ครึก ครึก ครืนนน ฉัวะ!!
นับจากวันที่ผู้ว่าจ้างและเหล่าผู้ถูกจ้างได้มาเจอกันนั้นก็ผ่านไปได้ 10 กว่าวันแล้ว และผลลัพธ์ของราคาที่รินรินเทได้จ่ายไปนั้นก็เกินกว่าที่เธอคาดหวังไว้มาก มากขนาดที่ตอนนี้เธอได้แต่เดินยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ข้างหลังเหล่าโล่เนื้อทั้ง 5 นี้ โล่เนื้อที่เธอจ้างมาด้วยเงินของกองทัพจอมมาร
[ สมกับเป็นพวกแรงก์สูงจริงๆ ผ่านมอนสเตอร์พวกนั้นมาได้ง่ายดายแถมไม่มีใครบาดเจ็บอีก แม้แต่บอสที่ชั้น 5 ก็โดนกำจัดง่ายๆด้วยเวทย์กับดาบ แถมพอมันจะฝ่าเข้ามาก็ถูกมอนสเตอร์เงารุมตายอย่างง่ายดายอีก ดูท่าสิ่งที่เราต้องระวังนอกจากยูโทเปียก็คงเป็นกลุ่มคนพวกนี้ล่ะนะ ฟูฟุน เคนโต ฟิโอเน่ ลังก้า ]
ในระหว่างที่รินรินเทกำลังจับตาดูนักพจญภัยนั้น เธอก็ได้คอยจดชื่อและวิธีการต่อสู้ของพวกเขาลงไปในสมุดที่ตนพกมาด้วย ไม่ว่าจะสไตล์การฟันดาบที่เน้นป้องกันของฟูฟุน ทักษะการยืนยิงจากระยะไกลของเคนโตที่กว่าจะยิงก็นานแสนนาน แต่ผลลัพธ์ก็การันตีความตายในนัดเดียว หรือจะเป็นการร่ายเวทย์ผสมปนเปมากมายที่ทำให้ศัตรูอ่อนแอและพรรคพวกแข็งแกร่งโดยฟิโอเน่ และการสั่งของลังก้าที่ทำให้มอนสเตอร์เงารุมโจมตี มอนสเตอร์เงาที่มีรูปร่างมากมายไม่ว่าจะเป็นสี่ขา หรือสองขาก็ตาม ทั้งหมดนั้นเธอจดไว้อย่างละเอียด
[ แต่จะว่าไปแล้วตั้งแต่ตอนลงมา มาเร่ ก็ไม่ได้จะทำอะไรเลย ไม่สิ น่าจะต้องเรียกว่าไม่มีโอกาสมากกว่าล่ะ ก็นะ…พวกนักพจญภัยระดับสูงพวกนั้นเก็บหมดแบบนี้นี่น่า ]
โดยระหว่างที่จดอยู่นั้นเธอก็แอบหันไปมองยังมาเร่ หญิงสาวที่เดินอยู่ห่างจากเธอไปไม่มากนัก ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่นักพจญภัยเหมือนกับ 4 คนที่เธอจดชื่อ เธอเป็นเพียงนักเรียนจากยูโทเปียเท่านั้นและมาที่นี้ด้วยเหตุผลทางการศึกษาเป็นส่วนใหญ่
“ งือ… โดนแย่งหมดเลย แบบนี้จะได้ยิงไหมอ่าาา!! ”
[ อึก…ดูทำหน้าสิ สีหน้าเซ็งๆนั้น แก้มป่องเลยนะ น่ารั… ไม่ ไม่ ไม่! เกืิอบไปแล้วไหมล่ะเรา!! ]
อย่างไรก็ตามอย่างที่รินรินเทเห็น เธอดูเซ็งกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากจนแสดงออกมาด้วยการทำหน้าบึ้งแก้มป่อง ไม่พอใจที่ตนไม่ได้ทำอะไรนอกจากแบกปืนแล้วเดินตาม ซึ่งการได้เห็นสีหน้านั้นของมาเร่ก็เกือบทำให้รินรินเทหลุดยิ้มออกมาเลยทีเดียว
[ สติสิชั้น!! สติ!! อีกแล้วนะตัวชั้น!! นั้นผู้หญิงเหมือนกันกับเรานะ!! ไม่ได้จะมาหลงไปไปไม่ได้!! ใช่!! ตอนนี้เราอยู่ไหน เราอยู่ในดินแดนศัตรู!! แถมยังลึกลงมา 10 กว่าชั้นอีก!! จะมามัว อึก… แต่… ไม่ ไม่ ไม่!! พอๆๆๆ อย่าไปมอง!! ]
ซึ่งพอคิดได้แบบนั้น รินรินเทก็พยายามจะดึงสติกลับมาด้วยการหันไปมองยังที่อื่น พร้อมกับคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามไอการที่เธอพยายามเบี่ยงเบนความสนใจจากรินรินเทแล้วเอาแต่คิดถึงเรื่องอื่นก็ทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่น้อย เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะตลอดทางที่มานี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเกือบจะหลงไปในตัวของมาเร่
ฉัวะ กึก… !!
