้ธงของกองทัพจอมมารเข้าไปแล้วจะไม่มีทางจะได้กลับออกมา ทั้งสองกลับพูดคุยถึงสิ่งนี้ด้วยท่าทางและสีหน้าอันไร้ความกังวลใดๆ
“ แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอเพนเท? ก็ต้องปราสาทจอมมารสิ ”
ยูเรย์เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของเพนเทแล้วก็พูดถึงที่หมายที่ตัวของเพนเทก็ได้แต่ยิ้มแห้งให้ เพราะที่นั้นมันไม่เกินไปกว่าสิ่งที่เพนเทคาดหมายเลยสักนิด ไม่สิ เรียกได้ว่าแทบจะตรงเป๊ะ ไม่พลาดเลยต่างหาก ทว่าเพนเทก็ไม่ได้จะยืนยันออกไปแบบทหาร หรือพนักงานเมื่อได้รับคำสั่ง
เธอเดินเข้ามาหายูเรย์ทำให้หน้าของทั้งสองห่างกันเพียงเล็กน้อยและความสูงก็ไม่ได้จะต่างกันมากนัก ว่ายังไงดีล่ะ เพนเทออกจะตัวสูงกว่ายูเรย์เพียงเล็กน้อยแต่ความสูงกับความใกล้ก็ทำให้สายตาของยูเรย์ต้องมองขึ้นไปเล็กน้อย
“ ว่าละ ว่าละ เห้อออ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เค้าคงยกเอาคำพูดนายท่านมาปฏิเสธแหงๆ ไม่ว่าจะพวกแกรนดดาร์กเอนทิตี้ฝั่งนู้น หรือแม้แต่ตัวอันตราย แต่ว่าไอของพวกนั้นก็หายไปหมดแล้วด้วย ”
เพนเทพูดด้วยท่าทางยิ้มแย้มกับน้ำเสียงที่เป็นแบบปกติของ น้ำเสียงขี้เล่นปนยั่วยวนที่จะมีให้ได้ยินก็ต่อเมื่อคุยกับพี่น้องของเธอเท่านั้น ซึ่งยูเรย์เองก็พยักหน้าตอบรับทว่ามันก็ไม่ได้จะทำให้เธอหายสงสัยในคำพูดบางประการของเพนเท และนั้นก็ทำให้เธอถามกลับในทันที
“ ตัวอันตรายที่ว่าเนี่ย? รวมถึงเป้าหมายที่พี่เล็งไว้ด้วยหรือเปล่าล่ะ? ”
“ อื้ม ถ้าหมายถึงคนที่บุกมาที่ประเทศของพวกเราล่ะก็ อ่า ใช่เลยล่ะ โดนนายท่านจัดการไปแล้ว แต่ว่า FYI นะ FYI For your information หลังจากนั้นเค้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะมันเร็วจน…นั้นแหล่ะ แถมตอนไปถึงยังที่อยู่ของนายท่าน ก็ไม่มีร่างอื่นนอนอยู่เลย แต่จริงๆถ้าชั้นไปไ… นะ!! นี้?! จะทำอะไรน่ะ!”
