กุบกับ กุบกับ กุบกับ บรื้นนนนน แป๊นๆ แง๊นนน
ท่ามกลางป่าไม้ในยามรุ่งสาง ที่นั้นมีถนนลาดยางรายล้อมไปด้วยเสาไฟแสนสว่างปูเป็นเส้นยาวเหยียดไม่รู้ว่าจะไปบรรจบลงที่ใด บัดนี้กำลังมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าเกวียนม้า ขับเคลื่อนไปบนนั้น ทว่า…ที่น่าตลกก็คือนอกจากมันแล้วก็มีรถยนต์ มอเตอร์ไซค์อีกหลายคันกำลังขับขี่ไปบนนั้นเช่นกัน
“ เห้อ… ถ้ามีเงินกว่านี้ก็ดีสิ ข้าจะได้ขยับขยายจากเกวียนนี้ไปเป็นสัตว์เหล็กพวกนั้นแทน ”
“ เอาน่าาา ลุงเดี๋ยวก็มีเองแหล่ะ ที่ขับพาพวกผมไปก็คิดตั้งหลายพันเครดิตเลย ”
“ นั้นสินะ ขอบคุณเอ็งละกันพ่อหนุ่มที่อุตส่าห์ใช้บริการแสนลำบากยากเย็นของข้า ”
และบนนั้นเองก็มีชายหนุ่มในชุดแสนเรียบร้อย รินรินเท เขากำลังนั่งเกวียนที่ว่ากับคนขับซึ่งเป็นชายชราอายุมาก เหตุที่เป็นแบบนี้นั้นก็เพราะรินรินเท ต้องการจะเดินทางไปยังเขตที่ 01 ทว่า ด้วยงบที่ต้องเก็บสะสมไว้เพื่อทำอย่างอื่นก็ทำให้เขาต้องเลือกการเดินทางที่ประหยัดที่สุดด้วยราคา 5000 เครดิต การเดินทางด้วยเกวียนนาน 3 วัน 3 คืน
“ โอ้ นั้นไงเสาเขตเซโร่วัน แบบนี้ก็ใกล้ถึงแล้วสินะ ”
“ หืม…. ”
ซึ่งก็ไม่นานนักทั้งสองก็ได้เห็นตัวบอกทางที่แสนจะเด่น มันคือเสาเหล็กสีแดงสลับขาวสูงหลายสิบเมตร สูงจนเห็นได้ชัดเจน อีกทั้งบนยอดเสานั้นก็มีแสงไฟสีแดงเรียงเป็นรูปที่เขาไม่เคยเห็น รูปวงกลมและแท่งแท่งหนึ่ง ( 01 ) มันกระพริบอยู่เป็นจังหวะ
…….
“ เอ้า ถึงแล้ว ยังไงก็โชคดีล่ะพ่อหนุ่ม ข้าอยู่ด้านนอกนี้อีกราวๆ สัปดาห์นั้นแหล่ะ ถ้าไม่มีเงินแล้วอยากจะกลับก็บอกข้าได้นะ ”
“ ครับผม ขอบคุณที่มาส่งนะครับ ”
หลังจากที่มาถึงรินรินเทก็ลงจากรถเกวียนซึ่งจอดอยู่ด้านนอกที่หมายของเขา เขาลงมาพร้อมกับกระเป๋าหนังใบเดียวที่ใส่ของใช้ประจำวันไว้ อย่างไรเสียที่ไม่ได้เข้าไปเลยตรงๆผ่านประตูใหญ่เพราะว่าลุงคนนี้ แกเป็นเพียง “คนนอก” จึงไม่มีสิทธิใดๆเข้าไปยังเมืองด้านหลังกำแพงตรงหน้าได้ กำแพงสีเทาเรียบเนียนเหมือนกับที่เมืองหลวงของยูโทเปีย
รินรินเทเมื่อแยกจากลุงมาแล้ว เขาก็มุ่งตรงไปยังจุดตรวจคนเข้าเมืองทันที ที่นั้นไม่มีอะไรนอกจากประตูเหล็กกับผู้คนมากมายที่แยกออกเป็นสองแถว
