“ ค่อยๆ ตามมานะเพนเท ”
“ ค๊า… ”
มาร์และเพนเท ทั้งสองตอนนี้กำลังเดินออกมาจากภายในตัวกำแพงป้องกันของปราสาทนี้ โดยทั้งสองนั้นเคลื่อนที่ไปมาโดยอาศัยมุมอับสายตาเป็นหลักในการหลบเลี่ยงการถูกตรวจพบจากศัตรู ทั้งมาร์เองก็เคลื่อนที่ไปช้ากว่าปกติ เพราะเขาต้องคอยสังเกตุมานาที่เคลื่อนที่แปลกๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังจุดถัดไป
[ คงจะมั่นใจกับระบบป้องกันมากเลยสินะเนี่ย…คนเดินตรวจตราข้างในถ้าไม่ยืนหน้าห้องก็ตามทางไม่กี่คนแบบนี้ ]
แต่ในการเคลื่อนไปตามทางต่างๆนั้น มาร์ก็รู้ได้เลยว่าที่นี้ ในนี้หลังบาเรียแสนหนาและน่ารำคาญ พวกทหารที่เดินตรวจตรามีน้อยกว่าด้านนอกมาก อย่างไรก็ตามมันก็ยากที่จะผ่านไปได้เลยเพราะทางเดินส่วนใหญ่ก็เป็นทางเดินยาวที่ไม่มีอะไรให้ใช้เป็นที่หลบ ทำให้ทั้งสองมาจบลงในห้อง ห้องหนึ่งที่เป็นห้องว่างๆไม่มีอะไรด้านใน
“ ดูท่าจะตันสินะ สงสัยต้องใช้สกิลเดินกันไปต่อแล้วล่ะมั้ง? แต่ผมคงไปได้แค่คนเดียวล่ะนะ เพนเทไม่มีใช่ไหมล่ะ [ปกปิดตัวตน] น่ะ? ”
“ เห!? สกิลหายากแบบนั้นเค้าไม่มีหรอกค่ะ!! โธ่!! งั้นลองมุดไปตามทางวิญญาณดูเลยดีหรือเปล่าค๊ะ? จะได้ไปด้วยกันได้เลย ”
“ เดี๋ยวๆ… แล้วแกรนด์ดาร์กล่ะเพนเท ยัยนั้น หมอนั้น อาจจะตระเวนรอคนเข้าไปก็ได้นะ??? ”
ปึ้ง!!! กึก กึก กึก
“ เสียงอะไรล่ะนั้น?!? หรือว่าพวกเราบุกกันแล้วเหรอ?!? ”
“ ไม่น่านะคะ? นี้ตารางยังไม่ขึ้นฝั่งกันเลยมั้ง? ”
ทว่าในระหว่างที่มาร์กับเพนเทกำลังหาทางออกกันอยู่ในห้อง เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นมาจากด้านบนของพวกเขา เหนือขึ้นไปไม่รู้เท่าไหร่ แต่เสียงนี้มันทำให้ตัวอาคารถึงกับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนเศษฝุ่นบนเพดานร่วงลงมาที่พื้น และต้นเหตุนั้นก็เป็นสิ่งที่มาร์เองก็คงคิดไม่ได้คาดคิดเอาไว้
…
……
“ อย่ามาขวางทาง!!! ”
“ ค ครั…. ”
ปึ้ง!! กึก กึก กึก กึก กึก
“ อึก.. ล ล หลีกทางให้ท่านฟารุนเร็วเข้า!! ”
[ พวกมัน… พวกมันเอารินรินเทของชั้นไป… เจ้าพวกยูโทเปียนั้น ]
10 วินาทีก่อนหน้านั้น ณ ทางเดือนจากใต้ดินไปสู่ห้องของผู้อยู่บนจุดสูงสุด ฟารุน เธอได้บดขยี้ทหารที่เข้ามาขวางทางเดินตน การขวางทางเดินที่ไม่ควรจะนับเป็นการขวางทางด้วยซ้ำ ทหารคนนั้นเพียงแค่ยืนเกินจากเส้นเข้ามาเพียงนิดเดียวเท่านั้น เธอฆ่าเขาด้วยการขยี้ร่างโดยใช้มือเพียงข้างเดียว ร่างใต้เกราะเหล็กแหลกสลายกลายเป็นเพียงเศษก้อนเนื้อที่ไหลออกมาเต็มพื้น และนั้นก็ทำให้ทหารที่เห็นต่างตกอยู่ในความกลัวแล้วเดินถอยหลังจนชิดติดกับกำแพง
ตึก ตึก
“ [ กำแพงศิลา ]… ”
และทันทีที่เธอเดินเข้ามาในห้องของตนเองแล้ว ฟารุนก็หันกลับไปมองยังทางเข้าที่ไร้ประตูแล้วใช้สกิลของตนเอง มันทำให้ช่องว่างที่ต้องเป็นที่ที่ประตูถูกติดตั้ง มันเริ่มขยับแล้วผสานกันจนกลายเป็นกำแพงเดียว ทำให้ห้องนี้ไร้ซึ่งทางเข้าออกปกติอีกต่อไป
[ ฟารุน จะทำยังไงต่อ? ]
" นั้นสินะฟิเรน ตอนนี้คงต้องเพิ่ม"พลังรบ" ของพวกเราก่อน แล้วพรุ่งนี้ ไม่สิ…คืนนี้ พวกเราคงต้องกลับไปช่วยรินรินเทกลับมาจาก เจ้าพวก…เวรนั้น "
[ งั้นคราวนี้ก็ต้องเลือกแบบเอาไว้สู้กับปืนสินะ? ]
“ …[ สเตตัส ] ”