การตอบนั้นแม้จะดูไม่ได้จริงจัง แต่เพนเทพอพูดถึงส่วนที่เป็นเรื่องของนายท่านของเธอ คำพูดที่ดูจะเป็นเรื่องเล่นกลับถูกพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจังและเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด จนยูเรย์ได้แต่ใช้มือของเธอโอบเอวของเพนเทแล้วดึงเข้ามาหาก่อนจะกระซิบเข้าที่ข้างๆหูของเธอ
“ เพราะแบบนั้นอย่างน้อยพวกเราก็ควรจะลงมือสานต่องานของท่านพี่ให้เรียบร้อยนั้นคือจบยุคของจอมมาร แล้วก็ใช้โอกาสนี้ไป “ถาม” พวกที่น่าจะรู้ที่อยู่ในนั้นใช่หรือเปล่าล่ะ? ในเมื่อคนที่หายไปก็คนของกองทัพจอมมาร แบบนี้พวกมันก็น่าจะรู้อะไรบ้างแหล่ะ ”
“ นั้นซิ เพื่อนายท่านของพวกเราเนอะ ”
“ …เพื่อนายท่านของพวกเรา ”
เสียงกระซิบที่แผ่วเบานั้น มันทำให้ทั้งสองโอบกอกร่างของอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมทั้งนำหน้าผากมาสัมผัสกันก่อนจะยิ้มออกมา รอยยิ้มที่ดูมีความหวัง ดูมีเป้าหมายกว่าใบหน้าที่อ่อนแรงในตอนแรกมาก อย่างไรก็ตามท่ามกลางความสนิทสนมของทั้งสองคนนั้น ภายในรถหุ้มเกราะที่จอดไปไม่ไกล เอเนอา เมดหมอก็ได้ยื่นหน้าออกมามองทั้งสองด้วยสายตาแปลกๆ
“ เอ่อ… ขอโทษที่แทรกเวลาส่วนตัวของทั้งคู่นะฮะ คือว่าทางนี้เองจะให้ทำยังไงต่อดีล่ะฮะ? จะให้จอดอยู่นี้หรือว่าให้ออกรถเลย? ”
“ อ อ๊ะ! นั้นสินะ! ”
“ อะแฮ่ม…. ”
ยูเรย์พลักเพนเทออก ก่อนจะหันไปยืนเขินคนเดียวโดยไม่มองมาที่เอเนอาเลย ส่วนเพนเทก็ยืนทำตัวไม่ถูกพอๆกัน ส่วนเอเนอาที่แทรกเข้ามาแล้วเหมือนจะขอโทษน่ะเหรอ เหอะ แสยะยิ้มแปลกๆ แถมในมือก็พยายามจะซ่อนบางสิ่งเอาไว้ด้วย บางสิ่งที่เรียกว่ากล้อง
“ อ อ เอเนอา!! ภารกิจของเธอคือพานายท่านกลับไปที่ชายฝั่ง ส่วนชาลี! บุกนำต่อแล้วปฏิบัติตามแผนเดิม ”
“ ฮะๆ เข้าใจแล้วฮะ ถ้างั้นขอตัวเลยก็แล้วกันนะฮะ ”
“ รับทราบค่ะท่านพี่! ”
และแม้ว่าจะตัวจะหลบหน้าหันหลังบดบังความอายของตนก็ตาม ยูเรย์ก็ยังออกคำสั่งได้แม้เสียงที่พูดออกมาจะติดๆขัดๆบ้างก็ตาม แน่นอนล่ะว่า เอเนอากับชาลีก็รับคำสั่งนั้นพร้อมกับเริ่มดำเนินการอย่างรวดเร็ว ชาลีวิ่งไปที่รถหัวขบวนก่อนจะปีนขึ้นไปแล้วกระทืบเท้าบนหลังคาให้สัญญาณเดินรถทันที ส่วนเอเนอาก็ค่อยปิดประตูท้ายของรถหุ้มเกราะนี้ ทว่าเธอก็แอบเอนตัวออกมาเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ยูเรย์แล้วก็ชูกล้องออกมา
“ อ้อ! อ้อ!! เคนโทรกลับไปถ้าไม่เลี้ยงข้าวเลี้ยงเหล้า ผมขอญาตเอารูปเคนโทร x เพนเทไปขายให้พวกกองเรืออวยทั้งสองคนนะฮะ ถือว่าเป็นทุนวิจัยยาวส่วนตัวของผมเนอะ ”