แถวแรกนั้นเต็มไปด้วยนักพจญภัยมากมาย พวกเขาต่างต่อแถวยาวเหยียดรอรับการตรวจสอบจากเหล่าคนในเครื่องแบบสีขาวที่สวมสายรัดแขน เป็นอักษรประหลาดที่ตัวรินรินเทไม่เคยเห็นเช่นเดิม ทว่าที่ท้ายสุดของอักษรนั้นก็เหมือนกับแสงไฟที่กระพริบอยู่นั้นแหล่ะ
“ แถวนี้สินะ.. อ๊ะ คนน้อยจริงแหะ หรือเพราะว่าเราได้รับการตรวจสอบแล้วก็เลยไม่ต้องอีกล่ะมั้ง? ”
และอีกแถวก็แทบจะไม่มีคนเลย มันเป็นแถวที่ไม่มีแม้แต่คนในเครื่องแบบสีขาวด้วยซ้ำ รินรินเทที่มาถึงก็เดินตรงไปยังหน้าประตูเหล็กที่ตั้งอยู่ ซึ่งทันทีที่มาถึงก็มีแสงไฟสีเขียวฉายลงมาที่ตัวเขา ที่คอของเขา
ปิ๊บ ฟึบ
“ เอ่อ…ขอบคุณ? ”
เขาหลุดปากพูดออกมาหลังจากที่เสียงนั้นดังขึ้น คำขอบคุณจากความสับสน เพราะตรงหน้านั้นประตูบานใหญ่เลื่อนออกอย่างรวดเร็วและเขาก็เดินผ่านเข้าไปอย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาจากเหล่านักพจญภัยที่ต่อแถวอยู่
“ ทางนี้เลยครับผม ”
[ สุดท้ายก็เจอสินะ…แต่ว่านั้นมันไม้อะไรน่ะ? ]
และเมื่อเดินเข้ามาเขาก็พบกับโครงประตูอีกบานที่ด้านในนั้นมีพนักงานชุดขาวที่กำลังเรียกให้เขาเข้าไปหา รินรินเทก็ทำตามแต่โดยดีด้วยการเดินเข้าไปหา และคนตรงหน้าก็ใช้ไม้นั้นเคลื่อนไปรอบๆตัวของเขาสักพัก
“ เรียบร้อยครับ ยินดีต้อนรับสู่ เขตซีโร่วัน นะครับ ”
“ อ่า… ขอบคุณครับผม ”
รินรินเทยังสับสนเล็กน้อยแต่เขาก็เดินเข้าไปพร้อมกับสัมภาระของเขา และเมื่อออกมาได้เขาก็ได้เห็นภาพแสนอลังตา ภาพของเมืองที่ไม่เหนือกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้
[ อึก… นี้ขนาดไม่ใช่เมืองหลักก็ยัง… ]
ตรงหน้าเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกหลากหลายรูปแบบ อย่างไรเสียตึกพวกนั้นก็เป็นสถาปัตยกรรมระดับที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันทั้งสวยงามทั้งใหญ่ประดับมากมายไปด้วยกระจกและป้ายไฟหลากสี
นอกจากนี้ก็ยังมีถนนสีดำที่ลาดยาวเป็นทางให้สัตว์เหล็กที่เรียกว่ารถวิ่งไปมาอย่างสะดวก ส่วนผู้คนที่ไม่ใช้มันก็เดินกันบนทางที่ติดกับถนนนั้น ทางเดินที่ปูด้วยแผ่นสีเทาเรียบเนียนสวยงามและ…
[ สะอาดกว่าที่เมืองคนนอก ไม่สิ ไม่มีของแบบนี้ที่นั้นด้วยซ้ำนี้หว่า ที่นี้มันอะไรกัน!! นี้มันยิ่งใหญ่กว่าเมืองหลวงของๆหลายทวีป หลายๆประเทศไปแล้วไม่ใช่รึไง?!? ]