“ เดี๋ยว!! ใครก็ได้ดึงตัวคุณรินรินเทไว้เร็วเข้า!! ”
“ อะไรนะ!! นี้เดินเข้ามาอีกแล้วเหรอ!! ”
“ มาเร่!! จับคุณรินรินเทไว้ที!! ”
“ ค ค่าาาาาา!! ”
ด้วยการที่รินรินเทพยายามคิดเรื่องอื่นมากไปนั้นแหล่ะ ทำให้หลายครั้ง เธอจะไม่สนใจอะไรรอบข้างแล้วมักจะเดินเข้าไปยังบริเวณที่มีการต่อสู้เพื่อจับตาดูทุกอย่างใกล้ๆ จนเกือบจะทำให้เธอดูลูกหลง ไม่ก็เกือบจะโดนมอนสเตอร์ที่ซ่อนตัวอยู่เข้ามาโจมตี
“ นี้!! อย่ามัวแต่สนใจไอเทมดรอปสิคะ!! เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวหรอก!! ”
“ อ๊ะ… ขอบคุณครับ! คุณมาเร่ ”
แน่นอนว่าคนที่อยู่แนวหลังอย่างมาเร่ แล้วเป็นคนที่ไม่ได้ทำอะไร ก็เลยต้องรับผิดชอบคอยห้ามกับวิ่งเข้าไปรวบตัวไม่ให้รินรินเทเดินเข้าไป อย่างไรก็ตามพอโดนจับเนื้อต้องตัวโดยคนที่เธอพยายามจะไม่สนใจแบบนี้ ก็ทำให้รินรินเทต้องหน้าแดงด้วยความเขินอายไปซะทุกครั้ง
“ แหมๆ ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ นี้น่ะหน้าที่นะ!! หน้าที่!! เนอะะะะ!! ”
[ ฮึก…ฮื่อ…. อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้นน้าาา อื้ออออออ ]
มาเร่นั้นนอกจากเธอจะรับคำขอบคุณที่เต็มไปด้วยความเขินอายของรินรินเทแล้ว เธอยังตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่แสนจะสดใสและเจิดจ้าจนทำให้รินรินเทถึงกับตั้งหรี่ตาและพยายามหลบหน้าเลยทีเดียว โดยในใจของเธอตอนนี้ก็เต้นแรงจนไม่รู้จะแรงยังไงแล้ว
“ คุณรินรินเทฮะ มอนสเตอร์ตรงนี้ดรอปไอเทมแล้ว มาเอาไปได้เลยนะฮะ เดี๋ยวผมจะสั่งให้เหล่าเงาของผมคอยระวังรอบๆไว้ให้ ดังนั้นปลอดภัยแน่นอนฮะ ”
“ ครับ!! จะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะครับ! รบกวนด้วยนะครับคุณลังก้า ”
และนี้ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติอีกอย่างของการสำรวจหอคอย หรือดันเจี้ยนนี้ เพราะเมื่อใดที่มอนสเตอร์ดรอปของ หรืออะไรก็ตาม ลังก้าจะจัดการเอาเงาของเขาไปยืินล้อมเอาไว้เพื่อให้รินรินเทเข้าไปเก็บของเหล่านั้นได้อย่างสบาย โดยตอนแรกก็ไม่ได้มีมาตราการป้องกันอะไรพวกนี้หรอก แต่ก็ต้องมีเพราะหลายหนที่ไอเทมดรอปรินรินเทมักจะเดินเข้าไปหยิบมาดื้อๆเลย โดยไม่สนสถานการณ์รอบๆ
“ ฮ่า ฮ่า ไม่เป็นไรหรอกฮะ อ๋อ!! มาเร่เองก็คอยดูคุณรินรินเทด้วยล่ะ เดี๋ยวผมไปช่วยคุณฟูฟุนก่อนนะ ”
“ อื้อออ ไว้ใจได้เลย!! โอ้ แล้วก็พยายามเข้านะคะ!! ”
การทำแบบนั้นของรินรินเท ผู้เป็นผู้ว่าจ้างทำให้สมาชิกปาร์ตี้นั้นดูจะให้ความเป็นห่วงไม่ใช่น้อย เพราะความสนอกสนใจนั้นทำให้รินรินเทมักจะไม่ระวังตัวเลย ยิ่งผสมกับการพยายามไม่สนใจมาเร่อีก ยิ่งทำให้เธอมักจะเผลอไปยืนใกล้ๆจุดปะทะเสียทุกที จนทุกคนกลัวว่านายจ้างคนนี้จะบาดเจ็บ