ฟารูนเธอยืนอยู่ที่กลางห้องของตนพร้อมกับพูดกับตัวเองเหมือนกับกำลังพูดกับคนอื่นอยู่ และในตอนที่พูดอยู่นั้น ตรงหน้าของเธอ จอสเตตัส “สีแดง” ก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นจากพื้น บนนั้นมันเต็มไปด้วยค่าสเตตัสของเธอที่เยอะจนเกินกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไปจะมีได้ และนอกจากนั้นแล้วมันยังมีเครื่องหมายแปลกๆที่ไม่ควรจะมีปรากฎอยู่บนหน้าสเตตัส เช่น… ตระกร้า เป็นต้น
[ ฟารุน ฟารุน สกิลนั้นก็ดีเหมือนกันนะ จับตำแหน่งจากการถูกหมายหัวได้ด้วย ]
“ งั้นเหรอ?… เอาไปก็คงไม่เสียหาย แถมสกิลก็มีค่าแค่ไม่กี่โซลเอง ไม่สิ จริงๆตอนนี้จะรีบๆเลือกเลยก็ได้นะฟิเรน ”
เธอเลื่อนมือไปกดบนจอสเตตัสนั้น แล้วสกิลบางอย่างที่ในใจของเธอเลือกมันก็ลอยเข้าไปอยู่ในตระกร้าที่ปรากฎในหน้าต่างสเตตัส โดยแต่ละสกิลที่เธอเลือกมันก็มีเลขกำกับอยู่ด้านหลังทุกอัน และเมื่อเธอเลือกเสร็จก็กดปุ่มยืนยันบนหน้าต่างนั้น ก่อนที่แสงสีฟ้าจากตัวของเธอจะลอยเข้าไปยังหน้าจอสเตตัสสีแดง
“ โซลที่รวบรวมมา ใช้เกือบหมดเลยนะฟิเรน… เลือกอะไรมาบ้างล่ะ ”
[ ก็มี จับตำแหน่งคนที่หมายหัวเรา ม่านบาเรียแบบหักเหการโจมตี ต้านทานสารพิษ ควบคุมลม แล้วก็อะไรอีกน้า… อ่า ลบสถานะพิเศษ ]
“ เอามากัน กระสุนกับผงนั้นสินะ? ”
[ อื้อ น่ารำคาญจะตายไอกระสุนพวกนั้นน่ะ พอจะจับทางศัตรูได้ก็โดนขวางเฉย แถมยิ่งโดนยิ่งคันจนไม่มีสมาธิเลย ]
“ อ่า งั้นเอามาก็ดีแล้วล่ะ … แต่สกิลทุกอันนี้ดูจะกินมานาเยอะอยู่เหมือนกันนะ อย่างจับตำแหน่งก็กินเยอะพอๆกับใช้สกิลระดับ 9 เลย ”
[ อู้ว… นั้นสิ แหะๆ มัวแต่กดซื้อ ไม่ได้ดูรายละเอียดอ่ะ แย่จัง ]
“ ช่างเถอะ … [ ตรวจจับ ] ”
ฟารุน ที่ยืนพูดอยู่คนเดียวนั้นก็หยุดพูดลงพร้อมกับเปิดการทำงานสกิลที่ตนเลือกมา แล้วนั้นก็ทำให้ในสายตาของเธอมีเงาสีแดงๆมากมายปรากฎขึ้น ซึ่งมีระยะห่างจากเธอไม่เท่ากัน ทว่ารวมๆ มันเหมือนกับเธอเห็นว่าคนที่หมายหัวเธอนั้นกำลังทำอะไรอยู่ เช่น นายพลที่อยู่ในห้องหนึ่ง หมอนี้ก็มีเงาสีแดงล้อมรอบตัว เขากำลังนอนอยู่บนเตียง
“ หึ… สกิลนี้ก็ดี ดีนะฟิเรน ”
ทว่าเธอที่กวาดตามองไปรอบๆ ก็ต้องหยุดมองลง ณ สถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ลงไปใต้พื้นที่เธอยืนอยู่ ที่นั้นมีเงาสีแดงที่แปลกประหลาดจากปกติ เงาสีแดงที่ควรจะนอน ไม่ก็กำลังทำอะไรอยู่ในห้อง ที่นั้นเป็นเงาสองคน คนนึงเหมือนกับเป็นเด็ก อีกคนก็เป็นผู้หญิงโดยทั้งสองถืออาวุธพร้อมอย่างชัดเจน และนั้นก็ทำให้ฟารุนยิ้มออกมา
… …
!!!!!
“ เพนเท! เข้าไปในทางเดินวิญญาณเร็วเข้า!! ”
“ อ อ๊ะ?!? ค ค ค่ะ!! [ทางเดินวิญญาณ]!! ”
มาร์หยุดขยับก่อนจะหันไปมองเพนเทอย่างเร่งรีบและออกคำสั่งกับเธอในทันที เพนเทที่รับทราบก็รีบใช้สกิลของตนก่อนจะค่อยๆหายไป ทว่าเธอก็ยื่นมือออกมาเหมือนกับจะดึงตัวของนายท่านของเธอให้เข้ามาด้วย แต่ว่ามาร์นั้นก็ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่เธอต้องการ
“ อึก!! ออกไปจากที่นี้!! ”
พลัค กึก กึก กึก กึก
“ น นายท่า… !! ”
นายท่านของเธอ ปัดมือนั้นก่อนจะพลักให้เธอเข้าไปในเส้นทางที่เธอเปิดเอาไว้ ก่อนที่เขาจะเปิดการทำงานการป้องกันของตัวเอง บาเรียมานาก่อตัวขึ้นรอบๆตนเองหลายสิบ หลายร้อยชั้น โดยในเวลาเดียวกันนั้นพื้นที่รอบๆตัวของเขาก็สั่นไหวอย่างรุนแรง พื้น ผนัง เพดาน และตัวของมาร์ก็เงยหน้าขึ้นไปมองยังด้านบน เหนือหัวของเขา
ตู้มมม ปึ้ง คู้มมม!!