เขาได้แต่คิดแบบนั้น ซึ่งก็ไม่แปลกเลย เพราะสำหรับนักพจญภัยที่ผ่านเข้ามาแล้วได้เห็นก็แสดงท่าทีแบบเดียวกันกับรินรินเทอยู่ข้างๆเขานั้นแหล่ะ ท่าทีอ้าปากค้างและไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ นั้นจึงทำให้รินรินเทได้สติเพราะเขาไม่อยากจะมีสภาพแบบนั้นสักเท่าไหร่
“ อึก… ก ก ก่อนอื่นต้องไปที่.. ซอย? ฮาร์ท? งั้นเหรอ ที่นั้นกัน?!? ”
รินรินเทนั้นพอได้สติก็หยิบกระดาษขึ้นมาในนั้นมันคือข้อความจากเจ้าของร้าน ที่จะนำพาเขาไปยังที่พักซึ่งเป็นห้องเล็กๆที่เขาเตรียมไว้กับรินรินเท อย่างไรเสียรินรินเทนั้นก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ทำให้เขาเดินเข้าไปหาหญิงสาวนักพจญภัยซึ่งยืนคุยกันอยู่ตรงหน้าทางออกจุดตรวจ
“ ขอโทษนะครับ ขอถามอะไรได้หรือเปล่าครับคุณผู้หญิง?? ”
“ คะ?? ”
อย่างไรก็ดีการเปิดคำถามของเขามันก็เต็มไปด้วยสกิลของการเป็นโฮส ทำให้หญิงสาวเหล่านั้นพอได้ยินก็ต่างหันมามองพร้อมกับกลืนน้ำลายกันทันที
“ พอดีว่าผมพึ่งมาที่นี้เป็นครั้งแรกเลยไม่ทราบว่า ซอบฮาร์ทนี้มันอยู่ตรงไหน คุณผู้หญิงพอจะทราบหรือเปล่าครับ? ”
“ อ อ อ๋อ!! ซอยฮาร์ทสินะคะ! เดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามแล้วเลี้ยวซ้ายไปเจอแยกที่ 5 ก็เลี้ยวขวา แล้วก็ตรงไปเรื่อยๆก็จะเจอเองค่ะ ว่าแต่ถ้าไม่เป็นอะไรให้พวกชั้… ”
“ ขอบคุณมากนะครับ ยังไงผมขอตัวก่อน อ๊ะถ้าไม่ว่าอะไรหลังจากนี้สักสัปดาห์ลองไปที่นั้นดูก็ได้นะครับ ”
“ อ๊ะ?!? ค่ะ?!? ”
เจ้าตัวรีบชิงตัดจบก่อนแถมยังเดินจากมาพร้อมรอยยิ้มพิมใจและข้อความที่น่าสงสัย แต่ว่ารินรินเทก็ไม่ได้จะใส่ใจอะไรอีกมากเขาเดินไปตามทางนั้นเพียงคนเดียว ตามทางที่ถูกบอกมาจนมาถึงยังที่หมาย…
“ ตรงตามรูปเป๊ะเลยแหะ เหมือนกับภาพที่ถูกยกออกม…ก็ปกติของที่นี้นี่น่า เนอะ… ”
อาคารที่กำลังก่อสร้างบริเวณชั้นล่างอยู่ มันเป็นอาคารที่ยังดูไม่ค่อยดีนักในตอนนี้ แต่ว่าถ้าเทียบกับโลกภายนอกเกาะนี้ ก็ถือว่าหรูหรากว่าอยู่พอตัวโดยเฉพาะส่วนชั้นบนที่เหมือนจะเสร็จแล้ว ส่วนรินรินเทก็ยืนมองอยู่สักพักก่อนจะเดินไปยังทางขึ้นชั้น 2 ซึ่งติดอยู่ข้างๆบริเวณก่อสร้าง
แอดด
“ คร้าบๆ เข้ามาได้เลยประตูไม่ได้ล็อกคร้าบ ”
แกร็ก
รินรินเทเมื่อกดออดตรงประตูและได้รับการตอบรับมาเช่นนั้น เขาก็เปิดประตูเข้าไปแล้วก็พบกับชายหนุ่มผมทองสวมเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงขาสั้น หน้าตัวกวนประสาทและท่าทีที่ไม่เรียบร้อยสักเท่าไหร่