นั้นแหล่ะก่อนที่ประตูจะได้ปิดลง เอเนอาก็ได้ตะโกนบอกกับยูเรย์แล้วก็รีบเก็บกล้องเข้าไปไว้ด้านในรถ เพนเทที่เห็นทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม เธอพยายามจะวิ่งเข้าไปคว้ากล้องนั้นแต่ก็ไม่ทันแล้วเพราะประตูมันยกขึ้นปิดตัวจนไม่มีช่องว่างให้มือคว้าได้ ทว่า…
“ เวลาแบบนี้ก็ยังจะเล่นอีกนะ… เอเนอา… ”
ฟู่มมมม แกรก แกรก แกรก เคร้ง
“ อ๊าาาา!! กล้องงงโผมมม!! ”
แต่ก่อนที่ประตูจะปิดลงหมอกสีม่วงเข้มก็โพยพุ่งเข้าไปแล้วกัดกร่อนกล้องในมือของเอเนอาจนแตกสลายกลายเป็นผงในทันที และคนที่ถือก็มีท่าทีจะตกใจไม่ใช่น้อยแต่ก็เป็นการตกใจที่ไม่ได้ตกใจอะไรขนาดนั้น เพราะใบหน้าของเธอยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์อยู่ดี
“ ก็กะไว้แล้วว่าเคนโทรจะต้องใช้สกิลนั้น เพราะแบบนี้… หึหึหึ!!! ถ้าเซิฟเวอร์ยังไม่แตก รูปก็ยังอยู่ล่ะนะฮะ ”
เอเนอาพูดออกมาด้วยท่าทางที่ภูมิใจพร้อมกับมองดูจอที่มีรูปของเหยื่อทั้งสองที่กำลังกอดและเหมือนจะนัวเนียนกันอยู่ โดยเธอก็มองแบบไม่ต้องกังวลว่าใครจะรู้ถึงสิ่งนี้เพราะเทเสล่าก็หลับไปแล้ว ส่วนนายท่านก็ยังคงพักฟื้นอยู่ในหลอดแก้ว แล้วพลขับเองก็นั่งแยกไม่ได้เชื่อมกันเหมือนกับรถหุ้มเกราะปกติ เพราะรถหุ้มเกราะนี้เป็นรุ่นโรงพยาบาลภาคสนามก็เลยต้องแยกห้องแบบนี้
“ ไปสักที เอาล่ะ จุดแรกที่จะไปโผล่เอาที่ไหนล่ะเคนโทร? แต่ว่าหลังจากนี้คงต้องไปซ่อมวินัยเจ้าพวกกองเรืออะไรนั้นก่อนล่ะ ไม่สิ เดี๋ยวติดต่อหาจุสให้ไปจัดการให้เลยดีกว่า!! ”
เพนเทที่ดึงสติกับลบล้างความอายของตนเองได้แล้ว ก็เดินเข้ามาหายูเรย์พร้อมกับเช็คหน้ากากของตนเองก่อนจะเปิดระบบทำให้หมอกสีขาวมากมายลอยออกมาปกคลุมร่างกายของเธอแล้วก็เริ่มติดต่อกับจุสผ่านหน้ากากของตนเอง ส่วนยูเรย์ก็กุมคางของตนเองพร้อมกับยืนนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อคิดสถานที่ที่เหมาะกับการไป แม้ว่าในหัวของเธอจะไม่แผนผังอย่างละเอียดของปราสาทเลยก็ตาม
“ อยากได้ที่ที่มันลับตาพวกนั้น จะได้สร้างความกลัวได้ง่ายๆ แต่ว่า… ”
“ จริงๆที่แบบนั้นก็มีน้า แต่ว่าเอ่อ ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังจะเหลืออยู่เปล่า เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะเอาที่สูงๆก่อนแล้วค่อยตัดสินใจกันอีกทีเนอะ ”
“ อื้ม แบบนั้นก็ได้ ”
และแม้ว่าจะยืนอยู่นานแค่ไหนยูเรย์ที่ยังคิดไม่ออกก็เลยต้องตามแนวทางที่เพนเทเสนอ และเมื่อทั้งสองตกลงกันได้แล้วว่าจะไปที่นั้น เพนเทก็หันไปยังด้านหลังของตนเองพร้อมกับเปิดมิติสีดำเท่าบานประตู ก่อนจะยื่นมือมาทางยูเรย์แล้วก็มองแบบพยายามจะหลบตา ซึ่งฝ่ายยูเรย์เองพอเห็นท่าทีแบบนั้นก็หวนคืนภาพก่อนหน้านี้จนต้องหลบหน้าเช่นกัน