“ อึก!!! ”
ทันใดนั้นผืนที่รอบๆก็แตกออก ก่อนที่บางอย่างจะทะลุมากระแทกเขาจนปลิวกระเด็นออกไปนอกตัวปราสาท แต่นั้นก็ไม่หยุดเงาบางอย่างที่พุ่งตามออกมา พุ่งเข้าใส่มาร์อย่างรุนแรงและนั้นก็ทำให้เขาได้เห็น หญิงสาวผมสีดำที่ดวงตาเต็มไปด้วยบ้าคลั่ง
[ ยัยนี้อีกแล้ว!! รู้ตัวได้ยังไงกัน!! ]
“ ฮ่าๆๆๆ แก กล้ามากนักนะที่เข้ามาเหยียบถึงที่ของชั้น!! ตาย ตายซะ!! ”
ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง เพล้ง
“ ชิ บาเรีย!! ”
เธอตะโกนพร้อมกับพยายามจะใช้ดาบเรเปียร์แทงใส่มาร์นับครั้งไม่ถ้วนแต่มันก็ติดบาเรียมานาของมาร์ทั้งหมด อย่างไรเสียการโจมตีนั้นก็มากพอจะทำลายบาเรียไปหลายชั้น ส่วนตัวของมาร์เขาก็พยายามจะทรงตัวของตนเองให้ได้ ทว่าแรงอัดของหญิงสาวคนนี้มันแรงจนมาร์ไม่สามารถจะดึงตัวกลับมาได้ตอนที่ตัวเองยังลอยอยู่แบบนี้
“ ตาย!! ตาย!! ตาย!! ”
ปึ้ง ปึ้ง เพล้ง เพล้ง
[ ยังบ้าระห่ำเหมือนเดิมเล้ย!!! ยัยเวรนี้!! ]
ตู้มมมม แก๋ง!!
มาร์ยังโดนโจมตีอย่างไม่หยุด เขากระเด็นไปเรื่อยจนร่างปลิวไปกระแทกเข้ากับพื้นป่าที่อยู่ห่างออกไปเกือบๆ 5 กิโลเมตร แน่นอนล่ะว่าอีกฝ่ายก็ใช่จะปล่อยให้มาร์ได้ตั้งตัว หญิงสาวผู้นั้นพุ่งเข้าใส่พร้อมกับใช้เรเปียร์แทงเข้ามา ทว่ามาร์เองที่เท้าถึงพืิ้นและตั้งหลักได้แล้วก็ชักมีดพกของตนขึ้นมาปัดการโจมตีนั้นเอาไว้ได้
“ พวกยูโทเปีย… มีแต่คนเก่งๆสินะ ขนาดนักฆ่าอย่างแกยังปัดการโจมตีของชั้นได้!! ”
“ … ”
“ เป็นพวกเงียบงั้นเหรอ!! ”
ทั้งสองได้เผชิญหน้ากันแบบที่ดาบปะดาบ และอยู่ห่างกันไม่ถึงเมตรด้วยซ้ำ ซึ่งหญิงสาวพอได้เห็นศัตรูของเธอ เด็กหนุ่มในชุดคลุมผู้สวมหน้ากากประหลาดเธอก็ทักทายไปด้วยการตะคอกก่อนจะออกแรงกดดาบลง ทว่ามาร์นั้นกลับเงียบเขาไม่พูดไม่จาอะไรทั้งนั้น แถมยังเริ่มดันกลับได้อย่างช้าๆ
“ อ อึก!! ”
เก๋ง … ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง
“ หึ คิดว่ากระสุนพวกนั้นจะทำอะไรชั้นได้หรือยังไง!! ”
[ โอ…เตรียมแผนป้องกันมาซะด้วย ดูท่าจะไม่ได้แค่มีแต่กล้ามอย่างเดียวแหะ ]
มาร์ตอบโต้กลับในทันทีด้วยการยิงปืนเล็งไปที่หัวของผู้หญิงนี้ ซึ่งทุกนัดที่ยิงออกไปมันก็ไม่ได้จะปะทะกับศัตรูหรือบาเรียตามปกติเลย พวกมันแฉลบออกซ้ายขวาไม่ได้จะแตกออกหรือสลายหายไปตามปกติที่บาเรียของเธอจะเป็น นั้นทำให้หญิงสาวคนนี้ถึงกับยิ้มแล้วชี้ดาบมาที่หน้าของเขา
“ มาสิ จะยิงมาอีกเท่าไหร่ก็ยิงเลย ”
เธอท้าทายแบบนั้น และมาร์เองก็ไม่ได้จะสนใจสักนิด เขาเอื้อมมือไปหยิบของที่ด้านหลังของเขา ท่อเหล็กน้ำตาลอ่อน 3 อัน พวกมันมีสลักติดตั้งเอาไว้ซึ่งมาร์ก็ไม่ช้า ดึงสลักออกก่อนจะปาใส่เป้าหมายในทันทีด้วยความแรงเขวี้ยงที่ส่งมันไปเร็วจนไม่เหมือนกับการเขวี้ยงของเลย
“ กระจอกน่า!! ”
ฟู่วววววว
แต่แล้วแทนที่มันจะพุ่งเข้าไปโดนและแตก มันกลับลอยขึ้นด้วยลมบางอย่าง พวกมันลอยอยู่อย่างนั้นโดยที่ตัวของหญิงสาวก็เอาแต่ยิ้มและมองดูมาร์ด้วยสายตาที่เยาะเย้ย ทว่าทันทีที่เธอหันมามองเขามาร์ก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับใช้มือบังหน้าของตนเองไว้
ปั้ง ปั้ง ปั้ง วิ้งๆๆๆๆ
“ อ๊าาา!?!?!? ”
เสียงระเบิดดังขึ้น เสียงระเบิดที่ดังมาก เสียงเหมือนปะทัดยักษ์ที่แตกออกทว่ามันไม่ได้จะสร้างความเสียหายอะไรนอกไปจาก เสียงและ…แสงสว่างที่จ้าจน เธอได้แต่ต้องหลับตาลง เพราะทั้งหูและตาของเธอตอนนี้มันอื้อและบอดไปหมดแล้ว
“ อึก!! [ลบล้างสถานะ]!! ชิ!! ”
แก๋ง
“ … ”
ทว่าแทนที่เธอจะยืนสับสนและหมดสภาพ จู่ๆ เธอก็ลืมตากลับมาได้อีกครั้งทั้งยังสามารถป้องกันการเข้าโจมตีของมาร์ได้ เธอยกดาบเรเปียร์มาปัดการฟันของมาร์ไว้ได้ทัน ส่วนมาร์น่ะเหรอ แม้นี้จะเป็นการเจอกันครั้งที่ 3 เขาไม่รู้ว่า ศัตรูมีสกิลอะไรบ้าง แต่เขาไม่ได้หยุดหรือไขว้เขว คราวนี้เขาจะต่างออกไป เขาจะไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เจอเธอแล้ว
[ หมดเวลา…สนเรื่องชั้นเชิง เรื่องสกิล ได้เวลาทุ่มทุกอย่างที่เรามี… ]
หมับ
“ อ…!!!! ”
ตึ้ง กึง!!!