“ สวัสดีครับ ผมรินรินเท จากร้านโมฟุโมฟุ… ”
“ อ๋อ นายที่เจ้าของร้านบอกว่าจะมาดูการก่อสร้างสินะ แล้วอาศัยอยู่ที่นี้สินะ ดี ดี เรา ไทลี เป็นผู้ได้รับการตรวจสอบแล้วเหมือนนายนั้นแหล่ะ มา มา เดี๋ยวจะพาไปห้อง ”
ชายตรงหน้านั้นพูดขัดรินรินเท อย่างไม่สนอะไรเลยแถมพอเจ้าตัวพูดแนะนำตัวจบก็เข้ามาจูงมือรินรินเทไปทันที ไทลีนั้นดูเหมือนจะมีความสุขเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้บอกว่าอะไร จนกระทั่งทั้งสองมาถึงยังหน้าห้องห้องหนึ่ง
“ นี้ห้องนาย นี้กุญแจ เอาล่ะในเมื่อมีคนเฝ้าที่นี้แล้ว ผมขอตัวไปแต่งตัวก่อนนะ!! ”
“ เอ่อ… ”
พูดจบปุ๊บไทลีก็วิ่งออกไปทันที ทิ้งให้รินรินเทอยู่ตรงหน้าห้องนั้น ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้คิดอะไร ก่อนจะเปิดประตูตรงหน้าด้วยกุญแจในมือ นั้นก็ทำให้เขาได้เห็นห้องด้านใน
“ ไปไม่บอกเลยว่าอะไรคืออะไร…แบบนี้ ให้ตายเถอะ ”
ห้องนอนเตียงเดี่ยวที่มีประตูเข้าห้องสักอย่างอยู่ในเกือบสุด ซึ่งมันก็ติดกับหน้าต่างที่มีระเบียงด้านนอก และสิ่งอื่นที่มีก็คือโต๊ะเก้าอี้ไม้ 1 ชุดอยู่ข้างๆเตียง กับกล่องแปลกๆบนเพดาน 2 กล่อง กล่องหนึ่งใหญ่กล่องหนึ่งเล็ก
“ ช่างเหอะ ยังไงตอนนี้ก็บันทึกก่อนก็แล้วกัน ”
เจ้าตัวเดินเข้าไปแล้วก็ปิดประตู ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับเริ่มบันทึกสิ่งสำคัญลงกระดาษ ข้อความการอธิบายถึงทุกอย่างที่เห็นด้านในเขตแห่งนี้ ทว่าระหว่างที่นั่งเขียนอยู่นั้น
“ ชักจะร้อนๆแล้วแหะ งั้นก็… ”
ด้วยความร้อนที่เพิ่มขึ้นเพราะห้องไม่มีช่องระบายอากาศหรือทำจากไม้ รินรินเทจึงลุกไปยังกระจกใสที่ติดกับระเบียง เขาไม่ได้เปิดมันออกในทันที เนื่องจากมันถูกล็อกเอาไว้ ทำให้ต้องใช้เวลาเกือบ 5 นาทีก่อนจะรู้ว่าเขาต้องกดปลดล็อกตรงด้ามจับเสียก่อนถึงจะเปิดออกได้
“ เห้ออ… ในที่สุด อากาศ ฮืดดดด ฮ่าห์ สดชื่น ”
ซึ่งทันทีที่เปิดออกมาได้เขาก็เดินมาออกมายังระเบียงสูดหายใจเข้าออกอยู่สักพักใหญ่ๆ โดยสายตาของรินรินเทก็มองไปยังภาพตรงนอกระเบียงนั้น ภาพของผู้คนมากมายที่กำลังเดินไปบนภนนไปยังสถานที่ที่แค่เห็นก็รู้ว่ามันคือคฤหาสน์โบราณ
“ ไปทำอะไรกันเยอะแยะล่ะนั้น? หรือว่าที่นั้นคือ อ่า… ใช่แน่ๆแหล่ะ งั้นที่นั้นก้มีไอนั้นสินะ ”