[ โห… ขนนี้เรียบดีจังแหะ แต่สีน้ำตาลแบบนี้ อืมม เหมาะกับการเอาไปทำเป็นพรมไม่ก็เกราะหนังจังแหะ ไหนๆ มีดก็… อ่า แทงไม่เข้าเลยแหะ ]
ทว่าจริงๆแล้วถ้าทุกคนได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของรินรินเท จะรู้ได้เลยว่าเธอนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยกับมอนสเตอร์พวกนี้ เพราะเธอที่เป็นถึงมือสังหารอันดับต้นๆของกองทัพจอมมารนั้น สามารถกำจัดพวกมันได้อย่างง่ายดายแถมเผลอๆอาจจะเร็วกว่าที่ฟูฟุน หรือเคนโตทำได้เสียอีก นั้นทำให้เธอไม่รู้สึกถึงอันตรายเลยจนเป็นเหตุให้เผลอทำตัวแบบนั้นไป แต่ว่าเธอก็ไม่อาจจะลงไม้ลงมือได้เองในตอนนี้ ไม่งั้นจะเป็นที่สงสัยเอา ทำให้ถ้าหากจะโดนโจมตีเธอก็ต้องเนียนรับเสียตลอด
“ นี้ นี่? คุณรินรินเทคะ? ”
“ ค ค ครับคุณมาเร่ มีอะไรอย่างงั้นเหรอครับ? ”
“ ก็ อือออ ก็เป็นห่วงนี้คะ!! แบบว่าไงดีล่ะ คุณรินรินเทชอบเดินเข้าไปแบบนั้นมันอันตรายนะคะ!! ถ้าเกิดเป็นอะไรไปล่ะ…ก็…งืออ ”
[ อึก… ใจชั้น ไม่นะ อย่า อย่าเผลอเด็ดขาด อดกลั้นไว้… อดกลั้นไว้… ]
ซึ่งด้วยความเป็นห่วงนี้เอง ทุกคนจึงวนเวียนเข้ามาเตือนอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะมาเร่ ที่อยู่เป็นแนวหลังซึ่งใกล้ชิดกับรินรินเทมากที่สุด เธอมักจะเข้ามาหา มาถามตลอด ซึ่งนั้นก็ทำให้รินรินเทต้องพยายามอดกลั้นอีกเช่นเคย ทว่าผลลัพธ์ของการเข้ามาหาเอง ก็ทำให้คนอื่นนอกจากรินรินเทมีความรู้สึกที่แตกแยกออกไป
[ โธ่เว้ย!! ถ้าเรารวยล่ะก็ มาเร่ต้องหันมาสนใจเราแน่ๆ!! ใช่ ไว้จบจากนี้เราจะเอาเงินที่ได้ให้เธอสักครึ่งนึงก็แล้วกัน! ]
อย่างเคนโตนั้น เขาอิจฉานายจ้างตนเองที่มีสาวสวยฐานะดีมาคอยเป็นห่วงเป็นใยอยู่เสมอ จนเวลาที่มาเร่เดินเข้าไปหารินรินเท เคนโตก็จะหันไปมองเสียทุกทีจนแทนที่จะยิงธนูก็มักจะง้างไว้นานกว่าปกติเสมอ ซึ่งด้วยความที่เขายิงช้าอยู่แล้วทุกคนในกลุ่มจึงไม่ได้เอะใจถึงตรงนี้แม้แต่น้อย
“ ยัยมาเร่นั้นเอาอีกแล้วนะ! ทั้งๆที่ชั้นสวยกว่าขนาดนี้แท้ๆ ถ้าไม่ติดเรื่องต้องมาคอยดูแลแนวหน้่าล่ะก็นะ!! ”
“ น่า น่า ใจเย็นๆหน่อยสิฮะฟิโอเน่ เห็นคนหล่อรวยแล้วก็เป็นซะแบบนี้ทุกทีเลยนะฮะเนี่ย ”
“ เดี๋ยวนะเดี๋ยว!! นี้นายจะบอกว่าชั้นเลือกคนเพราะแค่หล่อรวยงั้นเหรอยะลังก้า!! ”
“ อืมม… แล้วมันไม่จริงอย่างงั้นเหรอฮะ ”
“ ชิ!!! ไม่น่าเป็นเพื่อนสนิทกับแกเล้ยย!! ”
เช่นกันกับฟิโอเน่ที่แอบหมั่นไส้มาเร่ จากการที่เธอเข้าไปหารินรินเทคนเธอที่หมายตาไว้ จนทำให้ในสายตาของฟิโอเน่นั้น มาเร่เหมือนกำลังเกาะแกะรินรินเท และไม่มีช่องว่างให้เธอเข้าไปตีสนิทเลย ซึ่งนั้นก็แค่ในสายตาของเธอล่ะนะ เพราะเพื่อนสนิทอย่างลังก้านั้นไม่ยักกะมองเห็นอะไรแบบนั้นเลยสักนิด