[ ค ค ใครจะไปนึกล่ะว่าเรื่องปกติของพวกเราจะน่าอายแบบนี้ อ๊าาา ก็ว่าทำไมทุกครั้งที่เพนเทกับเราทำแบบนี้ พี่ถึงได้มองด้วยสายตาสงสัยแบบนั้น แล้วก็พูดว่า “ ไม่ว่ายูเรย์จะเป็นยังไง พี่ก็จะเอาใจช่วยนะ ” ทุกที…อ๊าาา!! ]
“ งั้นไปเลยนะ ”
“ อ อ่า… ”
ฟุบ
ยูเรย์ตอบรับการยื่นมือเข้ามาของเพนเทด้วยการคว้ามือของเธอเอาไว้ และทั้งสองก็กุมมือกันก่อนที่เพนเทจะเดินนำเข้าไปในพื้นที่สีดำนั้น เดินผ่านช่องมิตินี้โดยมียูเรย์ตามอยู่ด้านหลังและทันทีที่เข้าไปแล้วเปลวไฟจากเชิงเทียนก็ถูกจุดขึ้นรอบๆพวกเธอทั้งสองทันที สายตาของเพนเทจับจ้องไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ที่หมายที่เหมือนจะอยู่ต่ำกว่าที่เธอยืนมาก
… …
…
แก๊ง แก๊ง แก๊ง
“ รีบๆอุดกำแพงกับซ่อมเสาหลักปราสาทก่อนที่มันจะถล่ม!! เข้าใจไหม! เร็วเข้า!! ”
ที่อีกฟากหนึ่ง ปราสาทของกองทัพจอมมารเองก็ตกอยู่ในสภาพที่อาจเรียกได้ว่าเข้าตาจนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะตัวปราสาทที่เคยแข็งแกร่งและมั่นคง ตอนนี้สภาพของมันกำลังล่อแล่จากรูขนาดใหญ่ที่เจาะทะลุจากหอคอยตรงกลางก่อนจะเปลี่ยนทิศทางเป็นการพุ่งออกจากห้องในอาคารไปยังด้านนอก ความเสียหายนี้ได้ตัดผ่านเสาสำคัญหลายต้นของตัวอาคารจนการถล่มนั้นขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
“ เสาต้นแรกซ่อมแล้ว!! แต่จะยื้อเอาไว้ได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเสาต้นอื่นๆเท่านั้นแหล่ะ!! ”
“ อ อ โอ้!! แล้วท่านฟารุนล่ะ!! มีใครออกไปตามหาแล้วหรือยัง!! ”
“ นั้นสิ นี้ก็ผ่านมาจะครบวันแล้วนะ?!? ”
ซึ่งนอกจากเรื่องปราสาทก็ยังมีเรื่องวุ่นเรื่องใหญ่กว่าอีกเรื่อง นั้นคือการออกตามหาผู้อยู่บนจุดสูงสุดในปราสาทที่แท้จริงอย่าง ฟารุน พี่สาวของจอมมารคนปัจจุบันให้กลับมายังปราสาทโดยไวที่สุด ไม่งั้นพวกเขาคงจะต้องสู้อย่างยากลำบากแน่ๆ
“ เห้ย!! อย่ามัวแต่คุยแล้วก็รีบๆกลับไปซ่อมได้แล้ว!! ”
ทว่าในระหว่างที่ทหารทุกคนกำลังกังวลกับเรื่องของฟารุนมากกว่าปราสาทนั้น ทหารในเกราะสีดำก็ปรากฎตัวขึ้นแล้วเริ่มออกคำสั่งอีกครั้ง ทหารเกราะดำพวกนี้คือองค์รักษ์ส่วนตัวของจอมมารซึ่งมีความสามารถเก่งกาจพอๆกับนักพจญภัยแรงก์ S เลยทีเดียว และก็เพราะแบบนั้นพวกทหารระดับต่ำกว่าก็เลยรีบหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อ
“ โธ่เว้ย!! พวกแกนี้มัน มัวแต่ทำจนลืมเรื่องสำคัญไปหมดเลยหรือไงวะ หินนี้ใช้ให้ไปขนมาสองคนแล้วนะเว้ย!! ยังไม่มากันอีก!! พวกแกนี้มันไร้ค่าชิบหาย!! เอ็งน่ะ!! ไปขนหินจากคลังมาเพิ่มซะ! ”