ทว่าส่วนใหญ่ที่รินรินเทเห็นได้ชัดเลยว่ากลุ่มคนที่กำลังตรงไปยังคฤหาสน์หินนั้น คือนักพจญภัยมากมายหลายร้อยคน โดยทุกคนล้วนแล้วแต่กำลังถือแผนที่บางอย่างไว้ในมือด้วย ซึ่งแผนที่นั้น จากจุดที่รินรินเทอยู่เขาก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่สิ่งที่เขารู้ก็คือ ที่กิลล์นักพจญภัยนั้นมีโลกใต้ดินอยู่ด้วย
“ นั้นสิ ไหนๆก็ไหนๆ ลองแวะไปดูหน่อยก็แล้วกัน ”
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผนวกกับข้อมูลที่มีน้อยนิดในตอนนี้ ทำให้รินรินเทลุกขึ้นพร้อมกับเดินออกจากห้องไปยังทางออกของอาคารนี่ ทว่าระหว่างที่เดินไปนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังวิ่งมาจากด้านหลัง…
“ ด ด เดี๋ยววว นายจะไปไหนน่ะ?!? เฮ้!? ”
“ ขอโทษทีนะครับผมมีธุระต้องไปที่กิลล์นักพจญภัย ยังไงเรื่องเฝ้าอาคารนี้ไว้คราวหน้าก็แล้วกันนะครับ ”
“ เอ๋!! เดี๋ยวววว ไม่ ไม่ ไม่! อย่าพึ่ง!! ”
แกร็ก
รินรินเทปิดประตูก่อนที่ไทลีจะได้มาถึง ใบหน้าของรินรินเทนั้นเห็นได้ชัดว่ากำลังแอบสะใจอยู่ผ่านรอยยิ้มของเขา ส่วนชาลีที่ไม่ได้จะพูดจบก็ไม่ได้ตามออกมาแต่อย่างใด ทว่าเมื่อมองผ่านกระจกเข้าไปก็เห็นว่าเจ้าตัวกำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนโต๊ะนั้นแหล่ะ
…
“ ที่นี้สินะ คนเยอะดีจริงๆแหะ ”
เวลาผ่านไปราวๆ 20 นาที รินรินเทก็มาถึงยังกิลล์นักพจญภัย หรือก็คือคฤหาสน์โบราณที่ว่า และเขาก็ได้พบกับเหล่านักพจญภัยมากมาย ที่กำลังต่อแถวเพื่อลงไปยังสถานที่บางอย่าง ณ บริเวณโถงทางเข้าของที่นี้
อย่างไรเสียรินรินเทก็ไม่อาจจะเข้าไปในแถวนั้นได้เพราะทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นนักพจญภัยทั้งสิ้น ทำให้เขาตัดสินใจไปยังจุดต้อนรับแทน
“ สวัสดีครับ วันนี้คุณผู้ชาย.. อืม อยากจะมาฝากเควสอะไรไว้หรือเปล่าครับ? ”
ที่นั้นมีพนักงานชายผิวเข้มล่ำบึกกล้ามโตขนาดแตงโม ในชุดพนักงานกิลล์ยืนอยู่ ใบหน้าของชายคนนั้นไม่เป็นมิตรเลย แต่น้ำเสียงกลับนุ่มฟู ละมุนละไมและไพเราะนัก
“ ขอโทษนะครับคือว่าผมอยากจะถามเรื่องวิธีการลงไปยังด้านล่างโดยไม่ต้องเป็นนักพจญภัยนี้ต้องทำยังไงบ้างหรือครับ หรือว่าห้ามคนนอกลงไปหรือเปล่าครับ? ”
“ เอ… ขอเวลาสักครู่นะครับ ”
นั้นทำให้พนักงานต้อนรับสับสนเล็กน้อย แต่เขาก็ทำงานได้เป็นอย่างดีด้วยการหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่านสักพักก่อนจะเริ่ม อธิบายอย่างช้าๆให้รินรินเทฟังว่า