มาร์อาศัยขนาดตัวของเขาในการมุดเข้าไปใต้การป้องกันของหญิงสาวคนนี้ แล้วเขาก็จัดการคว้าใต้แขนและทุ่มเธอลงกับพื้นอย่างรุนแรงจนพื้นรอบๆหยุบลงไปหลายเมตร ทำเอาเธอตกอยู่ในความสับสนสุดแต่กระนั้นเธอก็พยายามจะป้องกันด้วยการดีดตัวขึ้นมาตั้งหลักในทันที
ปึ้ง ปัก ปัก ปัก ผัวะ
“ อัค!! ”
ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่เธอต้องเจ็บตัว มาร์ไม่ได้จะรออะไรเลยทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายจะดันตัวเองขึ้นเขาก็วิ่งเข้าไปแล้วต่อยแย็บเข้าไปที่ท้องของหญิงสาวผู้นี้จนเธอกระเด็นกระดอนไปตามพื้น และไปหยุดอยู่ห่างจากจุดที่ถูกทุ่มเกือบๆ 20 เมตร
ฟุบ ฟุ่ม แก็ง
“ ก ก แก!!! ”
เธอที่โดนเข้าไปขนาดนั้นก็ไม่ได้มีบาดแผลอะไรให้ได้เห็น ทั้งยังสามารถลุกขึ้นมาป้องกันมีดที่พุ่งเข้ามาแทงได้ ซึ่งมาร์เองก็มองดูด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ในหัวเขาไม่คิดจะวิเคราะห์ศัตรูเลยแถมทันทีที่อีกฝ่ายยกขึ้นป้องกันได้เขาจะการโยนลูกเหล็กกลมๆออกมาล้อมตัวของเธอเอาไว้ ลูกกลมๆสีเขียวที่เรียกว่าระเบิดมือ
“ ระเบิดนั้นอีกแล้ว!!! ”
วู่ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม
เป้าหมายของมาร์นั้นไหวตัวทันด้วยการหลับตาลงและกางบาเรียมานา แต่เธอก็คงเข้าใจอะไรผิดอย่าง ระเบิดนั้นไม่ได้ระเบิดแล้วส่งเสียงดังหรือแสงสว่างอะไร มันระเบิดพร้อมกับกระจายสะเก็ดออกมานับร้อยจนและก่อให้เกินฝุ่นควันจากพื้นดินจนบดบังทุกอย่างในบริเวณนั้น
แกร็ก แกร็ก แก็ก แก็ก
“ ส ส เสียงอะไร??! ”
ติ๊ดๆๆๆ ตู้มมมมมมม ฟู่… ฟู่…
ระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่อีกฝ่ายได้แต่ตกอยู่ในความสับสน สิ่งนี้เธอไม่เคยเจอมาก่อนและมันก็ไวเสียจนเธอตอบโต้หรือหนีไม่ทัน แรงระเบิดพัดเอาควันฝุ่นก่อนหน้าหายไปหมดและแทนที่ด้วยหมอกสีขาวที่ตัวของศัตรูเกลียดเป็นที่สุด สิ่งนี้มาร์เรียกมันว่าแก็สน้ำตา
“ แคกๆ ไอนี้ อึก [ ลม ] [ ลบล้างสถานะ ] !! ”
[ เครื่องปล่อย ก ก แก๊สงั้นเหรอ?!? อึก…ต้องทำลายมัน ]
อย่างไรก็ตามพอเธอเริ่มหายใจไม่ออก ก็เปิดการทำงานสกิลที่ลบล้างพร้อมกับสร้างพืิ้นที่ที่ปลอดควันพวกนี้รอบๆตัว แต่ว่าด้วยปริมาณของมันที่มากแถมพัดไปเท่าไหร่ก็ยังมีควันออกมาแทนที่ได้เรื่อยๆแบบไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเธอเองก็เห็นได้จากกล่องเหล็กจำนวนมากที่วางไว้บนพื้น ทว่าเธอกลับไม่เห็นเด็กชายที่กำลังไล่ต้อนเธออยู่ตอนนี้
ปั้งๆๆๆๆๆๆๆๆ
[ อึก!! ไอเด็กเวรนี้มันอะไรกัน?!? ]
และในระหว่างที่เธอกำลังตามหาด้วยการมองผ่านสกิล ผ่านสายตาของตน จู่ๆห่ากระสุนจำนวนมากก็พุ่งเข้ามาหาเธอ ซึ่งบาเรียนั้นก็ยังทำงานได้เป็นอย่างดี พวกมันแฉลบออกไปทั้งหมดแต่ว่ามันก็ยังน่าประหลาด เพราะมันไม่ได้ถูกยิงมาจากทางเดียวกัน มันพร้อมกันทั้ง ซ้ายและขวา
“ ชัก จะน่ารำคาญเกินไปแล้ว!!! ”
กึก กึก กึก ตู้มมมมม
เธอยกดาบเรเปียร์ของตนเองขึ้น ก่อนจะตวัดมันลงกับพื้นสร้างแรงอัดกระแทกทำลายทุกอย่างในบริเวณ และนั้นก็พัดเอาหมอกควันให้จางหายไปหมด ซึ่งมันก็ทำให้เธอได้เห็นศัตรูของเธอที่ยืนอยู่ด้านหน้า เด็กชายที่สวมสนับมือเอาไว้ทั้งยังตั้งท่ากาล์ดแบบยกสูงประกอบกับฟุตเวิร์คที่แปลกและหาไม่ได้ในโลกนี้