“ หึ ตอนนี้ช่างมันก่อนละกัน!! งานต้องมาก่อนนี้เนอะลังก้า ”
“ แหมๆ อย่างน้อยคุณภาพงานยังเหมือนเดิมสินะฮะ นึกว่าจะมัวแต่ส่องผู้อย่างเดียวซะแล้ว ”
“ โหหห นั้นปากเหรอยะ!! ”
อย่างไรเสียความไม่พอใจเหล่านี้ก็ต้องเก็บไว้ เพราะพวกเขานั้นมาในฐานะผู้ถูกว่าจ้างแถมยังเป็นระดับสูงอีก ความสัมพันธ์นั้นจึงไม่ใช่เพื่อนหรือคนรู้จัก จะให้มาแสดงอาการเอาแต่ใจหรือทำอะไรตามใจชอบคงจะไม่ได้
[ ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ก็ยังน่าประหลาดใจเสมอเลยนะ ที่แบบนี้น่ะ ทั้งๆที่อยู่ใต้ดินแท้ๆ ]
ในระหว่างที่กลุ่มของรินรินเทกำลังเดินทางไปยังชั้นต่อๆอย่างเรื่อยๆนั้น แสงสว่างภายในชั้นที่พวกเขาอยู่ ก็ค่อยๆมืดลงพร้อมกับทำให้เห็นแสงไฟสีแดง แสงจากดวงตาของมอนสเตอร์อยู่รอบ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าแปลกสำหรับรินรินเท เธอรู้ตัวดีว่าตนเองอยู่ที่ไหน และที่ที่ว่านั้นมันก็ไม่ควรจะมีพระอาทิตย์ขึ้นลงเลย แต่ที่นี้ก็สามารถจะมีอะไรแบบนี้ได้
“ ทุกคน!! เราต้องหยุดแล้วหาที่ตั้งแคมป์เดี๋ยวนี้เลย!! ”
ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้นั้น นักดาบหมีอย่างฟูฟุนก็ได้หันบอกกับทุกคนด้วยเสียงที่จริงจังตามปกติ เพราะเขาที่มีประสบการณ์ลงดันเจี้ยนนี้มาหลายหน เลยรู้ดีว่าการลุยในเวลากลางคืนในช่วงชั้นแรกๆไม่ใช่เรื่องดี จากการที่มอนสเตอร์มีขนาดเล็ก การลอบเข้ามาจึงง่ายและถ้าพลาดก็โดนล้อมปิดตายได้ด้วย ซึ่งต่อให้มีปาร์ตี้ที่เก่งแต่ด้วยความมืดก็เสี่ยงจะพลาดโจมตีโดนกันเอง แถมถ้ายิ่งถ้าใช้เวทย์แสงเปิดการมองเห็นก็กลายเป็นการล่อมอนสเตอร์อีก
“ นั้นสินะ งั้นเอาตรงนั้นเป็นไงล่ะ ”
“ สายตาไม่เลวเลยนี่เคนโต ”
“ ทุ่งโล่งๆงั้นเหรอ อืม ถ้ามีคนเฝ้าก็ไม่น่ามีปัญหาหรอกมั้ง ”
“ ดูพูดสิฮะแหม ยังไงตัวเองก็ไม่ได้เฝ้าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอฮะ ”
“ บวก 1 เห็นด้วยค่าา!! ทุ่งโล่งๆลมจะได้พัดเย็นๆด้วย นอนสบาย!! ”
ทั้งหมดจึงได้ลงมือตั้งแคมป์กันในพื้นที่ที่มีเพียงหญ้าสั้นๆเท่านั้น ไม่มีต้นไม้หรือพุ่มไม้มาบังหรืออำพรางเลยสักนิด ทำให้เมื่อจัดแคมป์เสร็จแล้วสิ่งที่ได้คือ เต็นท์จำนวน 3 หลัง โดยแบ่งออกเป็นของชายหญิงและผู้ว่าจ้าง โดยตรงกลางมีกองไฟกองเล็กๆให้แสงสว่างตลอดเวลา
และในช่วงเวลานี้ทุกคนก็ต่างแยกย้ายไปทำธุระของตนเอง บ้างก็หาที่อาบน้ำ บ้างก็ทำอาหาร ไม่ก็ยืนเฝ้าดูสถานการณ์รอบๆ อย่างไรก็ดีผู้ว่าจ้างอย่างรินรินเท ที่กำลังนั่งอยู่ในเต็นท์ของตนก็ได้เขียนบันทึกและข้อสรุปในสิ่งที่เจอในช่วงเวลาที่อยู่ด้านล่างนี้