“ ขอโทษที่ให้รอนะครับ ตามกฎระเบียบพิเศษของที่นี้ หากคุณผู้ชายต้องการจะลงไปข้างล่างแล้วไม่ใช่นักพจญภัย ก็ต้องทำใบอนุญาตพิเศษ 1 ปีที่มีราคาเท่ากับ 30000 เครดิต ประกอบกับสายรัดข้อมือระบุชีพในราคาคนนอกที่ 1000 เครดิต รวมทั้งต้องลงเควสให้นักพจญภัยระดับ D- พาเข้าไปด้วย ซึ่งก็จะใช้เงินอีก 15000 เครดิตเป็นอย่างต่ำครับผม… ”
“ … ”
ทันทีที่เริ่มฟัง รินรินเทก็ได้แต่ยิ้มออกมา เพราะราคาที่ว่านั้นมันโคตรจะเยอะจนน่ากลัวเลยทีเดียว มันมากพอจะตั้งตัวหรือร้านในเขตคนนอกได้อย่างสบายๆ ทว่าไอสิ่งที่ฟังก็ไม่ได้จบแค่นั้น
“ …ซึ่งที่กล่าวมายังไม่รวมค่าดำเนินการอีก 10000 เครดิต และค่าอนุมัติส่งยื่นในกรณีที่เร่งรีบ ซึ่งคิดเป็นเงินอีก 5000 เครดิต ครับ เช่นนี้แล้วคุณชายสนใจจะให้ดำเนินการเลยหรือเปล่าครับผม? ”
“ เอ่อ… ไว้ผมคิดดูก่อนละกันนะครับ แต่ว่าขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับคุณพนักงาน ”
“ ยินดีเสมอครับ ”
หลังจากทราบราคาทั้งหมด รินรินเทก็ขอบคุณอย่างสุภาพก่อนจะเดินกลับออกมาจากกิลล์นักพจญภัยนั้นอย่างช้าๆและมั่นคง ซึ่งทันทีที่ออกมาได้เขาก็หันกลับไปมองด้วยสายตาแหยงๆ
[ อะไรวะ!! แค่ไม่ใช่นักพจญภัยก็กินเงินขนาดนี้เชียว!! ทีไอนักพจญภัยเวลาลงไปข้างล่างนั้น เห็นว่าใช้เงินไม่เกิน 2000 เครดิตด้วยซ้ำนี้หว่า!! ช่างแม่ม ไม่ปงไม่ไปมันละ ]
หลังจากจ้องมองอยู่สักพัก เจ้าตัวก็หันหลังกลับและเดินออกมา ทว่าตลอดการเดินกลับไปยังที่พัก หูของเขาก็เกิดทำงานดีเกินไป ดีเดินจนน่ากลัว ดีเกินจนก่อความรู้สึกนึงขึ้นมา
“ นี้ ลงไปคราวนี้ได้มาเท่าไหร่ล่ะ? ”
“ อืมม 6 ชั่วโมงก็มีเงินตกมารวมกันราวๆ 10 โกลล์ล่ะมั้ง แต่ว่านะได้นี้มาด้วย ก็คงเกือบ 500 โกลล์เลยล่ะ ”
“ เห!! นี้มันหนังน้องตุ่ยนิ?!? ”
“ ใช่แล้วล่ะ นี้แค่ผืนเดียวก็แพงสุดๆเลยนะ เห็นว่าพวกคนใหญ่คนโตที่ทวีปตอนเหนือชอบเพราะมันนิ่มดี ”
“ จริงดิ งั้นวันหลังคงต้องวนชั้น 1 หลายๆชั่วโมงแล้วล่ะ ”
…
“ ว่าไง ได้ข่าวว่าไปชั้น 3 มางั้นเหรอ? ”
“ อ่า ก็นะ? ทำไมล่ะ? หรือว่าอยากจะไปด้วยหรือไง? ”
“ แหงสิ!! แดนทำเงินเลยนะเออ ทำไมจะไม่อยากล่ะ ว่าแต่ ได้อะไรมาบ้างล่ะคราวนี้? ”
“ มีเงินราวๆ 250 โกลล์ แต่ว่านี้ ดูนี่… มีดเหล็กประหลาดที่โคตรจะทนไม่บิ่นง่ายๆแถมไม่มีสนิมเลยด้วย เห็นว่าร้านตีเหล็กที่เมืองคนนอกเขารับซื้อที่ 4000 โกลล์เลย ”