“ โฮ่… ไม่คิดจะใช้อาวุธที่มันดีกว่านี้หน่อยหรือไง!! ”
ด้วยสภาพแบบนั้นมันก็ทำให้เธอคิดว่าตัวของเธอน่ะได้เปรียบ และพุ่งเข้าใส่ในทันที ปลายดาบพุ่งไปยังใบหน้าของเด็กชายคนนั้น ทว่าเขาไม่ได้จะกลัวเลยกลับกันเขาเองก็ค่อยเดินเข้ามาอย่างมั่นคง สายตาจ้องมองไปยังศัตรูโดยไม่มีความลังเลใดๆอยู่เลย
แก็ง ตึก ผัวะ พลัค พลัค ตึ้ง
ดาบนั้นถูกปัดออกแบบเฉียดฉิวด้วยการใช้สนับมือเบี่ยงการโจมตีของมัน อีกทั้งด้วยความที่อีกฝ่ายที่ร่างกายและสมดุลยังคงพุ่งเข้ามา มาร์ก็จัดหมัดกระหน่ำอัดเข้าที่หน้าอก หน้า ก่อนจะเตะตัดขาจนศัตรูล้มทั้งยืน
“ อัค!! ”
ตุบ ผัวะๆๆๆๆ
และทันทีที่อีกฝ่ายล้ม มาร์ก็ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่จะขึ้นไปคร่อมบนตัว แล้วเริ่มกระหน่ำหมัดอัดไปที่หน้าของหญิงสาว โดยฝ่ายที่ถูกอัด ก็ไม่ใช่จะไร้สติ เธอกางบาเรียมานาไว้ตรงหน้าของตนเองได้ทันทำให้หมัดทุกหมัดไม่มาถึงยังใบหน้าของเธอ แต่แรงอัดของมันก็ทำให้เธอหน้าหันอยู่ดี
พลัค
[ โห่… ต่อสู้มือเปล่าก็เป็นสินะ ไม่สิ…เหมือนกับเราแบบนี้ แปลกๆแหะ ]
แต่แล้วในระหว่างที่มาร์กำลังกระหน่ำหมัดเพื่อจะทำลายบาเรียมานา เป้าหมายของเขาก็ใช้แรงแขนต่อยอัดเข้าที่หน้าอกของเขาจนกระเด็นลอยไปตั้งหลักห่างออกไปหลายเมตร ซึ่งมาร์พอมองดูอีกฝั่งก็ต้องตกใจเล็กน้อย เธอคนนั้นตั้งท่าเหมือนกับเขาทุกอย่าง แถมยังเก็บดาบเรเปียร์เรียบร้อย
“ หึ หึ ถ้าจะสู้ด้วยหมัด ก็มา!! ”
ฟุบ ฉัวะ
“ กรอดด!! ”
อ่า… แต่มาร์ไม่ได้สนคำพูดนั้น ทันทีที่ศัตรูเปลี่ยนมาใช้หมัด เขาก็เห็นช่องว่างแล้วหยิบเอามีดออกมาอีกครั้ง แต่มีดนี้ต่างออกไปมันไม่ได้ตรง แต่โค้งงอเหมือนตะขอ แล้วเข้าไปฟันเฉือนอย่างรวดเร็วจนสร้างบาดแผลบนตัวของเธอได้ มันเป็นการโจมตีที่เร็ว แม่นยำแต่ยังขาดความรุนแรง แผลที่เกิดจึงเป็นแผลบาดที่ลึก แต่ก็ไม่ถึงกระดูก
ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ
“ ทำไมแกถึงกล้าใช้มีดกันฮะ!! ”
เธอโกรธเป็นอย่างมาก และพยายามจะต่อยสวนกลับ หรือคว้าเอาตัวของมาร์เอาไว้ ซึ่งมาร์ก็หลบได้ทั้งหมด แบบเฉียดฉิวก่อนจะกลับมาตั้งหลักด้วยการถือมีดตั้งท่าแบบจับมีด Reverse แถมยืนได้สักพักเขาก็เก็บมีดก่อนจะหยิบเอาปืนพกออกมา ปืนพกที่ปลายกระบอกนั้นเหมือนกับค้อนทุบเนื้อ
ฟุบ พลัก พลัค ผัวะ
[ ไอหมอนี้มัน… ไม่ได้มีทักษะต่อสู้แค่ 1 ไม่สิ ระดับที่กดดันเราได้ก็มากกว่าขั้นช..ช..ชำนาญ!!?!? แบบนี้ก็เหมือนกับเราสู้กับศัตรูมากกว่า 1 แบบน่ะสิ!!! ]
[ ยังจะป้องกันได้อีก… ]
สำหรับมาร์ ผู้หญิงตรงหน้านั้นทรงพลังและลึกลับ เธอสามารถที่จะยืดหยัดสู้กับเขาในร่างต้นได้โโยบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แถมยังรับการโจมตีที่อัดสกิลมากมายขนาดที่ถ้าเป็นคนธรรมดามาโดนร่างคงสลายหายไปในครั้ง ทว่าฝ่ายหญิงเองก็มีปัญหาเหมือนๆกันคือ เธอเองก็ไม่เคยเจอศัตรูที่หลากหลายใน 1 คนขนาดนี้มาก่อน
[ ฟิเรน ถ้าไม่ไหวจะถอยก็ได้นะ!! ]
[ ไม่ได้หรอก ฟารุน ขืนปล่อยตัวอันตรายที่ไม่ได้อยู่ใต้ท่านผู้นั้นไปแบบนี้ สักวันมันต้องหันมาทำร้ายพวกเราแน่ๆ!! ]
ฉัวะ พลัค ผัวะ ฉึก แก๋ง!!