“ บันทึกวันที่ 12 ชั้นกับพวกคนจากกิลล์นักพจญภัย ได้เดินทางลงมาถึงชั้นที่ 14 ชั้นพบว่ายิ่งลงมาลึกเท่าไหร่ พื้นที่ก็จะยิ่งขยายกว้างขึ้นแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม ส่วนมอนสเตอร์นั้นความอันตรายของพวกมันไม่ได้มากแต่จำนวนต่างหากที่ทำให้พวกมันอันตราย ยิ่งในชั้นหลังๆมานี้ ขนาดและจำนวนที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้เหล่านักพจญภัยกลุ่มอื่นดูลำบากที่จะจัดการมัน โดบมอนสเตอร์ส่วนใหญ่มักจะเป็นสิ่งมีชีวิตสี่ขา ที่หน้าตาดูแล้วไม่ได้ดุร้ายอะไร ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกเรียกว่า กวาง หรือแม้แต่เก้ง ที่น่าตาคล้ายๆกัน ”
โดยในสมุดนั้นเธอได้บรรยายถึงสภาพโดยรวมของมอนสเตอร์แบบคร่าวๆ ไม่มีความละเอียดใดๆเลย ยิ่งสภาพแวดล้อมของชั้นเอง มากสุดก็บอกแค่ว่าเป็นป่าไม้ ไม่ก็ที่โล่ง แต่ถ้าเป็นส่วนของไอเทมและทรัพยากรที่ได้จากการจำกัดมอนสเตอร์นั้น เธอเขียนมันอย่างระเอียดพร้อมกับวาดภาพประกอบอย่างตั้งใจ
“ ส่วนสิ่งที่ตกมาจากมอนสเตอร์พวกในชั้นที่ 10 ลงมานั้น ส่วนใหญ่จะเป็นหนังของมันที่มีคุณภาพสูงพอจะป้องกันของมีคมที่ตีในทวีปตะวันตกเฉียงใต้ได้ ส่วนขนที่ได้มาก็สามารถนำมาทำเป็นเครื่องนุ่มห่มได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีแท่งเหล็กขนาดเล็กที่มีความแข็งมากกว่ามีดทองแดง หรือมีดสมฤทธิ์หลายเท่าตัวอีกด้วย คาดว่าทำนำไปทำเป็นอาวุธจะสามารถสังหารหรือตัดผ่านชุดเกราะหนังได้ไม่ยากเลย ”
[ พอมาที่นี้เราก็พอจะเข้าใจได้แล้วล่ะนะว่า ทำไมยูโทเปียจึงเติบโตไวและทรงพลังขนาดนี้ หึ…ก็เล่นมีสถานที่ที่เรียกว่าดันเจี้ยนอยู่บนทวีปนี้ นี่แหล่ะที่ทำให้ทุกอย่างของที่นี้ไปได้ไกลกว่าโลกภายนอกมากเกินราวกับเป็นคนละโลก ทั้งทรัพยากร ทั้งวิทยาการลึกลับ แต่ว่า…ในเอกสารของกิลล์ก็บอกว่ายูโทเปียพึ่งพบหอคอยที่ด้านนอกนี่เมื่อปีที่แล้ว แบบนี้หมายความว่ายังไงกันล่ะ?? ]
ตึก ตึก ตึก
โดยยิ่งเขียนเธอก็ยิ่งตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมาเกี่ยวกับความเจริญของยูโทเปีย ทว่ามันก็มีหลายส่วนที่ทำให้เธอไม่กล้าฟันธงไปว่าทั้งหมดเป็นเพราะดันเจี้ยนหรือหอคอยนี้ ทว่าระหว่างที่เขียนนั้นก็มีเสียงจากข้างนอกเสียงของใครบางคนกำลังเดินมาที่เต็นท์ของเธอ
“ เน่~~~ เค้าขอเข้าคุยด้วยไปได้หรือเปล่า? ”
“ อ๊ะ!! ช ช เชิญเลยครับ ”
เสียงกับวิธีการพูดนั้นมันเป็นของมาเร่แน่ๆ แน่นอนรินรินเทพอได้ยินเช่นนั้นก็รีบตอบรับพร้ัอมกับเชิญให้เธอเข้ามาด้วยท่าทีและคำพูดที่สุภาพแม้จะติดๆขัดๆไปบ้างก็ตาม ซึ่งพอได้รับอนุญาตแล้วมาเร่ก็เปิดม่านเต็นท์พร้อมกับเดินเข้ามานั่งข้างๆรินรินเทในทันที