“ ค ครับผม!! ”
โดยในขณะที่พวกชุดเกราะดำกำลังสั่งๆอยู่นั้น ก็มีนายหนึ่งหันไปเห็นว่าหินที่ใช้เป็นวัตถุดิบหล่อเสาก็เริ่มจะหมดลง เขาจึงหันไปหายังทหารใกล้ๆก่อนจะสั่งด้วยเสียงที่ดังและสีหน้าที่ดูถูกดูแคลนสุดๆ อย่างไรก็ตามนายทหารนั้นก็ไม่ได้มีเวลาจะมาใส่ใจกับการโดนดูถูกนี้ เขารีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตรงไปยังทางลงไปที่ด้านหล่างของปราสาท
ตึก ตึก ตึก แอดดด
“ เห้อออ สับล็อกไว้แบบนี้ แม่งไม่มากันแหงๆ เหอะ ก็นะไอพวกอีิลิทใช้แบบนั้นคงแอบไปพักแล้วมั้ง แต่ว่า มืดชิบ…ไอพวกเฝ้าข้างในก็ไม่อยู่ โดนสั่งให้ไปช่วยกันซ่อมเสาที่ 4 จนลืมเติมถ่านเติมไฟกัน? เดี๋ยวนะ?! งี้ก็แปลว่ากูต้องขนหินคนเดียวสิฟระ?!? ”
ซึ่งทันทีที่มาถึงยังประตูเหล็กที่ใช้กั้นไว้ เขาก็เปิดมันออกแล้วมองดูเข้าไปยังข้างในห้องใต้ดินนั้น มันมืดและยังเย็นจนร่างกายของทหารคนนี้สัมผัสได้ เจ้าตัวยืนมองอยู่แบบนั้นด้วยสีหน้าเซ็งๆ ก่อนจะหยิบคบเพลิงขึ้นมาจุดแล้วเดินก้าวเข้าไปในห้องเก็บของมืดๆนี้
“ อาการเย็นจนหมอกลงเลยเหรอวะเนี่ย? แย่ชะมัดรู้งี้น่าจะหยิบถุงมือมาด้วยก็ดี ”
แสงไฟจากคบเพลิงมันไม่ได้สว่างมากแต่ก็ทำให้ทหารนายนี้เห็นอะไรรอบๆได้ แต่การที่เห็นได้แบบนี้ก็ทำให้เขาต้องก้มมองพื้นไปครู่หนึ่งเพราะบนพื้นมันเต็มไปด้วยหมอกสีขาวมากมายจนน่าจะเต็มทั่วทั้งห้อง อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้แคร์อะไรแล้วก็เดินต่อไปพร้อมกับมองหาถุงใส่หินที่น่าจะอยู่ที่ไหนสักที่
ตึก ตึก ฟุบ ฟุบ
“ เห้ย!! ใครน่ะ!! ”
นายทหารนั้นรู้สึกได้เลยว่ามีบางอย่างกำลังเคลื่อนที่อยู่ด้านในห้องนี้ แล้วเขาก็รีบชักเอาดาบที่เหน็บเอาไว้ออกมาพร้อมทั้งเล็งไปยังจุดที่เขารู้สึกได้ แต่ว่าพอเล็งไปแล้วก็ไม่เห็นจะเจอใครหรืออะไรเลย ไม่มีแม้แต่ร่องรอยการเดินหรือเงาเลยด้วย
“ คิดไปเองล่ะมั้ง? หรือว่ามีมอนสเตอร์ประเภทผีมาเกิดกันวะ? ”
เขาพูดออกมาเช่นนั้นก่อนจะเก็บอาวุธของตัวเองเข้าซองแล้วหันกลับไปเดินต่อ แต่มันก็เป็นการเดินที่ยังระมัดระวังกว่าตอนแรกที่เข้ามา เข้ากวาดสายตาไปรอบๆเพื่อตามหาของแล้วจะได้รีบหยิบรีบออกไป ทว่าถุงก้อนหินนั้นก็เหมือนจะอยู่ลึกจนแม้จะเดินมาเกือบ 100 เมตรแล้วก็ยังไม่เจอ
แอดดด…กึง กริ๊ก
“ เห้ย!! ยังมีคนอยู่ข้างในนะเว้ย!! ”
แต่แล้วจู่ๆ ประตูเหล็กก็ปิดตัวลงโดยกว่าตอนที่จะรู้ก็เป็นตอนที่แสงจากประตูทางเข้ามืดลงพร้อมกับเสียงล็อกจากด้านนอก นั้นทำให้เขารีบที่จะวิ่งกลับไปที่ประตูนั้นแต่บางอย่าง บางอย่างที่เขามองข้ามมาตั้งแต่ต้นก็ทำให้เขารู้สึกตัว