และการต่อสู้กับยังไม่หยุดลง มาร์พุ่งเข้าใส่อีกครั้งแล้วเริ่มโจมตีในแบบที่เกินกว่าคนทั่วไปจะทำ อย่างใช้มีดปาดเข้าไปก่อนจะเก็บมันเข้าไปในเงาและคว้าเอาดาบสั้นออกมาฟันตามด้วยเปลี่ยนเป็นสนับมือเข้าไปต่อยอย่างต่อเนื่อง ทำให้อีกฝ่ายตอบโต้ลำบากมาก ขนาดที่เธอเองยังคิดที่จะถอยแต่ในใจนึงเธอก็ไม่กล้าที่จะทำแบบนั้น
[ งั้นก็ต้องทุ่มสวนสุดตัวเลยนะ!! ]
[ อ่า… เข้าใจแล้วล่ะฟารุน ยังไงกับศัตรูระดับนี้ก็มีแต่ต้องทุ่มสุดตัวนั้นแหล่ะ!! ]
ฟุบ แก๋ง ฟุก ฟุก
เมื่อตัดสินใจได้แบบนั้น เธอก็พยายามมากขึ้นด้วยการเปิดการทำงานของสกิลเสริมมากมาย ทำให้ความเร็ว ความสามารถในการตอบสนองเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ก่อนจะพุ่งเข้าใส่มาร์บ้าง ทว่าตัวของมาร์นั้นของมองดูอยู่ตลอดเขาก็สามารถจะปัดป้องแล้วหลบการโจมตีที่เร็วขึ้นแบบนั้นได้อย่างเฉียดฉิว
[ ห่อร่างด้วยสกิลกี่อย่างล่ะนั้น… แบบนี้ถ้ายกเลิกให้หมดก็ อ่า เชี่ย…มานายัยนี้มันพิเศษนี่หว่า ]
สำหรับมาร์นั้นถ้าเขาเจอสถานการณ์แบบนี้ เขาก็คงจะจัดการยกเลิกสกิลของอีกฝ่ายผ่านการแทรกแซงมานาหรือการเข้าไปคุมด้วยการควบคุมมานาของตนเอง แต่ว่ามันก็มีปัญหาที่ศัตรูตรงหน้านั้นไม่เหมือนกับคนอื่นที่เขาเจอมา มานาของเธอมันซับซ้อนทับกันอย่างแปลกประหลาดจนการแทรกแซงหรือยกเลิกไม่สามารถจะทำให้สำเร็จได้
[ งั้นมาแบบนี้ก็ตอบกลับไปแบบที่ฝั่งนั้นทำเลยก็แล้วกัน แต่…แบบนี้ก็จะกลายเป็นสู้กันด้วยมานาจริงๆสินะ ]
กึก กึก กึก
[ สัตว์ประหลาดสินะ… แบบเดียวกับพวกเราหรือเปล่า?!? ]
[ ม ม ไม่รู้สิฟ ฟ ฟารุน ]
[ อืม… ยังไงพวกเราก็คงชนะแหล่ะ ถ้าสู้กันด้วยเรื่องจำนวนมานาน่ะนะ ก็ 2 ต่อ 1 แบบนี้ ]
และเมื่ออีกฝ่ายเสริมพลังขนาดนั้นแล้ว มาร์ก็เลือกทางออกที่เหมาะสม เขาบัฟร่างกายตัวเองเพิ่มเติมอีก จนถึงขนาดที่เพียงแค่ขยับร่างพื้นที่ยืนอยู่ก็เกิดรอยแตกเลยทีเดียว ซึ่งอีกฝ่ายเองพอได้เห็นพลังที่ไหลออกมาก็ถึงกับเหงื่อตก เธอไม่คิดว่าจะได้มาเจออะไรที่คล้ายกับตัวเองแบบนี้
“ มา!! ”
“ … ”
ฟุบ … … คู่ม!!!
ต่างฝ่ายต่างพุ่งเข้าหากัน และปะทะด้วยทุกอย่างที่ตัวเองมี แรงตวัดเรเปียร์ของฝ่ายหญิงนั้นทรงพลังพอจะทำให้ต้นไม้รอบข้างขาดสะบั้น ส่วนแรงต่อยแรงเฉือนของมาร์ก็มากพอจะทำได้ในแบบเดียวกัน โดยเฉพาะที่เด่นชัดของทั้งสองฝ่ายคือความเร็ว เร็วระดับที่ตาคนจะมองไม่เห็นอะไรนอกจากความพินาศที่เกิดขึ้นกับพื้นที่โดยรอบ
ตู้ม คึ่ง ฉัวะ ตู้ม!! ฟู่มมมม เปรี้ยงงง
ผืนดินโดยรอบเริ่มจะเปลี่ยนสภาพ จากป่าไม้ธรรมดากลายเป็นพื้นที่รกร้างในเวลาเพียงไม่นาน พื้นดินที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าก็กลายเป็นทะเลเพลิงจากสกิลที่ยิงอัดใส่กัน ต้นไม้ไม่ขาดก็หักหรือแหลกสลายไปไม่เหลือแม้แต่โคน ดินที่ทั้งสองยืนก็เริ่มจะกลายเป็นหลุมลึกลงเรื่อยๆ สัตว์ป่า มอนสเตอร์เองก็ไม่รอดพวกมันโดนลูกหลงแม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปเป็นกิโลเมตรก็ตาม
[ เราต้องโฟกัสที่การเบิร์นมานา… ใช่ ในเมื่ออีกฝ่ายมีมานาแปลกๆ ก็หาทางเบิร์นมันให้หมดก็พอ ]
แกร็ก แกร็ก แกร็ก กริ๊ก
แต่ก็ใช่ว่าการต่อสู้นี้จะมีแต่การใช้กำลังอย่างเดียว มาร์นั้นเห็นว่าศึกแบบนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมานา ดังนั้นอะไรที่ทุ่นแรงได้แล้วจำเป็นเขาก็ใช้มันให้หมด นั้นทำให้เจ้าตัวหยิบเอากับผลิตแก็สน้ำตาจำนวนนึงออกมาแล้วติดไว้ที่หลังของตนพร้อมกับจุดการทำงานของมัน ทำให้รอบๆตัวของเขาเริ่มจะเต็มไปด้วยสารที่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับมองด้วยความโกรธ
“ ควันนี้อีกแล้ว!!!! บ้าเอ้ย!! ”
[ ไม่เป็นไรหรอกฟิเรน มันติดไว้บนหลังแบบนั้น มันเองก็ต้องได้รับผลบ้างล่ะ!! ]
การต่อสู้นี้ หากจะให้รอดไปได้ ตัวของหญิงสาวก็ต้องยอมใช้สกิล ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้สนในจุดที่มาร์เล็งไว้แล้วเปิดการทำงานของสกิลอย่างไม่หยุดพัก เพื่อจะให้ร่างกายสามารถฝ่าควันพวกนั้นเข้าไปโจมตีใส่เด็กหนุ่มนี้ได้ โดยไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอคิด
[ นั้นแหล่ะ มีอะไรก็จัดมาเลย… ]
มาร์นั้นไม่ต้องเปิดสกิลใดๆ เพื่อต้านทานแก็สน้ำตานี้ เพราะ 1. หน้ากากของเขามันกรองได้อยู่แล้ว และ 2.ร่างกายของเขามันคุ้นชินกับอาการแสบร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อแก็สสัมผัสโดนร่างกาย ดังนั้นเขาเลยต่อสู้ได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลยสักนิด ผิดกับอีกฝ่ายที่ยิ่งนานมานายิ่งถูกสูบหายไป
ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง
[ หึ!! ใช้ปืนแบบนี้มานาจะหมดแล้วหรือยังไง!! ]
[ อย่าประมาทนะฟิเรน!! ]
ซึ่งนอกจากแก็สน้ำตาแล้ว มาร์ก็ยังใช้ปืนยิงใส่เป็นช่วงๆ ทว่ามันก็เหมือนเดิมกระสุนทุกนัดแฉลบออกหมดไม่มีอะไรเข้าไปถึงตัวเธอได้เลย โดยอีกฝ่ายที่เห็นศัตรูใช้ปืนแล้วยังตีตัวออกห่างก็เริ่มคิดแล้วว่าฝ่ายนั้นมานาคงใกล้จะหมดแล้วแน่ๆ
[ เซฟ มานาหน่อย…ตัวเรา หมดไป 10 เปอร์เซ็นต์แล้วนะ ]
ทว่าแท้จริงก็เป็นไปอย่างที่มาร์กำลังคิดอยู่ มานาของเขาลดไปได้ 10 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด และยังคงลดลงเรื่อยๆในระดับที่คงที่ แต่แม้ว่าจะลดช้าขนาดนี้ก็ตามเขาก็ไม่ได้จะพุ่งเข้าไปสู้กับศัตรูด้วยสกิลที่มากกว่าเดิม หรือยอมเสี่ยงใช้บาเรียมานามาป้องกันตัวเองให้เปลืองมานาเพื่อให้มีโอกาสโจมตีได้ เขาน่ะใจเย็น หลบ แล้วก็หลบ
[ อึก… เมื่อไหร่ควันนั้นมันจะหมดสักที!! แบบนี้เราก็ต้องเปิดสกิลไปเรื่อยๆเลยน่ะสิ!! ]
[ ไม่หรอกฟิเรน อีกฝ่ายก็คงทนอีกได้ไม่นานหรอก เรายังเสียมานาไม่ถึงครึ่งยังไงก็พยายามกดดันต่อไปล่ะ!! ]
[ อื้อ เข้าใจแล้ว!! ]
เช่นกันกับอีกฝ่าย ที่ก็ไม่รู้ว่ามานาของอีกฝ่ายหรือเท่าไหร่ จริงๆต้องบออกว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีทางรู้เลยต่างหาก เพราะต่างฝ่ายก็ต่างมีอุปกรณ์ปกปิดสเตตัสระดับสูงเอาไว้ ทำให้การจะมองเห็นมานาที่เหลืออยู่เป็นเรื่องที่ยากมาก และทางที่จะรู้ได้ก็มีเพียงอาการเหนื่อยของอีกฝ่ายเท่านั้น
ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม
ทั้งสองปะทะกันไปอีกเกือบๆ หลาย 10 นาที ไม่สิ จะเกือบๆชั่วโมงแล้วก็เป็นได้ ซึ่งหากเทียบเป็นเวลาของโลกมันก็คงกินเป็นปี เพราะการปะทะของทั้งสองไม่ใช่วิต่อวิแล้ว มันกินเวลาน้อยกว่านั้นมาก หากอธิบายให้เห็นภาพ ใน 1 วินาทีก็เหมือนๆ 10 นาทีของพวกเขา ทั้งคู่ห่ำหั่นกันอย่างไม่หยุด โดยแม้จะไม่มีบาดแผลทางกายเกิดขึ้นอีก บาดแผลทางวิญญาณอย่างมานาไหลออก ก็มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ทั้งบาเรียมานาที่แตกออก การเสริมร่างกาย สกิลเสริมต่างๆที่ร่ายซ้อนทับกันหลายสิบอย่าง
[ ช้าลงนะ… ]
และเมื่อเวลาผ่านมาขนาดนี้แล้ว มาร์ก็เริ่มจะสังเกตุเห็นได้ อีกฝ่ายเคลื่อนที่ช้าลง แถมสีหน้าเองก็เริ่มจะอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับเขาที่ตอนนี้มานาเพิ่งหายไปเพียง 30 กว่าเปอร์เซ็นต์และยังอยู่ในระดับที่ร่างกายไม่เหนื่อยด้วย นั้นทำให้เขาเริ่มจะมอง มองหาโอกาส แต่ก็ไม่ได้จะลงมือในทันที
[ ฟ ฟิเรน!! มานาหายไปจะ 60 เปอร์เซ็นต์แล้วนะ!! แบบนี้ถ้าเหลือต่ำกว่า 30 เราจะมีไม่พอใช้ถอยนะฟิเรน!! ]
[ ข ข ข เข้าใจแล้วฟารุน แต่หมอนี้ ม มัน อึก.. ไม่หยุดเลย!! ]
สิ่งที่มาร์คาดการณ์นั้นเป็นจริง ตัวของหญิงสาวตรงหน้าเริ่มจะอ่อนแรงจนทำอะไรได้ช้าอย่างที่เขาคิด ซึ่งอีกฝ่ายที่ไม่เห็นสีหน้าของมาร์ ก็ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเขาเหนื่อยหรือไม่ ยิ่งประกอบกับควันแก็สน้ำตาอีก ยิ่งอยากจะเห็นได้ว่าการเคลื่อนไหวของเขาเปลี่ยนไปหรือไม่
[ ถอยเถอะฟิเรน!! ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเราจะเสี่ยงกันเกินไปแล้วนะ!! ]
[ ก ก ก็อยากอยู่หรอก แต่ดูมันสิ!! ]