“ ขอโทษที่มากวนเวลาส่วนตัวนะคะคุณรินรินเท แต่ว่าเค้าน่ะสงสัยเลยจะมาถามน่ะ ”
“ ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่จะถามเรื่องอะไรอย่างงั้นเหรอครับ? ”
“ ก็ มาเร่น่ะนะพึ่งเคยได้ลงมาในหอคอยเป็นครั้งแรกใช่ม้าา? รินรินเทเองก็ด้วยใช่ปะ? ”
“ ครับ นี้ก็เป็นครั้งแรกของผมเหมือนกัน ”
รินรินเทตอบกลับคำถามของมาเร่ด้วยคำพูดช้าๆ และอบอุ่น ส่วนมาเร่นั้นเธอก็ยังคงยิ้มร่าเริง แถมพอได้ยินว่านี้เป็นครั้งแรกของรินรินเท เธอก็ยิ่งยิ้มเข้าไปใหญ่ก่อนจะถามต่อด้วยเสียงที่ไพเราะนั้น
“ แล้วรินรินเทรู้สึกยังไงบ้างอ่ะ อย่างของมาเร่อ่ะนะ รู้สึกขอบคุณทุกคนเพราะทำให้เธอได้เรียนรู้และเห็นสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะสกิล จะทักษะต่อสู้เอย ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะเลยล่ะ ”
“ ผมเองก็เช่นกันครับ การได้ลงมายังข้างล่างนี้ได้เห็นอะไรใหม่ๆหลายอย่างเลยล่ะครับ ไม่ว่าจะมอนสเตอร์ ทั้งบรรยากาศที่ไม่สามารถเห็นที่ไหนนอกจากที่นี้ได้ มันช่างน่าประทับใจสุดๆเลยล่ะครับ ”
“ เหหห ดีจังเลยเนอะ~~~ ”
รินรินเทเองก็ด้วย เธอรู้สึกคล้ายกันกับมาเร่ ทว่าต่างออกไปเล็กน้อยที่เธอนั้นไม่ได้เรียนรู้เพื่อเพียงแค่ตนเอง แต่เป็นการเรียนรู้ไว้เพื่อนำไปให้กับกองทัพจอมมารให้กับนายหญิงของเธอ แต่ว่าเมื่อมาเร่ได้ถามแล้ว รินรินเทก็ได้ใช้โอกาสเป็นฝ่ายถามเธอบ้างว่า
“ ว่าแต่คุณมาเร่ล่ะครับ ในเมืองหลวงที่คุรมาเร่อยู่เป็นยังไง เพราะผมเองก็หวังว่าสักวันจะได้เข้าไปข้างในบ้าง พอจะเล่าให้ฟังได้หรือเปล่าครับชีวิตในเมืองหลวงของยูโทเปีย? ”
“ เห? ก็ด้านในกำแพงอ่ะนะ แตกต่างจากเมืองรอบนอกมากเลยล่ะ ทั้งความสะดวกสบาย กลิ่นอาย บรรยากาศ ว่ายังไงดีล่ะ ถ้าอยู่ในนั้นแล้วก็คงไม่อยากออกมาข้างนอกอีกเลยแหล่ะ เนี่ยอย่างตึกก็สูงลิบลิ่วเลย แบบบ้านของมาเร่เงี้ย ก็อยู่ตั้งชั้นที่ 70 แหน่ะ ”
“ โอ… ตึกสูงขนาดนั้น?? แสดงว่าผู้คนก็คงจะเยอะน่าดูเลยสินะครับ ”
“ ก็ไม่เยอะหรอกค่ะ อย่างตอนนี้ก็น่าจะราวๆ 2 ถึง 3 ล้านเอง ”
“ เยอะนะครับนั้น!!!! แบบนี้จะไปเอาทรัพยากรที่ไหนมาให้ผู้คนล่ะครับ?!? ทั้งสร้างตึก ทั้งอาหารการกิน ”
รินรินเทดูตื่นเต้นกับสิ่งที่มาเร่เล่า อย่างไรเธอก็ยังสงสัยอยู่ว่าถ้าพัฒนาไปแบบนั้น ยูโทเปียทำได้ยังไงเพราะวิวทิวทัศน์ตั้งแต่เธอเข้ามาไม่เห็นมีร่องรอยของการทำเหมืองหรือการทำฟาร์มอะไรพวกนั้นเลย มาเร่ที่เห็นก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า
“ ทรัพยากรก็หาไม่ยากนะ อย่างในตัวเมืองเองก็มีหอคอย อืม ถ้าภาษาคนนอกก็เรียกว่า ดันเจี้ยน ใช่ มีดันเจี้ยนอยู่ล่ะ อยากได้ทรัพยากรอะไรก็ลงไปตามชั้นได้เลย แต่ว่าหอคอยนี้น่ะอนุญาตให้เพียงทหาร และเจ้าหน้าที่ของยูโทเปียเท่านั้น ประชาชนทั่วไปลงไปไม่ได้ มาเร่เลยไม่ได้เห็นเลยว่าข้างล่างมีอะไรบ้างน่ะ ”