“ น นี้มันอะไรกัน?!? หมอก หมอกด้านบน!! มันเกิด…?!? ”
ครึ่มม…ฟู่…
สิ่งที่เห็นนั้นมันไม่ได้อยู่ข้างล่าง แต่เป็นข้างบน หมอกสีม่วงมากมายที่เกาะอยู่เพดานจนหนาทึบและหมอกพวกนี้เองก็ปกคลุมไปจนถึงตะกร้าใส่ไฟที่ห้อยเอาไว้เพื่อเป็นจุดสร้างแสงสว่างภายในสถานที่ที่มืดมิดนี้ ซึ่งมันก็กัดกร่อนทั้งไม้ทั้งตระกร้าเหล็กนั้น และทันทีที่เขามองขึ้นไปหมอกพวกนั้น หมอกสีม่วงเข้มก็ถล่มลงมาแล้วทับร่างของนายทหารนั้น
ร่างของเขาที่อยู่ภายใต้เกราะเหล็ก มันถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็วจนแม้แต่ตัวเกราะเองก็หายไปก่อนจะตามด้วยใบหน้า ผิวหนัง เนื้อหนัง กัดกร่อนไปจนถึงกระดูก หมอกนั้นมันกลืนกินร่างของทหารนายนี้อย่างรวดเร็วถึงขนาดที่เขาไม่มีโอกาสจะได้ส่งเสียงออกมาเลยแม้แต่น้อย
“ หมอก นี้มันหมอกบ้าอะ… ”
“ เอ เย็… ”
“ หืม? ข้างนอกเช้าแล้วงั้นเหรอ หมอ… ”
“ ห… ”
ทว่านี้ก็ไม่ใช่ห้องเดียวที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อีกหลายๆห้องเองก็เช่นกัน หมอกสีม่วงและขาวพวกมันไหลไปตามซอกหินแล้วก็กลืนกินทุกสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในห้องต่างๆที่อยู่รอบนอกของตัวปราสาท โดยทุกห้องนั้นจะมีอะไรบางอย่างคล้ายๆกันนั้นคือ…ห้องพวกนี้ ล้วนแล้วแต่มีคนอยู่ข้างในเพียงคนเดียวเท่านั้น
แก๋ง แก๋ง แก๋ง
“ สัญญาณเตือน?!? ”
และที่บริเวณกำแพงของปราสาทเองก็มีปัญหาเกิดขึ้นไม่ให้พวกทหารด้านในได้พัก ปัญหานั้นทำให้หัวหน้าทหารทั่วไปรีบวิ่งไปบนกำแพงพร้อมกับมองไปยังทหารที่สั่นระฆังเตือนภัย เขามีสีหน้าที่ซีดจนเหมือนกับศพแล้วมืออีกข้างที่ไม่ได้สั่นระฆังก็ชี้นิ้วไปยังนอกกำแพง
“ มึงจะสั่นระฆังเตือนทำไมวะ?!? ข้างนอกมันก็แค่หมอกไม่ใช่รึไง!! ”
ซึ่งทันทีที่หันออกไปเห็น ตัวหัวหน้าคนนี้ก็ตะคอกใส่ทหารที่ยังคงใช้มืออันไร้เรี่ยวแรงพยายามสั่นระฆัง เพราะสิ่งที่เขาเห็นมันก็เป็นแค่หมอกสีออกเทาๆเท่านั้นและมันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าปริมาณของมันที่มากจนสุดลูกหูลูกตาจนมองไม่เห็นอะไรที่ห่างออกไปเกิน 100 เมตรเลย ซึ่งนี้ทำให้การสั่นระฆังเตือนภัยเป็นเหมือนการก่อกวนและลดทอนกำลังใจทหารคนอื่นๆ
“ ห ห หัวหน้า ด ด ดู ”
“ หา?? มันทำไมล่ะวะ? ”
“ อ อึก… ”
ฟุบ ซู่… …
ด้วยคำพูดมันคงจะไม่ชัดเจน นายทหารคนนั้นเลยกล้ำกลืนชักดาบของตัวเองออกมาแล้วโยนดาบเหล็กนั้นลงไปปักยังพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหมอกและผลลัพธ์ก็เริ่มจะปรากฎให้เห็น ดาบเหล็กเริ่มมีสนิมขึ้นมาเกาะก่อนที่มันจะย่อยสลายและจมหายไปในหมอกภายในเวลาไม่กี่วินาที หายไปแบบที่ไม่มีเศษซากเหลือเลยสักนิด