“ เชี้ย!! โชคดีจังวะ ”
ใช่…ตลอดทาง เหล่านักพจญภัยที่ยืนอยู่ตามถนนก็พูดกันถึงสถานที่ด้านล่างอันลึกลับนั้น ดินแดนแห่งการทำเงิน ดินแดนแห่งวัตถุดิบที่ไม่มีที่อื่น มีทั้งป่าไม้หลากหลายรูปแบบ ทว่ายิ่งลึกก็ยิ่งอันตราย แต่ก็ยิ่งมีของมีค่ามากขึ้น
[ อึก… ถ้าได้เห็นล่ะก็… เราจะได้ทำรายงานได้.. แต่ เงิน ไม่ พอ… ชิ ]
นั้นทำให้รินรินเทอยากลงไปสำรวจมากขึ้น เป้าหมายไม่ใช่อะไรนอกไปจาก ความอยากรู้ว่าด้านล่างมีอะไร และมันมีค่าพอไหมที่จะเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจว่าจะปฏิบัติกับยูโทเปียยังไง
ทว่าก่อนจะได้ทำอะไรแบบนั้น รินรินเทก็ต้องทำสิ่งสิ่งหนึ่งก่อนนั้นก็คือ หาเงิน… ใช่เขารู้และตอนนี้เขาก็มีสถานที่ที่กำลังจะเป็นแหล่งหาเงินซึ่งจพเสร็จภายในไม่กี่วันต่อจากนี้
[ ชิ!! เอาก็เอาวะ 61000 ไม่สิ!! เพื่อหน่อยละกัน 65000 เครดิต!! ต้องทำได้ ที่นี้คนเงินเยอะอยู่แล้ว!! คอยดูเถอะ เรานี้แหล่ะจะลงไปเอาข้อมูลที่ด้านล่างมาให้กับท่าน… ให้ได้!! ]
รินรินเทกล้าคิดเช่นนั้นเพราะ ร้าน โมฟุโมฟุโมอิน สาขา 2 ร้านที่เจ้าของร้านลงทุนประมูลใบอนูญาตมาด้วยเงินเก็บของเขาเกือบทั้งหมด และก็ได้ลงทุนไปอีกจนหมดตัว เพื่อเปิดมัน กำลังจะเสร็จสิ้น ณ ใต้อาคารที่เขาอาศัยอยู่
โดยในอนาคต ร้านนี้จะมีขึ้นเพื่อเป็นสถานที่รองรับคนที่ร้านคัดมาแล้วผ่านการตรวจสอบกับยูโทเปีย เป้าหมายง่ายๆเพื่อมาหาเงินในโซนที่หนาแน่นไปด้วยผู้มีร่ำรวย อย่างเขต [01] เขตพิเศษที่มีเพียงผู้ได้รับการตรวจสอบ นักพจญภัย นักเรียน และ พลเมือง เท่านั้นที่เข้ามาได้ โดยทั้งหมดจะมี เขา รินรินเทเป็นผู้จัดการและคนนำร่องทั้งสิ้น…
………
……
…
“ ย๊าา!! ”
“ อุ๊ส!! ”
“ ฮิววว!! ”
“ ปราการเหล็กกกกก!! ”
ณ ลานกว้าง ของปราสาท ในโซลิทาน ที่นั้นชายหญิงผมดำสี่คนในเครื่องแบบที่แตกต่างกันกำลังฝึกฝนกันอยู่ พวกเขาและเธอใช้ดาบ ใช้คฑา ใช้มีด และพลั่วกับโล่ห์ยักษ์ ในการซ้อมต่อสู้
“ ดีมากท่านความหวังทั้งหลาย เอาล่ะ!! ทีนี้ก็สังเกตุกันเอาไว้แล้วก็หาจังหวะให้ได้!! ”
“ คุณนานา จับตาดูเพื่อนๆไว้นะคะ!! ”
“ ชิ!! หายตัวเข้ามาได้แบบนี้ขี้โกงชะมัด!! ”