“ … ”
“ เห ทำไมเงียบแบบนั้นล่ะ?? ”
“ …ดีจริงเลยนะครับ ”
พอได้ยินเช่นนี้รินรินเทก็ถึงกับนิ่งไปเลย ก่อนจะพูดออกมาอย่างช้าๆด้วยเสียงที่แผ่วเบาและไร้เรี่ยวแรง มาเร่นั้นรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในคำพูดที่ดูอ่อนแรงของรินรินเท ทำให้เธอถามกลับด้วยสีหน้าที่ดูสงสัยปนเป็นห่วงเป็นใย
“ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ รินรินเท?? ”
“ ก็…พอได้ยินว่ายูโทเปียมีทรัพยากรมากมายจากดันเจี้ยนแบบนี้ ก็ทำให้ผมเข้าใจเลยว่าที่นี้่มีดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งนั้น เป็นสิ่งที่ผมฝันมาตลอดเลยล่ะครับ เพราะในตอนที่ผมยังเป็นแค่เด็กน้อย ผมก็เป็นเพียงคนจรที่ไร้ซึ่งที่พักพิงแถมยังมีดวงตาสีดำแดงอีก ซึ่งในที่ที่ผมเกิดนั้นถูกมองว่าเป็นตัวต้องสาปเลยถูกขับไล่ให้เตร็ดเตร่พลัดหลงไปทั่วและต้องอยู่อย่างอดอยากมาตลอด
จนกระทั่งได้ถูกรับเข้าเป็นหนึ่งในตระครอบครัว ครอบครัวหนึ่ง ชีวิตผมก็ดีขึ้นบ้าง แต่พอมาได้ยินเรื่องความสมบูรณ์จากคุณมาเร่ ผมก็เลยแอบคิดถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น ”
“ ฮึก ฮึก…ขอโทษนะคะ ที่ทำให้ต้องนึกเรื่องในอดีต… ”
“ ไม่เป็นไรหรอกครับ แม้มันจะมันเจ็บปวดแต่ก็มีค่ามากเลยล่ะครับ ”
บรรยากาศภายในเต็นท์ตอนนี้นั้นดูน่าอึดอัดเล็กน้อย แต่ว่ารินรินเทก็ไม่ได้จะแสดงท่าทีเจ็บปวดอะไรอีก ผิดกับมาเร่ที่ดูจะหงอยๆลงไปเมื่อรู้ว่าตนเองไปพูดทำให้รินรินเทรำลึกความหลังที่เจ็บปวดขึ้นมา
“ คุณรินรินเท มาเร่ มื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วนะคร้าบ!! ”
“ ค่าา!! จะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะค่าา! ”
ทว่าในระหว่างที่บรรยากาศกำลังจะดีขึ้น เสียงของเคนโตก็ดังเข้ามา เขานั้นอยู่ที่หน้าเต็นท์แล้วและมาที่นี้เพื่อมาเรียกทั้งสองไปทานข้าว ซึ่งมาเร่ก็ขานรับก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับหันมายิ้มให้กับรินรินเทแล้วยื่นมือเข้ามาเพื่อจะรอดึงตัวเขาขึ้นไป
“ อ่า เชิญคุณมาเร่ไปทานก่อนได้เลยนะครับ คือผมจะต้องตรวจสอบของอีกนิดหน่อย แล้วก็จดบันทึกเพิ่มเติมด้วยน่ะครับ ”
“ เห~~~~~ อย่างงั้นเหรอคะ ถ้างั้นก็พยายามเข้านะคะ ”
อย่างไรก็ตามรินรินเทนั้นไม่ได้ตอบรับคำเชิญของมาเร่แต่อย่างใด เขากลับปฏิสเธด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลก่อนจะหยิบเอาหนังมอนสเตอร์กับสมุกขึ้นมาให้มาเร่ดู ซึ่งเธอพอเข้าใจแล้วก็ยิ้มก่อนจะหันหลังพร้อมกับเดินออกไปอย่างร่าเริง ทว่าทันทีที่ออกมานั้นมาเร่ก็ต้องเจอกับเคนโตที่ยืนยิ้มหื่นๆอยู่ด้านนอก