ในหัวของเธอตอนนี้รับรู้ได้แล้วว่า สถานการณ์มันเริ่มเอนเอียงไปทางศัตรู เธอไม่สามารถจะสู้และมั่นใจว่าจะชนะได้เหมือนที่เธอคาดไว้ตอนแรก และยิ่งยากกว่าเดิมอีกเมื่อเห็นว่าศัตรูนั้นไม่เปิดช่องให้เธอได้ถอยหลังเลยแม้แต่น้อย นี้ถ้าหันหลังเมื่อไหร่คงไม่พ้นโดนแทงจากข้างหลังแน่ๆ
[ งั้นพยายามต้านไว้นะฟิเรน!! เดี๋ยวชั้น… ]
[ อ่า!! เข้าใจแล้ว จะพยายาม อึก !! ]
ทางออกเดียวที่มีคือการยื้อต่อไป ทางอื่นมีแต่จะทำให้เธอเจ็บตัว ไม่สิ ทำให้เธอตายได้เลยทีเดียว เพราะแบบนั้นเธอจึงทุ่มกำลังมากขึ้น เริ่มจะบุกแทนป้องกันเพื่อพยายามจะกดมาร์และเปิดช่องว่างให้ตัวเองถอยได้ แต่…มาร์เองนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นเลย
[ บุกแบบนี้ แรงใกล้หมดจริงจังสินะ? เห้อ…งั้นก็… ]
เขาที่เห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มจะไม่ป้องกันแล้วหันมาบุกแบบสุดตัว ก็แสดงออกให้เห็นแล้วว่านี้คือจังหวะตัดสินชีวิตของคนที่พยายามจะฝืน และมาร์ก็เริ่มจะเล็งไปตามส่วนต่างๆของศัตรู เขาเพียงแค่มองและคาดการณ์อย่างต่อเนื่องถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น พร้อมกับวางแผน แผนที่จะปลิดชีพศัตรูให้ได้ไวที่สุด
[ [ พื้นที่มิติ ] พันธนาการศัตรู… ]
ฟุบ ฟุบ หมับ หมับ กึก กึก
“ อะไ..!! ”
[ ฟิเรน!!! อันตราย!! ]
อีกฝ่ายที่มัวแต่บุกเขามาเลยไม่ได้ระวังสิ่งที่มาร์เตรียมเอาไว้ เงาสีดำมากมายโผยพุ่งออกมาจากอากาศ พวกมันเข้าพันธนาการเป้าหมายตามจุดที่มาร์เล็งเอาไว้ แล้วเธอก็หยุดชะงักไปเพียงเสี้ยวของเสี้ยวของเสี้ยววินาที และด้วยการหยุดชะงักนี้เองมาร์ก็มาปรากฎตัวตรงหน้าของเธอในทันที
ฟุบ เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง ฉึก
“ อ… อึก… อ๊…ะ ”
ก่อนที่เธอจะได้ตอบโต้ใดๆ ภาพที่เห็นก็คือมีดเล่มยาว มันพุ่งทะลุม่านบาเรียมานาของเธอเข้ามาอย่างรวดเร็วและปักเข้าที่กลางหน้าอกของเธอ มันฝังลงไปจนมิดด้ามและเลือดสีแดงก็ค่อยๆหลั่งไหลออกมาจากบาดแผลเล็กๆนั้น… ไหลออกมาพร้อมกับน้ำตาของเธอ
“ ฟ…า รุ..น ช ช ชั้…น ข อ…. ”
ตุบ
“ … ”
คำพูดนั้นคือสิ่งสุดท้ายที่มาร์ได้ยิน เขาเก็บมีดแล้วถอยห่างออกจากร่างของหญิงสาวที่ล้มลงเหมือนกับตุ๊กตาที่เชือกถูกตัดขาด ร่างนั้นลงไปนอนกับพื้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและไม่ขยับไปไหนอีก มาร์มองดูเช่นนั้น ทว่า…ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร มันก็มีบางอย่างเกิดขึ้น
วู่ม… วู่ม…
“ อะไรล่…!! ไม่ได้การณ์ล่ะ!! ”
สิ่งที่เขาเห็นนั้นมันเกิดกว่าที่เขาคิดมาก ร่างของหญิงสาวนั้นจู่ๆก็เรืองแสงสีแดงเลือด ก่อนที่ร่างที่ควรจะมีเพียงหนึ่ง กลับแยกออกเป็นสองร่าง โดยหนึ่งมีผมกับดวงตาสีดำ และอีกหนึ่งมีผมกับดวงตาสีเงิน เขาที่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าจะต้องทำอะไร นั้นทำให้มาร์เดินตรงเข้าไปพร้อมกับหยิบเอามีดออกมเตรียมจะปลิดชีพศัตรูเสีย
ฉึก…
“ อัค น น นี้ มั น!! ”
ทว่าเสียงของการแทงทะลุผ่านเนื้อนั้นดังได้ขึ้น แต่มันไม่ได้ดัง ณ จุดที่ทั้งสองร่างนอนอยู่ มาร์ก้มลงมองตามเสียงนั้น มองไปที่หน้าอกของตนเอง เหล็กแหลมสีเงิน…มันแทงทะลุมาจากข้างหลัง ทะลุผ่านร่างของมาร์ไป เสียบกลางผ่านหัวใจของเขา
ตุบ
แกรก แกรก แกรก
มาร์ล้มลงไปนอนจมกองเลือดของตนเอง โดยในหัวก็ได้ยินเพียงเสียงของ [ Absolute Deny ] ที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง มันพยายามจะต่อต้านความตายของเขา ทว่าตอนนี้เขาก็ขยับตัวไม่ได้และมีแต่สติที่เริ่มจะเรือนรางลงเรื่อยๆ ยังไงก็ตามในตอนที่ดวงตาของเขากำลังจะปิดลงนั้น ภาพสุดท้ายที่เห็นคือ คนลึกลับที่สวมผ้าคลุมสีเงินไว้ทั้งตัวกำลังอุ้มร่างของศัตรูทั้ง 2 ที่นอนหมดสภาพอยู่ไม่ต่างจากเขา มาร์ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของคนผู้นี้ได้ สิ่งเดียวที่เขาเห็นชัดก็คือ วงแหวนสีเงินบนหัวของคนคนนั้น วงแหวนที่สว่างจ้าและมืดมิดในเวลาเดียวกัน
“ ฟารุน ฟิเรน… ได้เวลากลับบ้านแล้วนะ ”
……
MANGA DISCUSSION