ศัตรูตรงหน้าก็คือเหล่าอัศวินและนักเวทย์ที่กำลังอบรมพวกเขาอยู่ว่าต้องทำยังไงในสถานการณ์อะไรบ้าง โดยคนที่ดูจะปรับตัวได้ง่ายสุดก็คงไม่พ้นยูดะ เขาเรียนรู้ได้ไวทั้งในโลกนี้และโลกที่จากมา ทำให้ตอนนี้เขาลอบกัดคู่ซ้อมได้เป็นอย่างดี
“ ฮ่าๆๆ ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ว่า ทนให้ได้นะเว้ย ย๊าา ย๊า!! ”
ผัวะ พลัค
“ เอามาอีก ตีมาอีกสิวะ!! ”
ส่วนจะฮิน นั้นน่าประหลาดใจมาก เขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ผิดกับบุคลิกของเขาที่ดูจะขวางโลกหน่อยๆ อีกทั้งเจ้าตัวก็ยังแสดงให้เห็นด้วยว่าเขาสนุกไปกับการซ้อมที่เจ็บตัวจริงๆแบบนี้
“ นานาจัง ขอฮิวววหน่อยยย ”
“ ไม่ได้ ไม่ได้ แค่แผลจากแรงกระแทกน่ะไม่ได้นะ! แล้วก็ ตั้งใจคุ้มกันชั้นด้วยล่ะ!! ”
“ จ้าาา จ้าาา อ๊ายย!! ”
และท่านหญิงอีก 2 คนล่ะ เรียนตามตรงเธอทั้งคู่ค่อนข้างจะช้ากว่าฝั่งผู้ชายมาก แต่ก็ยังไม่จัดอยู่ในระดับแย่แต่อย่างใด นานาเธอเน้นช่วยเหลือเพื่อน และแน่นอนว่าอาโอะ เธอนี้ยืนรับดาเมจด้วยโล่ห์อันใหญ่กว่าร่างกายของเธอถึง 2 เท่าพร้อมกับกวัดแกว่งพลั้วไปมา ทว่าไอความที่โล่ห์มันใหญ่ก็ทำให้อาโอะขยับช้ากว่าคนอื่นและมีหน้าที่คือป้องกันนานาไม่ให้บาดเจ็บ
พลัค พลัค แก็ง กิ๊ง
การซ้อมนั้นเป็นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน พวกเขาและเธอที่กำลังสนุกกับการซ้อมอยู่ก็ไม่ได้ระวังเลยว่า ในเงาของพุ่มไม้ที่ห่างไปไม่มากนั้นกำลังมีใครจับจ้องอยู่ และการจับจ้องนั้นก็มาพร้อมกับการบ่นด้วยเสียงที่แสนเบา
“ หึ… พวกผู้กล้าอะไรนั้นพึ่งเริ่มฝึกได้ไม่นานก็ได้ขนาดนี้แล้ว สงสัยถ้าไม่รีบจัดการคงจะมีปัญหากับกองทัพจอมมารสินะ เอาเถอะยังไงท่าน… ก็คงไม่กังวลอยู่แล้วนี่ ไอเจ้าพวกนี้มันไม่ได้ 1 ใน ล้านของท่านด้วยซ้ำ ฮิ ฮิ ฮิ ”
การบ่นที่ว่า กองทัพจอมมารกำลังจะต้องเจอกับปัญหาคือสิ่งที่เรียกว่า ผู้กล้า แต่ที่โซลิแทนเรียกว่า เหล่าความหวัง สายตานั้นจับจ้องไปพร้อมกับหมายหัวของคนทั้ง 4 ด้วยการวาดภาพลงกระดาษก่อนที่มันจะค่อยๆจางหายไปในเงานั้น
“ หึ… ”
ทว่า…ก็เป็นอีกครั้งที่ไม่มีใครรู้สึกตัว ไม่มีใครสัมผัสได้ บนห้องหนึ่งในหอคอยติดปราสาท ที่นั้นหญิงสาวผมสีชมพูในชุดแม่ชีกำลังจ้องมองลงไปยังลานซ้อม และเธอก็พูดขึ้นมาสั้นๆว่า
“ ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่นายท่านที่สนใจเจ้าเด็กพวกนี้สิน้าา ”
……
MANGA DISCUSSION