“ อย่าบอกนะว่าหมอกพิษ?!? ”
ตัวหัวหน้าที่ได้เห็นก็ไม่แปลกที่จะคิดแบบนั้น เขามองดูหมอกหนาด้านล่างก่อนจะหยิบเอาเศษเนื้อที่เป็นอาหารพกพาออกมาจากในกระเป๋าที่เอวแล้วก็โยนเจ้าเศษเนื้อนี้ลงไปในหมอกเพื่อดูผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น
ฟู่
“ อันตราย!! สั่งการออกไปเร็วเข้าว่าคนนอกห้ามเข้าปราสาท คนในก็ห้ามออก หมอกพวกนี้มันเป็นพิษ!! ”
เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็วเมื่อได้เห็นว่าเศษเนื้อนั้นย่อยสลายหายไปในอากาศ หายไปไวยิ่งกว่าตอนที่ดาบเหล็กที่เขวี้ยงลงไปเสียอีก เขาจึงออกคำสั่งแบบนั้นแล้วมันก็ทำให้ทหารที่อยู่ตรงหน้าประตูรีบปิดผนึกประตูเข้าออกอย่างเร่งรีบ ทว่าตัวของหัวหน้าเองก็เหมือนจะนึกอะไรออก
“ เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้… ทหารของพวกเราพึ่งจะ อึก!! โธ่เว้ย!! ”
อย่างที่หัวหน้าทหารกำลังรู้สึกตัว เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้กองทหารของจอมมาร 1 กองพันพึ่งจะเดินขบวนออกจากปราสาทไป และนั้นก็หมายความว่าทหารมากกว่าพันชีวิตพึ่งจะเดินเอาชีวิตไปทิ้งโดยที่ตัวพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่สิ อาจจะไม่รู้ตัวเลยด้วยว่าตัวเองตายแล้วด้วยความเข้าใจแบบนั้นเขาจึงได้แต่กำหมัดเจ็บแค้นได้อย่างเดียว
แก๋ง แก๋ง แก๋๋ง
ระฆังดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันไม่ได้ดังมาจากตัวกำแพงแต่เป็นการดังขึ้นมาจากลานกว้างที่เป็นสนามฝึกซ้อม และมันก็ทำให้ตัวของหัวหน้ารีบวิ่งไปดูอย่างเร่งรีบอีกหน ทว่าคราวนี้คงเป็นอะไรที่พลาดไปสำหรับเขา พลาดที่จะตอบโต้ด้วยการออกคำสั่งก่อนหน้านี้ให้เป็นอีกอย่างที่ไม่ใช่แค่การออกไปข้างนอก
“ น น นี้มัน… ไม่ ไม่ ทุกคนถอยขึ้นที่สูงเดี๋ยวนี้!! ”
ภาพนั้น ภาพที่น่าสยดสยองที่สุดเท่าที่หัวหน้าทหารคนนี้จะเคยได้เจอ หมอกสีเทาที่ออกม่วงนั้นมันถาโถมเข้ามาผ่านประตู ใช่ มันกัดกินประตูนั้นไปจนหมดแล้วทะลักเข้ามาราวกับน้ำหลาก ทำให้ทหารหลายคนถูกมันกลืนกินหายไปแต่มันเป็นการกลืนกินที่เขาได้เห็นทุกอย่าง ลูกน้องของเขาที่ร่างกายค่อยๆหายไปจากด้านนอกผิวหนังสู่ด้านในแก่นกระดูก จากเต็มตัวจนไม่เหลืออะไร
แก๋ง แก๋ง แก๋ง
มันยังไม่หยุดเท่านั้นสัญญาณระฆังดังขึ้นอีกหน แล้วมันก็มาจากด้านในตัวปราสาทเองไม่สิ มันดังมาจากหลายๆที่จนแยกไม่ออกว่าเสียงพวกนั้นมันมาจากไหนบ้าง แต่ในสายตาของหัวหน้าทหารนั้นก็มองเห็นหายนะที่กำลังเกิดขึ้นได้ หมอกสีม่วงผสมขาว พวกมันไหลทะลักออกมาจากทั้งใต้ดิน จากในตัวอาคาร มากมายจนเริ่มจะเอ่อล้นออกจากกำแพงของปราสาทนี้ มันค่อยๆยกระดับขึ้นมาเรื่อยๆแบบวินาทีต่อวินาที