“ นี่ มาเร่? หลังจากจบภารกิจนี้สนใจไปดื่มฉลองกันหน่อยไหม? เดี๋ยวผมเลี้ยงเองน้า ”
“ เห? แต่ว่ามาเร่เป็นนักเรียนนะ ดื่มไม่ได้หรอกกกก~~~~~~(เสียงสูง) ”
“ เอ๋!! แย่จัง งั้นไปเดินซื้อของไหม? แบบเครื่องประดับอะไรพวกนี้น่ะ ”
“ เครื่องประดับเหรอ? มาเร่มีเยอะแล้วอ่ะ ถ้าซื้อมาเยอะกว่านี้คงไม่มีที่เก็บแล้วล่ะ แหะๆ ”
“ ถ้่างั้น… ”
“ โอ้!! วันนี้ลุงฟูฟุนทำอะไรอย่างงั้นเหรอค่าาา!! ”
“ อ่า มาเร่! วันนี้เป็นเนื้อมอนสเตอร์ชั้นนี้ย่างแล้วราดซอสจากสมุนไพรน่ะ ”
“ ว้าวว!! ”
ระหว่างที่มาเร่เดินออกจากเต็นท์ไป เคนโตก็ได้พูดกับเธอด้วยคำพูดเชื้อเชิญมากมายๆ แล้วก็พยายามจีบแต่มาเร่ก็ทำเป็นใสซื่อใส่ ทั้งๆที่จริงๆแล้วเธอไม่ได้ใสซื่อเลย อย่างบอกไม่ดื่มเนี้ยก็ตอแหลเลยล่ะ ทว่าการพยายามจีบนั้นก็ต้องสิ้นสุดลงเมื่อมาเร่เดินมาถึงยังแคมป์ไฟที่ตอนนี้ฟูฟุนกำลังทำอาหารอยู่
“ ไปกันแล้วสินะ ”
ทว่าทางด้านรินรินเท เธอที่เห็นว่ามาเร่ออกไปแล้วก็หยิบเอากระดาษขึ้นมาเขียนจดหมาย พร้อมกับใส่ซองกระดาษสีดำ และทันทีที่ปิดซองมันก็สลายหายไป โดยรินรินเทนั้นคิดในใจว่า
[ เรื่องทรัพยากรที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั้นมีค่าเกินไปจะช้าไม่ได้ล่ะนะ ยังไงตอนนี้ต้องรีบส่งให้นายหญิงฟารูนได้รับรู้โดยไวที่สุด แล้วแบบนั้นท่านจะได้ตัดสินใจได้ว่าจะบุกหรือไม่บุกสักที ]
…
“ หืม…? ”
“ มีอะไรหรือเปล่าฮะคุณมาเร่ ถึงได้หันไปมองเต็นท์ของคุณรินรินเทแบบนั้นน่ะฮะ ”
“ อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่มาเร่คงคิดไปเองล่ะมั้งคะ ฮ่าๆๆ ”
“ เหรอยะ?!? ไม่ใช่ว่ารอคุณรินรินเทอยู่หรือไง? ”
“ ฟิโอเน่ เป็นหญิงเป็นแส้กินข้าวทำตัวให้สำรวมหน่อยสิฮะ ”
“ นั้นสินะ อย่างที่ลังก้าว่านั้นแหล่ะ กินแบบนั้นเดี๋ยวก็หกหมดหรอก ”
“ ใช้ไม่ได้เลยน้า ”
“ เดี๋ยว!! ไหงชั้นโดนรุมแบบนี้ได้ล่ะ!! ”
อย่างไรเสียที่ข้างข้างนอกนั้น ในเวลาเดียวกันกับตอนที่จดหมายค่อยๆสลายไป มาเร่ก็ได้หันมามอง ทำให้สมาชิกที่นั่งกินข้าวกันอยู่หันมาดูด้วยความสงสัย ถึงขนาดที่ลังก้าถาม ทว่าเธอก็ตอบกลับด้วยเสียงเรียบก่อนจะกลับไปทานต่ออย่างช้าๆทีละนิด ทีละนิด แต่ทางด้านฟิโอเน่เธอก็แอบแซะไปเบาๆก่อนจะโดนลังก้า ฟุฟูนและเคนโต โดยที่มาเร่นั้นไม่ได้สนใจเลยเพราะเธอกำลังคิดในใจว่า
[ เริ่มทำอะไรแล้วสินะ งั้นเราเองก็ควรจะทำอะไรด้วยเนอะ อื้มมม แต่เนื้อกวางย่างนี้อร่อยสุดๆเลยแหะ โดยเฉพาะซอสจากสมุนไพรนี้หอม หวานแถมมีเผ็ดอ่อนๆปลายลิ้นอีก สงสัยต้องให้ทิเรียติดต่อมาจ้างฟูฟุนไปเป็นพ่อครัวแล้วล่ะมั้ง ]
…….
MANGA DISCUSSION