“ หนี หนี ขึ้นไปเร็วเข้า!! ขืนยังอยู่โดนหมอกพวกนี้ล่ะก็!! ตายกันหมดแน่!! ”
เขารีบสั่งทันที แต่ก็เป็นการสั่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัวตาย ทั้งเท้ากับร่างกายก็วิ่งพุ่งเข้าไปยังตัวหอคอยที่อยู่ใกล้ๆเพื่อหวังจะใช้มันเป็นที่หลบหนีจากหมอกที่กำลังท่วมไปทั่วบริเวณปราสาท เขาวิ่งนำพวกทหารที่อยู่บนกำแพงไป ใครที่ลุกไม่ไหวก็ไม่ได้ทิ้งไว้และใช้วิธีลากไปแทน ไม่ก็ถูกเพื่อนทหารด้วยกันวิ่งเข้ามาอุ้มร่างไปทั้งอย่างนั้น
ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก
“ ข้างหน้าแล้ว เร็วเข้า!! ”
หัวหน้าทหารมาถึงยังประตูหอคอยก่อนใคร เขาหยิบเอากุญแจสำหรับเปิดออกมาก่อนจะเสียบมันเข้ากับกลอนประตูไม้หนา แต่แล้วเมื่อเสียบกุญแจเหล็กเข้าไปเขาก็สังเกตุเห็นว่าที่กุญแจเหล็กนั้นมันมีเศษสีแดงเกาะเต็มไปหมด เศษสนิมที่จู่ๆก็ก่อตัวขึ้นมาและมันก็ลามจากปลายมาสู่ด้ามจับอย่างรวดเร็ว
“ ถ ถอยไป… ”
กึก ครืนนนนนนนนนนน ฟู่….
เขานั้นยังไม่ได้จะเอ่ยปากพูดจนหมด หมอกหนานั้นก็ทำลายประตูไม้ตรงหน้าก็พังทลายลงพร้อมกับการมาของหมอกสีม่วงเข้มมันไหลทะลักออกมาจากในตัวของหอคอยแล้วมันก็กลืนกินตัวของหัวหน้าพร้อมกับทุกคนที่อยู่ใกล้กับประตูนั้นก่อนจะลามไปบนกำแพงจนปกคลุมทั่วทั้งด้านนอกของปราสาท
โดยทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นพวกทหารต่างคิดกันไปว่ามันเป็นคำสาปจากอีกฝ่าย ไม่ก็อาจจะเป็นปรากฎการณ์บางอย่างหลังจากที่ฟารุนหายไป ปรากฎการณ์อันเกิดจากมานาแปรปรวน
ทว่าแท้จริงแล้วคนที่เป็นต้นเหตุก็กำลังยืนอยู่ท่ามกลางหมอกพิษบริเวณลานกว้างของปราสาท สองสาวที่สวมหน้ากากประหลาดเอาไว้ โดยคนแรกก็คือหมอกสีขาวออกมาจากหน้ากาก เพนเท และอีกคนก็หมอกสีม่วงที่ปรากฎขึ้นใต้เท้าของเธอ ยูเรย์
ทั้งสองมองขึ้นไปยังด้านบนของปราสาทมองดูไปยังห้องห้องหนึ่งซึ่งกำลังมีชายผมสั้นดำ ดวงตาดุดันพยายามจะหลบซ่อนตัวอยู่หลังผ้าม่าน ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความกลัวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งใบหน้านั้นก็ทำให้ยูเรย์หันไปถามกับเพนเทด้วยความสงสัยกับความรู้สึกตะหงิดๆบางอย่าง และเพนเทเองก็ตอบด้วยน้ำเสียงกับรอยยิ้มแห้งๆ
“ นี้เพนเท แน่ใจนะว่านั้นคือจอมมาร? มันจะไม่อ่อนปวกเปียกไปไหนเหรอ? ”
“ เอ่ออออ อืมม ก็ใช่นะ ใช่แหล่ะ ดวงวิญญาณนั้นของจอมมารแน่ๆแหล่ะ ใช่มะ!?!? ชั้นมั่นใจได้สินะ?!? ได้สิ!! ”
“ เดี๋ยวๆ ถ้าเธอไม่มั่นใจแล้วชั้นล่ะ?!? ”
……
MANGA DISCUSSION